กลายเป็นปัญหาที่ทำให้ใครๆ หลายคนหนักอกหนักใจไปตามๆ กันเลย สำหรับการสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน!! เราจึงต้องย้อนกลับมาดูตัวเองและเช็คว่าประเด็นสำคัญที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินต้องการจากตัวผู้สมัครอย่างเราๆ จะมีอะไรเป็นหลักบ้าง. เพราะข้อมูลเหล่านี้ถือว่าเป็นเครดิตที่ดีและยังทำให้เราสามารถต่อยอดวงเงินอื่นๆได้อีกด้วย จึงมีความสำคัญที่เราจะรู้ว่าธนาคารต้องการตรวจสอบอะไรบ้างเมื่อเราขอบัตรเคดิต ดังนี้
สมัครบัตรเครดิต ใช้เอกสารอะไรบ้าง
สำหรับการทําบัตรเครดิตใช้อะไรบ้าง โดยทั่วไปนั้นเพียงแค่เตรียมสำเนาบัตรประชาชนสำหรับพนักงานประจำ, สำเนาบัตรข้าราชการสำหรับข้าราชการ และบัตรพนักงานรัฐวิสาหกิจสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสลิปเงินเดือนและรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 3 เดือน แต่หากเป็นเจ้าของกิจการหรือทำธุรกิจส่วนตัวหากจะทําบัตรเครดิตใช้อะไรบ้าง ซึ่งเอกสารที่ใช้ก็คือสำเนาบัตรประชาชน หนังสือจดทะเบียนการค้าและรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน ทั้งนี้เพียงมีคุณสมบัติอายุ 20-70 ปี มีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน และสามารถจะสมัครบัตรเครดิตออนไลน์ผ่านแอพหรือช่องทางออนไลน์ของธนาคาร ซึ่งก็เป็นวิธีและขั้นตอนในการสมัครที่ง่ายและสะดวกมาก ๆ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการสมัครบัตรเครดิต ที่นี่
สมัครบัตรเครดิต ธนาคารตรวจสอบอะไรบ้าง
ใครอยากสมัครบัตรเครดิตให้ผ่านฉลุยแบบไม่ต้องกังวล บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด มาดูกันเลยว่าสมัครบัตรเครดิต ธนาคารตรวจสอบอะไรบ้าง จะได้เตรียมพร้อมได้บัตรเครดิตมาครอบครองแบบชิลๆ
ประวัติทางการเงินไม่มีหนี้ค้างชำระในเครดิตบูโร
เครดิตบูโร ชื่อเป็นทางการแบบเต็มๆ ก็คือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด นี่คือด่านข้อแรกและเป็นข้อหลักเลยก็ว่าได้ เพราะในปัจจุบันนี้ เวลาเราจะสมัครสินเชื่อบัตรเครดิต ทางสถาบันการเงินจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบประวัติทางการเงินของเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนบ้าน รถ หรืออื่นๆ กับศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาตินี้ ว่าเรามีประวัติทางการเงินที่ดีหรือไม่ โดยทางเครดิตบูโรจะทำหน้าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเครดิต ซึ่งมีทั้งประวัติการชำระหนี้ที่ดีและไม่ดีของเรา ตามที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งส่งข้อมูลมาให้ทุกๆ เดือน หากทางสถาบันการเงินที่เราไปยื่นสมัครบัตรเครดิต ตรวจพบว่าเรามีประวัติการค้างชำระหนี้ หรือมีการผิดนัดชำระหนี้กับสถาบันการเงินอื่นๆ มาก่อน ก็อาจปฏิเสธการสมัครนั้นได้ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรามีหนี้เสียอยู่ในระบบ หรือค้างชำระค่างวดของไฟแนนซ์ต่างๆ แล้วละก็ เราก็จะไม่สามารถสมัครบัตรเครดิตได้ค่อนข้างแน่ชัด
ดังนั้น ข้อแนะนำแรกคืออย่ามีหนี้เสีย หรือค้างจ่ายกับสถาบันการเงินใดๆ ทั้งสิ้น. ซึ่งการแก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ก็คือ เราต้องติดต่อไปยังสถาบันการเงินที่เคยเป็นหนี้อยู่ เพื่อชำระหนี้ที่ค้างให้หมด จนยอดหนี้เป็น 0 บาท หรืออาจทำการเจรจาต่อรองเพื่อขอลดหนี้ ตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินนั้นๆ ได้ หลังจากนั้นก็ต้องรอจนครบ 3 ปี เพื่อให้ประวัติเสียเหล่านั้นทยอยลบออกไป แล้วเริ่มสร้างประวัติใหม่ สร้างวินัยที่ดี ชำระหนี้ให้ตรงเวลา ไม่ผิดนัดชำระหนี้อีก เพราะทุกความเคลื่อนไหวในการชำระหนี้ของเรานั้นจะถูกจัดเก็บไว้ตลอดด้วย
มีรายได้ที่แน่นอน
หลักเกณฑ์ของแบงค์ชาติ ธุรกิจบัตรเครดิตอยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงค์ชาติ ที่จะกำหนดคุณสมบัติของคนที่ได้รับอนุมัติบัตรเครดิตกว้างๆ เช่น
- มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หรือ 180,000 บาทต่อปี
- มีเงินฝากเป็นหลักประกันเต็มวงเงินของบัตรเครดิตที่อนุมัติ
- มีเงินฝากประจำกับธนาคารไม่น้อยกว่า 500,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
- มีเงินฝากออมทรัพย์ ลงทุนในตราสารหนี้ หรือลงทุนในกองทุนรวม อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือรวมกันไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
เอกสาร ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน
เรื่องที่ผู้สมัครตกม้าตายกันบ่อยๆ ก็คือเรื่องเอกสารประกอบการสมัครบัตรเครดิต ปัญหาที่พบบ่อยก็คือเอกสารไม่ครบ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือเป็นที่ Call Center หรือเจ้าหน้าที่ที่แนะนำนั้นบอกผิด หรือบอกไม่ครบ อย่างที่สอง ก็คือผู้สมัครยื่นไม่ครบ หรือบกพร่องเอง ซึ่งปัญหานี้แก้ไขไม่ยาก เพียงแค่ติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่อีกครั้ง และส่งเอกสารให้ครบก็จะแก้ปัญหาไปได้.
- ลายเซ็นของผู้สมัครต้องเหมือนกันทุกจุด
- ต้องระวังไม่ให้มีรอยลบหรือรอยขีดฆ่าเยอะจนเกินไป และไม่ควรใช้น้ำยาลบคำผิด
- หากต้องการแก้ไขจุดที่ผิดพลาด ควรขีดฆ่าและเซ็นชื่อกำกับทุกครั้ง
- ควรกรอกข้อมูลด้วยลายมือตัวบรรจง อ่านง่าย และกรอกครบทุกช่องที่เว้นไว้ เพื่อความถูกต้องของข้อมูลผู้สมัคร
นอกจากนั้น เอกสารแนบอื่นๆ ก็มีส่วนสำคัญ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนต้องชัดเจน ไม่ดำหรือเข้มจนเกินไป จนมองไม่เห็นหน้าผู้สมัคร สำเนาหน้าสมุดบัญชีต้องมองเห็นตัวเลขบัญชีชัดเจน สำเนา Statement ต้องครบทั้ง 3 - 6 เดือน ย้อนหลัง ตามที่ทางธนาคารกำหนด หรือสลิปเงินเดือนย้อนหลังต้องไม่เกิน 3 เดือน เป็นต้น ซึ่งถ้าผู้สมัครส่งเอกสารไม่ครบถ้วนก็อาจเกิดการส่งคืนใบสมัครได้เช่นกัน
สามารถติดต่อได้และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
หลักเกณฑ์อีกอย่างหนึ่งของสถาบันการเงินในการพิจารณาอนุมัติคือ ผู้สมัครจะต้องมีความน่าเชื่อถือ สิ่งที่จะช่วยพิสูจน์ความน่าเชื่อถือได้คือไม่เป็นบุคคลล่องลอย หรือไร้หลักแหล่ง และเวลาธนาคารต้องติดตามหนี้จะมีที่อยู่ซึ่งชัดเจนถาวรให้ติดตามได้ ดังนั้น เวลาให้ที่อยู่ ควรจะให้ที่อยู่ซึ่งถาวร เช่น ตรงกับบัตรประชาชน ตรงกับที่อยู่ส่งใบแจ้งหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าโทรศัพท์ และในส่วนของเบอร์โทรศัพท์ก็ควรเป็นหมายเลขโทรศัพท์บ้าน ไม่ใช่แค่หมายเลขโทรศัพท์มือถือ โทรไปแล้วมีคนรับ ซึ่งเอกสาร หรือข้อมูลพวกนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการเพิ่มโอกาสให้สถาบันการเงินอนุมัติบัตรเครดิตให้เรา
นอกจากเบอร์โทรศัพท์มือถือที่เป็นข้อมูลสำคัญอย่างในหนึ่งในการสมัครบัตรเครดิตแล้ว ยังต้องระบุเบอร์โทรศัพท์พื้นฐานทั้งของที่บ้านและที่ทำงาน ซึ่งถ้าหากใครไม่มีเบอร์บ้าน ก็ต้องระบุเบอร์ที่ทำงานลงในใบสมัครด้วย เพราะทางธนาคารนั้นต้องการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่เป็นบุคคลล่องลอย และสามารถติดต่อได้ง่าย ซึ่งเมื่อผ่านการพิจารณาคุณสมบัติในขั้นตอนแรกแล้ว ทางธนาคารจะต้องมีการโทรหาผู้สมัครเพื่อยืนยันข้อมูล ถ้าหากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดต่อได้ภายใน 1 - 3 ครั้ง ก็อาจถูกปฏิเสธการสมัครได้อีกด้วย
ไม่เคยมีประวัติบัตรเครดิต หรือการขอสินเชื่อใด กับการมีสินเชื่ออื่นจนเกินความสามารถในการชำระหนี้
หากผู้สมัครนั้นมีสินเชื่ออื่นที่ไม่ใช่บัตรเครดิตอยู่แล้ว เช่น กู้ซื้อบ้าน ผ่อนรถยนต์ จ่ายไฟแนนซ์ ฯลฯ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สมัครบัตรเครดิตไม่ผ่านได้ด้วย เพราะภาระหนี้สินที่มีอยู่ในขณะนั้นอาจเกินความสามารถในการชำระหนี้ไปแล้วก็ได้ โดยที่ทางธนาคารแต่ละแห่งจะตรวจสอบภาระหนี้สินทั้งหมดของแต่ละคนที่ผ่านเข้ามาในเครดิตบูโร เพื่อดูความน่าจะเป็นในการชำระหนี้ที่กำลังจะเพิ่มเข้ามาอีกได้ ก่อนที่จะทำการอนุมัติบัตรเครดิต หรือการที่เรายังไม่เคยสมัครบัตรเครดิตหรือขอสินเชื่อกับที่ไหนมาก่อนเลยก็อาจไม่ใช่ผลดีสำหรับสถาบันการเงินใหญ่ๆ สักเท่าไรด้วย เพราะทางธนาคารจะไม่สามารถเช็คประวัติข้อมูลทางการเงินของเราได้ ซึ่งเท่ากับว่าไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการเป็นผู้ถือบัตรเครดิตได้ ก็อาจปฏิเสธการสมัครของเราได้เช่นกัน แนวทางแก้ไขก็คือ ลองสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารหรือสถาบันการเงินเล็กๆ หรืออาจจะสมัครเป็นบัตรเสริม เพื่อให้ข้อมูลของเราไปอยู่ในเครดิตบูโรเสียก่อน แล้วค่อยๆ สะสมเครดิตดีไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้การเป็นผู้ถือบัตรเครดิตหลักก็อยู่ไม่ไกลแล้วเหมือนกัน
ทริค สมัครบัตรเครดิตให้ผ่านฉลุย
อ่านบทความนี้จบ แล้วจะหมดปัญหา สมัครบัตรเครดิต ใบแรก ไม่ผ่านสักที เพราะมีเงื่อนไขบางอย่างที่คุณยังไม่รู้ แม้ว่าจะลองสมัครกับค่ายไหนก็ตาม มาดูกันว่า ทำอย่างไร ถึงจะผ่านง่ายแบบฉลุย
1. มีงานประจำที่มั่นคงแน่นอน และมีเงินเดือนมากกว่า 15,000 บาท
หากเป็นพนักงานบริษัท ก็ควรมีอายุงานเกินเกณฑ์ที่สถาบันการเงินที่รับสมัครบัตรเครดิตกำหนด เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี ไม่ได้อยู่ในช่วงทดลองงาน ถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ก็แนะนำว่าต้องเปิดกิจการมาแล้วไม่ต่ำกว่า1 ปี
2. มีสลิปเงินเดือนชัดเจน
แสดงว่าใครเป็นนายจ้าง และรายได้สม่ำเสมอจ่ายตรงวันทุกเดือนในแต่ละเดือน และเวลายื่นให้สถาบันการเงินพิจารณา ควรยื่นสลิปเงินเดือนของเดือนล่าสุด
3. ควรรับเงินเดือนผ่านธนาคาร
หากเป็นพนักงานบริษัท แต่รับเงินเดือนเป็นเงินสด หรือเอาเงินเดือนไปฝากเข้าบัญชีเอง ก็ต้องแล้วแต่ทางสถาบันการเงินเจ้าของบัตรจะพิจารณา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่น่าจะผ่านเกณฑ์อนุมัติบัตรให้ได้ เพราะจะดูรหัสการฝากเงินที่หน้าสมุดบัญชีธนาคารออกว่า รหัสไหนคือฝากเงิน รหัสไหนคือเงินเดือน ถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ก็ต้องนำสมุดบัญชีไปเป็นเอกสารประกอบการพิจารณา เพราะสถาบันการเงินที่ออกบัตร ต้องการดูสถานภาพการเงินย้อนหลัง และดูความมั่นคงทางการเงินด้วย
4. โดยทั่วไปถ้าเป็นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
จะมีโอกาสสูงกว่าพนักงานเอกชนที่จะได้รับอนุมัติ เพราะสถาบันการเงินมองว่าหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงกว่า และมีสถานที่เป็นหลักเป็นแหล่งกว่าบริษัทเอกชน ไม่น่าจะโดนไล่ออก หรือให้ออกกันง่ายๆ เหมือนบริษัทเอกชน
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อยากสมัครบัตรเครดิตให้ผ่าน ต้องทำอย่างไร ที่นี่
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การสมัครบัตรเครดิตนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าเรามีคุณสมบัติที่อยู่ในเกณฑ์ที่ธนาคารมองหาและทราบว่าสมัครบัตรเครดิต ใช้เอกสารอะไรบ้าง ก็เพียงพอแล้วในการสมัครบัตรเครดิต เพื่อเป็นตัวช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ถือ และยังช่วยสร้างประวัติที่ดีในข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ทั้งนี้ ถ้าอยากเป็นคนที่ใช้บัตรเครดิตเป็นก็จะต้องมีวินัย รู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ละเลยหนี้บัตรเครดิต และจ่ายเต็มจำนวนทุกครั้งที่ใช้จ่าย เมื่อเราทำได้ ก็จะได้รับประโยชน์เต็มๆ จากการใช้บัตรเครดิตนั่นเอง เพียงเท่านี้เราก็สามารถ มีบัตรเครดิตให้ลองเลือกยื่นสมัครกันได้เพียบเลยล่ะ หากสงสัยสามารถสอบถามผู้เชี่ยวชาญจาก MoneyDuck ได้ฟรี ที่ลิงก์ด้านล่าง
Montana
ในความคิดผมนะ ผมมองว่าเค้าน่าจะดูเงินเดือนเราเป็นหลักเลยมากกว่า เพราะว่าฐานเงินเดือนมันจะช่วยให้รู้ว่าคนๆนั้นมีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้มากน้อยแค่ไหน อีกอย่างอาจจะเป็นเรื่องการชำระหนี้ด้วยว่าตรงเวลาไหม การชำระเป็นยังงัย ทำนองนี้ครับ สำหรับคนที่มีบัตรเครดิตเยอะมีหนี้เยอะๆเค้าคงจะมองว่าคุณคงจะไม่มีศักยภาพที่จะชำระหนี้ได้ บางคนเลยไม่ได้รับอนุมัติครับ
Kannika
ธรรมดานะ จะไปเอาเงินเขามาใช้ เขาก็ต้องดูว่าเราจะมีความสามารถจ่ายหนี้คืนเขาได้หรือเปล่า ถึงจะเป็นธนาคารใหญ่แต่คงไม่มีธนาคารไหนอยากจะมาคอยตามลูกหนี้บัตรเครดิตหรอกค่ะ เขาต้องใช้เวลาตรวจสอบมากหน่อย แต่ถ้าสมัครไม่ผ่านก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ไม่ต้องใช้ ดีออก ไม่ต้องรูดบัตรปื๊ดๆให้ค่าใช้จ่ายเกินตัว พอบิลมาจะตกใจเอานะ
ไตเติล
ผมคิดว่าถ้าหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะสมัครบัตรเครดิตนะครับ แต่ถ้าหากคุณสมัครไปแล้วก็อาจจะทำให้วินัยการเงินของคุณเสียไปด้วย เช่น ใช้จ่ายไม่คิดหรือใช้จ่ายเกินตัว ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนั้นก็จะทำให้คุณไม่มีเงินจ่ายค่าบัตรเครดิต และอาจจะถึงกับเป็นหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆด้วยนะครับ เพราะว่าการทำบัตรเครดิตมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากครับ
Chatchai
จริงๆน่ะ ผมว่าหลักฐานการสมัครบัตรเครดิตเขาไม่ได้ดูอะไรมากหรอกก็เอกสารส่วนตัวทั่วไป เขาดูเรื่องความสามารถในการชำระคืนมากกว่า ดูเรื่องเงินเดือน เรื่องเงินในบัญชี แต่ถ้าติดเครดิตบูโรอยู่ไม่น่าจะผ่านแน่ๆนะครับ หากมีหนี้สินอื่นค้างอยู่ต้องพิจารณามากหน่อย ผมว่านะก่อนจะไปสมัครลองถามตัวเองให้ดีว่านี่เป็นความจำเป็นต้องมีใช้มั้ย เจ้าบัตรเครดิตเนี่่ย
บุญแพง
เรื่องการตรวจสอบ คุณสมบัตรคนที่ขอบัตรเครดิต ที่ธนาคารตรวจสอบ มันจะไม่ขัดกับคุณสมบัติของคนี่ ขอทำบัตรเครดิตเหรอครับ เพราะ บัตรเครดิต บอกว่า ต้องทำงานอย่างน้อย หกเดือน แต่ ธนาคาร เชคอีกแบบหนึ่ง ในบทความนี้บอกว่า ทางธนาคารจะเชค คือ "มีเงินฝากประจำกับธนาคารไม่น้อยกว่า 500,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน" แบบนี้คืออะไรครับ คนที่ทำงานแค่หกเดือนจะมีเงินหมุนเวียนเท่านี้เหรอครับ
ฟงเตียน
บางคอมเม้นท์บอกว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าสมัครบัตรเครดิตเพราะจะทำให้เป็นหนี้ได้เนื่องจากใช้จ่ายเกินตัว ผมว่าหนี้จะเกิดหรือไม่อยู่ที่ผู้ใช้มีสติในการใช้รึป่าวและมีวินัยด้วยมั้ย บางคนเขาก็บริหารการใช้บัตรเครดิตได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร บัตรเครดิตมีหลายธนาคารให้เลือกใช้ครับแต่ละที่ดอกเบี้ยก็ต่างกันถ้ารับในเรื่องดอกเบี้ยที่สูงได้ก็สมัครเลยครับ สิทธิประโยชน์ดีๆกำลังรออยู่
ฟอย
ธนาคารก็ต้องตรวจสอบเครดิตบูโรของเราหรือประวัติการชำระหนี้ให้กับทางสถาบันการเงินอื่นๆที่เราทำการ ผ่อนชำละสิครับว่าเราทำตามเงื่อนไขหรือเวลาในการผ่อนชำระหรือเปล่า เพื่อทางสถาบันการเงินจะมั่นใจในเครดิตของเราว่าเราจะทำการใช้คืน เพราะทางสถาบันการเงินอยากให้เราใช้เงินคืนไม่ใช่ให้เบี้ยวหรือหยุดจ่ายนี่ไปนั่นเองครับ
ผกายแก้ว
เราขอแย้งเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ธนาคารตรวจสอบ คือเรื่องการ เชดเรา ว่า สามารถติดต่อได้และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่ อันนี้เราว่า ทางธนาคารไม่ค่อยได้ทำเรื่องนี้หลอก ทำไมเราบอกแบบนี้ เพื่อนๆเคยได้ยินการแอบอ้างชื่อไปสมัครบัตรไหม เอกสารปลอมทั้งนั้น แต่ทางธนาคารก็ไม่ได้ตรวจสอบเลย ปล่อยอนุมัตไปซะงั๊น ผลสุดท้าย เจ้าของก็ต้องมาเดินเรื่องแจ้งความ
ณัฐกานต์
หลักการการตรวจสอบของเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน เลยนะคะ เพื่อนๆหลายคน ก็มักจะถามบ่อยๆว่า สมัครบัตร อันนี้ไป ทำไมเขาไม่อนุมัติเรา ไม่ทราบว่าเราติดอะไรเหรอ คือ ตัวเองก็น่าจะรู้ตัวเองดีใช่ไหมคะว่าสาเหตุอะไรที่เขาไม่อนุมัติให้เราขอสินเชื่อหรือว่าบัตรเครดิตของพวกเขา ถ้าอยากได้ของเขา ก็ต้องสร้างประวัติการเงินของเราให้ดีหน่อยคะ