ภาวะเศรษฐกิจขาลง มีผลกระทบกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดจริง ๆ ถึงแม้ว่าพ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นจะขายของกินที่เรียกว่าเป็นปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างเราๆ แต่ด้วยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ ส่งผลกระทบอย่างมากกับพ่อค้าแม่ค้า ไม่ว่าจะเป็นค่าวัตถุดิบที่ขึ้นราคา ค่าน้ำมัน ฯลฯ นั้นส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งนั้น มาดูกันเป็นข้อ ๆ ว่าพ่อค้าแม่ค้าตลาดสดได้รับผลกระทบกันอย่างไรบ้างกับภาวะเศรษฐกิจขาลง
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เศรษฐกิจชะลอตัว ที่นี่
ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ชะลอตัว ต่อผู้ค้าขาย
หลายคนขายของยากขึ้น จากที่เคยขายได้กำไรวันละ 1,000 – 2,000 บาท ก็เหลือไม่ถึง 1,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ก็ทำการขายของให้น้อยลงลดปริมาณของที่ขายก็ลดลงแล้ว กำไรก็ยังน้อย ซึ่งสาเหตุหลักที่พ่อค้าและแม่ค้าคิดก็น่าจะมาจากที่ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ทำให้คนใช้จ่ายน้อยลง และเมื่อใกล้สิ้นปีคนมักจะเก็บเงินสดไว้กับตัวเพื่อใช้ในการพักผ่อนเดินทางกลับบ้านหรือไปเที่ยวและช่วงสิ้นปีก็เลยมักจะใช้บัตรเครดิตในการซื้อของภายในห้างสรรพสินค้ามากกว่า
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะ เงินเฟ้อ เงินฝืด ที่นี่
ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ขายของได้น้อยลง
ถ้าเรื่องที่ตลาดเงียบขายของได้น้อยลงนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มาจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจขาลงด้วยเหมือนกัน เพราะภาวะเศรษฐกิจขาลงทำให้คนเลือกที่จับจ่ายใช้สอยน้อยลงคนที่ขายของอย่างเช่น อาหารถุง แกงถุงถึงขายได้น้อยลงและจะเห็นได้ชัดเลยจากตลาดสดที่อยู่ภายในตัวเมืองอย่างกรุงเทพ ที่คนมักจะนิยมจับจ่ายใช้สอยซื้อของจากในห้างมากกว่า
เหตุผลก็มาจากหลายอย่างซึ่งอย่างหนึ่งก็มาจากภาวะเศรษฐกิจด้วยที่ทำให้คนไม่ค่อยใช้จ่ายและอีกอย่างก็เพราะบางอย่างที่ขายอยู่ภายในห้างก็มีราคาถูกกว่าตลาดสด และ ของที่ขายภายในห้างก็ให้ความรู้สึกที่ถูกสุขอนามัยมากกว่าในตลาดสดโดยเฉพาะกับของสด เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ ผักและผลไม้ต่างๆ
ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ต้องลดราคา
ผลกระทบที่มีต่อพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดเรียกได้ว่ามาเป็นระรอกก็ได้ เพราะหลังจากที่ได้รับผลกระทบที่มีลูกค้าน้อยลงคนไม่ค่อยจับจ่ายใช้สอยเพราะสภาพเศรษฐกิจขาลงทำให้พ่อค้าแม้ค้าในตลาดสดนั้นขายของไม่หมดขายของเหลือซึ่งได้ซื้อว่าเป็นตลาดสดแต่ถ้าขายของเหลือและนำของเหลือมาขายจากของสดมันก็จะไม่สดซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องไม่มีลูกค้าซื้อยิ่งกว่าเดิมเมื่อเป็นแบบนั้นพ่อค้าแม่ค้าก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากปัญหานี้ โดยการที่จะต้องจำใจลดจำนวนการขายลงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขาดทุน
ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าแม้จะขายยากขึ้น
เราจะเห็นได้ตามตลาดปัจจุบันนี้ ที่ร้านขายกับข้าวขายแพงขึ้นซึ่งที่ผมเจอตลาดสดแถวบ้านหรือร้านข้าวแกงตามตลาดที่มีการอัพราคา ข้าวราดแกงหรือแกงถุง จากเมื่อก่อนถุง 30-35 เป็นตอนนี้ ถุง 40-50 บาท ซึ่งถ้าถามว่าดูจากก่อนหน้านี้ที่ผมพูดมันดูแล้วว่าสภาพเศรษฐกิจมันเป็นช่วงขาลงลูกค้าก็น้อยอยู่แล้วทำไมถึงมาบอกว่าที่ตลาดมีการขายของแพงขึ้น ที่ผมบอกแบบนี้เพราะมันก็มาจากผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจเช่นกัน
เพราะ เศรษฐกิจแบบนี้ของที่ต้องซื้อมาเป็นวัตถุดิบในการทำขายนั้นมีราคาที่เพิ่มมากขึ้น ถึงพ่อค้าแม่ค้าจะรู้ว่าเศรษฐกิจแบบนี้ขายไม่ค่อยได้แต่ถ้าไม่เพิ่มราคาสินค้าถึงจะขายได้มันก็ขาดทุนเพราะต้นทุนมันมาสูงจริงๆจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องจำยอมเพิ่มราคา ซึ่งมันไม่ได้มาจากความตั้งใจของพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดหรอกนะครับ
ซึ่งเห็นการเพิ่มราคาได้กับร้านขายกับข้าวแกงถุงอย่างชัดเจน ซึ่งราคาถุงละ 40-50 บาท ถือว่าเยอะไหม ผมว่ามันเยอะอยู่นะครับสำหรับ คนที่ทำงานแล้วได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 300 ถ้าซื้อแค่แกงถุงเดียวก็พอได้อยู่กับคนที่ทำงานแล้วได้ค่าแรงขั้นต่ำแต่ถามว่าซื้อถุงเดียวพอไหมก็ต้องบอกว่ามันไม่พอ
ในตอนต้นจะเห็นได้ว่าภาวะเศรษฐกิจขาลงนั้นมีผลกระทบมากมายกับผู้ขายอย่างพ่อค้าและแม่ค้า ไม่ว่าจะเป็นการที่มีลูกค้าลดน้อยลง ทำให้กำไรจากที่เคยได้ก็ลดลง ต้องจำใจลดปริมาณการขายเพื่อที่จะขายของให้หมดแทนที่จะทำเท่าเดิมแต่ของเหลือและขาดทุน ซึ่งจริงๆมีปัญหาปลีกย่อยเยอะมากมายกว่านี้คนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าจะรู้ดีว่าต้องพบเจอกับปัญหาอะไรบ้าง
แต่มาในช่วงท้ายจะเห็นว่ามันไม่ได้มีแค่ผลกระทบกับพ่อค้าแม่ค้าเพียงอย่างเดียวเพราะด้วยสภาวะเศรษฐกิจขาลงอย่างนี้ มันทำให้ข้าวของแพงขึ้นนั้นหมายถึงของที่ขายอยู่ในตลาดที่เคยขายราคาเท่านี้ ก็มีการเพิ่มราคา คือ ของขึ้นราคานั้นเอง ซึ่งที่ผมยกตัวอย่างมาก็จะเป็น ค่ากับข้าวที่ปัจจุบันมีบ้างตลาดที่ต้องขายแกงถุงละ 50 บาท แล้วในตอนนี้ มันเป็นผลกระทบอย่างชัดเจนกับผู้ซื้อด้วยเพราะของขึ้นราคาไม่กระทบกับผู้ซื้อก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถาม ผู้เชี่ยวชาญจาก MoneyDuck ได้ฟรี ที่ลิงก์ด้านล่าง
ใบหม่อน
น่าเห็นใจกับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของตามตลาดและแผงร้านนะคะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ผู้คนก็หันไปพึ่งพาห้างร้านใหญ่ๆที่ขายของกินของใช้ได้ครบสะดวกกันหมดแล้ว แล้วยังมีการขายสินค้าทางออนไลน์ซึ่งสะดวกต่อการช้อปปิ้งมากกว่า บทความนี้ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของสามารถรับมือกับเหตุการณ์ขาลงของทางเศรษฐกิจได้ด้วย ลองเอาไปปรับใช้ดูนะคะ
ข้าวฟ่าง
ไม่ใช่แค่พ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับผลกระทบนะคะ คนซื้อเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกันค่ะ ข้าวของแพงขึ้นแต่งานกับเงินเดือนที่ได้ของคนซื้อกลับลดน้อยลง ก็ทำให้คนซื้อต้องหันไปหาวิธีที่จะทำให้ประหยัดเงินกันมากขึ้นอยู่แล้วค่ะ และยิ่งช่วงนี้มีโรคระบาดยิ่งทำให้รายได้คนซื้อน้อยลงไปอีกหรือบางคนถึงกลับตกงานกันเลยค่ะ นี้ทำให้เห็นเลยค่ะว่าไม่ใช่แค่พ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับผลกระทบคนซื้อก็ได้รับผลกระทบเช่นกันค่ะ
นันทภพ
ถ้าให้พูดกันตามตรงไม่ได้เข้าข้างใคร ผมว่าทุกคนได้รับผลกระทบกันหมดล่ะครับ งานน้อยเงินน้อยจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อของได้มากมาย คนที่ยังมีงานทำอยู่บ้างก็ซื้อของออนไลน์ สั่งของเดลิเวอร์รี่ได้ บางคนก็ใช้ไม่เป็น บางคนบ้านไกลเค้าไม่เข้าไปส่งให้ ลำบากกันไปคนละอย่างน่ะแหละครับ แล้วตอนนี้นะเนื้อหมูแพงด้วย ไม่ใช่แค่พ่อค้าแม่ค้าหรอกครับพวกผมก็ลำบากด้วย
@Napawan11
พ่อค้าแม่ค้าก็แย่ไปตามๆกันน่ะสิคะเพราะขายของไม่ได้ นี่ก็เพิ่งจะได้ออกมาขายของ ประชาชนได้ออกจากบ้านไปจับจ่ายซื้อของกันอย่างสบายใจขึ้นมาอีกนิดนึง พูดแล้วนึกถึงตลาดที่นครปฐม เราดูข่าวเมื่อเช้านี้เองว่ามีลมพัดแรงมากจนหลังคาเปิดกระเจิดกระเจิงเสียหายกันเยอะเลย น่าสงสารพ่อค้าแม่ค้าจริงๆ เพิ่งจะเริ่มขายของกันได้ไม่นาน
ืnita578
ตอนนี้คงจะได้รับผลกระทบมากจนทำให้เราทุกคนต้องหาวิธีต่างๆที่จะไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนหรือลำบากกันไปทั่วหน้านะคะ ถ้าเป็นในเคสของแม่ค้าพ่อค้าพวกเขาคงจะขึ้นราคาสินค้าเพื่อทำให้พวกเขาไม่ขาดทุน ส่วนทางด้านคนซื้อก็คงจะเลือกหาซื้อร้านที่ถูกที่สุดหรือเปลี่ยนไปซื้ออย่างอื่นที่ถูกกว่าแน่นอนอยู่แล้วค่ะ มันเป็นอิทธิพลที่มาจากภาวะเศรษฐกิจค่ะ
ต้มยำกุ้ง
แถวบ้านเราปกติขายข้าวแกง จานนึง40-50บาท แต่ตอนนี้หันมาขายจานละ20บาทเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คนก็แห่กันมาซื้อเต็มเลยนะ ซึ่งดูเหมือนคนมาซื้อเยอะกว่าตอนขายปกติสะอีก555 บางครั้งมันจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการขายตามสภาพการณ์เพื่อจะอยู่ได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะที่กำลังเจอปัญหาอยู่ตอนนี้ สู้ๆค่ะชีวิตต้องเดินต่อไป
ต้น
ผลกระทบที่ได้รับจากเศรษฐกิจขาลงน่าสงสารแม่ค้านะครับ ของยิ่งขายไม่ค่อยได้อยู่แล้วต้องมาอัพราคาเพื่อที่จะได้ต้นทุนกลับคืนมาอีก ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ผมว่าการขึ้นราคาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้แม่ค้าอยู่รอดนะครับ จากปกติก็ขึ้นซัก 10-20 บาท ผมคิดว่าพ่อค้าแม่ค้าน่าจะชอบวิธีนี้นะครับ
นิปุณ
ปรับราคาชายให้แพงขึ้น อันนี้ ไม่น่าจะเป็นทางแก้ไขนะครับ คิดดูสิครับปรับราคาแพงขึ้นแล้วต้องเสียลูกค้าประจำไปอันนี้ไม่คุ้มนะครับ ทำแบบที่เพื่อนๆบางคนบอกดีกว่า เน้นขายให้มากขึ้นกำไรลดลง ดีกว่าครับ จากขายได้กำไรวันละ 2000 บาท อาจลงมาที 1,700 บาทอะไรแบบนี้ครับ ถือว่าเราอยู่ได้ลูกค้าอยู่ได้ ผมว่าแบบนี้โอเคกว่านะครับ