หลายๆคนในทุกวันนี้คงจะรู้สึกอึดอัด หากจะต้องเอ่ยปากพูดหรือคุยกันถึงเรื่องเงินกับคู่สมรสของตนเองกันใช่ไหมคะ อาจเพราะต่างคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หรืออาจเพราะเมื่อได้คุยเรื่องเงินกันทีไรเป็นต้องเกิดการถกเถียง ทะเลาะกันทุกครั้งไป ซึ่งแท้จริงที่ควรจะเกิดขึ้นนั้น คู่สามีภรรยาควรคุยกันได้อย่างเปิดใจในทุกๆเรื่องไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องของเงินค่ะ
เนื่องจากเรื่องเงินเป็นเรื่องที่สำคัญ และมักจะส่งผลต่อความรู้สึกของคนเรา การคุยกันเรื่องเงินระหว่างคู่สามีภรรยาจึงควรจะเป็นไปอย่างสุภาพ อ่อนโยน มีเหตุมีผล และต้องไม่ใช้อารมณ์เมื่อเกิดความคิดขัดแย้งระหว่างการสนทนาในเรื่องนี้กันอีกด้วยค่ะ ที่สำคัญต้องแสดงถึงความซื่อสัตย์ และความโปร่งใส เพื่อให้คู่สมรสของเรารู้สึกอุ่นใจ สบายใจ และเกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกันตามมาค่ะ ซึ่งหลักการสนทนากับคู่สมรสที่กล่าวมานี้เชื่อได้ว่าทุกท่านกันคงจะพอทราบกันดีอยู่แล้ว แต่พอถึงเวลาจะต้องอ้าปากเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกทำได้ยากทุกทีเลยใช่ไหมคะ ในวันนี้เราจึงนำบทความที่จะช่วยเสริมสร้างชีวิตคู่อีกวิธีในการคุยกันเรื่องเงินกับคู่สมรสมาฝากกันค่ะ กับ “3 วิธีสยบ! ทุกปัญหาเรื่องเงินระหว่างสามีและภรรยา” จะต้องเริ่มต้นอย่างไร ยากง่ายแค่ไหนนั้น ก็ต้องมาติดตามไปพร้อมๆกันได้เลยค่ะ
คุยกันเรื่องวัตถุประสงค์การใช้เงินไปกับส่วนต่างๆ
ชีวิตของคู่สมรสในสมัยก่อนนั้น ผู้ชายมักจะเป็นผู้ที่ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนผู้หญิงก็มักจะอยู่บ้านเลี้ยงดูลูก และดูแลจัดการภายในบ้านให้เรียบร้อย แต่ในปัจจุบันที่โลกเราเปลี่ยนแปลงไป สภาพเศรษฐกิจที่แย่ลง ค่าครองชีพที่สูงมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้สภาพการณ์นั้นต้องเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตของคู่สมรสจากที่ผู้ชายเป็นผู้ทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวอยู่เพียงคนเดียวนั้นก็หามาได้ไม่เพียงพออีกต่อไป จึงเป็นเหตุให้ผู้หญิงในทุกวันนี้ก็ต้องออกช่วยหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวไปพร้อมๆกันด้วยเช่นกันค่ะ ทำให้การเงินของคู่สมรสในทุกวันนี้จึงมักจะเป็นในรูปแบบ “เงินฉัน เงินเธอ และเงินเรา” กันเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดแต่อย่างใดค่ะ เพราะแต่ละคนต่างก็ต้องออกไปทำงาน และจำต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่จะต้องรับผิดชอบกันเอง
ในส่วนของ “เงินฉัน กับ เงินเธอ” อาจไม่ใช่ส่วนในเกิดปัญหาเวลาเกิดการพูดคุยกันของคู่สมรสสักเท่าไหร่ แต่เงินส่วนที่มักสร้างปัญหาให้แก่คู่สมรที่มักทำให้เกิดความขัดแย้งอยู่เสมอนั้นคือเงินในส่วนของ “เงินเรา” นั่นเอง ฉะนั้นการพูดคุยเกี่ยวกับเงินกองนี้ จึงจำเป็นที่คู่สมรสจะต้องคุยกันเรื่องวัตถุประสงค์การใช้เงินไปกับส่วนต่างๆให้เกิดความเข้าใจ และเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่ายเท่านั้นค่ะ “เงินเรา”อาจถูกนำใช้ไปเพื่อสร้างประโยชน์ต่อการสร้างครอบครัวของคู่สมรสเอง เช่น การผ่อนบ้าน , ผ่อนรถยนต์ , การศึกษาบุตร ฯลฯ ซึ่งเงินในส่วนนี้อาจให้คู่สมรสได้ดูแลร่วมกัน หรืออาจมอบหมายให้ฝ่ายที่เก่งเรื่องการเงินมากกว่าเป็นผู้ดูแล ซึ่งอาจเป็นฝ่ายสามี หรือฝ่ายภรรยาคนใดคนหนึ่งก็ได้ค่ะ แต่สิ่งสำคัญนั่นคือ ผู้ที่จะรับผิดชอบดูแลเงินกองนี้ควรที่จะต้องซื่อสัตย์ และโปร่งใสเพื่อจะได้ไม่เป็นเหตุให้ต้องเกิดเรื่องบาดหมาง กินแหนงแคลงใจกันในภายหลังได้ค่ะ
หากคิดจะลงทุนต้องปรึกษากันก่อน
“การลงทุน” ก็เป็นอีกเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอความเห็นจากคู่สมรสของเราด้วยค่ะ อย่างที่เราทราบกันดีว่าการลงทุนล้วนมีความเสี่ยง และถึงแม้การลงทุนนั้นจะเป็น “เงินฉัน” ก็ตามทีค่ะ คุณอาจสงสัยว่าแล้วทำไมต้องจำเป็นที่จะต้องปรึกษาด้วยล่ะ? ขอเราลองมาดูเรื่องราวต่อไปนี้กันค่ะ สมมุติว่าคุณได้เอาเงินส่วนตัวไปทำการลงทุนโดยที่ไม่ได้ปรึกษากับคู่สมรส หากการลงทุนนั้นได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง คุณก็อาจกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของคู่สมรสว่าเงินมากมายได้มาจากไหน จนสุดท้ายกลายเป็นความหวาดระแวง และถูกจับตามองตลอดเวลา ในอีกด้านหนึ่งที่หากการลงทุนของคุณในครั้งนี้เกิดขาดทุนหนักล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณคงจะรูดซิปปากให้สนิทเป็นแน่ เกิดภาวะเครียด อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนไป ซึ่งคุณเองก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของคู่สมรส และสุดท้ายก็กลายเป็นความระแวง และถูกจับตามองตลอดเวลาอีกเช่นกันค่ะ
จากเรื่องราวข้างต้นจะเห็นได้ว่าถึงแม้การลงทุนจะเป็น “เงินฉัน” ก็ตามที และไม่ว่าผลตอบแทนจะได้กำไรหรือขาดทุน หากการลงทุนนั้นไม่ได้ทำการปรึกษากับคู่สมรสมาก่อน สิ่งที่คุณจะได้รับนั้นเหมือนกันค่ะ นั่นก็คือคุณจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของคู่สมรส และผลสุดท้ายก็กลายเป็นความระแวง และถูกจับตามองตลอดเวลา ซึ่งคงเป็นการใช้ชีวิตคู่ที่คุณไม่พึงปรารถนาเลยใช่ไหมคะ ฉะนั้นหากคิดจะลงทุนใดๆการปรึกษากันก่อนจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำค่ะ เพราะนอกจากแสดงถึงความโปร่งใสในเรื่องการเงินของคุณได้แล้ว คุณก็ยังจะมีคู่สมรสไว้เป็นที่ปรึกษา ช่วยให้ความเห็นได้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมดีกว่าคิดเองทำเองคนเดียวกว่าเป็นไหนๆ
มีปัญหาเรื่องเงินต้องคุยกัน
ในปัจจุบันนี้ในหลายๆคู่สมรสมักจะไม่ค่อยกล้าพูดคุยถึงปัญหาทางด้านการเงินของตนเองที่เกิดขึ้น หรือกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการหารายได้ ปัญหาเรื่องใช้ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมไปถึงปัญหาหนี้สิน ฯลฯ สิ่งที่คู่สมรสควรปฏิบัติต่อกันนั่นคือ เมื่อมีปัญหาเรื่องเงินต้องคุยกันค่ะ คุณไม่ควรปิดบังปัญหาเรื่องเงินกับคู่สมรสของตัวเอง เพราะขึ้นขื่อว่าชีวิตคู่นั่นแสดงว่าคุณสองคนได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว คู่สมรสของคุณคงไม่ต้องการเห็นคุณต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพังหรอกค่ะ การพูดคุยกันกับคู่สมรสของคุณถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจะช่วยให้คุณพบทางออกได้ ซึ่งอาจเป็นการช่วยกันคิดแก้ไขปัญหา ช่วยกันหารายได้เพิ่ม หรือการช่วยกันลดค่าใช้จ่ายต่างๆภายในบ้าน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ชีวิตคู่สมรสของคุณมีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และจะพาให้ชีวิตคู่ของคุณนั้นเกิดความผูกพัน แน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ
“คู่สมรส” คนที่เข้าใจ และอยู่เคียงข้างคุณเสมอ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ “3 วิธีสยบ! ทุกปัญหาเรื่องเงินระหว่างสามีและภรรยา”คงช่วยให้ท่านที่กำลังจะเริ่มชีวิตสมรส หรือสมรสกันไปแล้วได้เข้าใจ และกล้าที่จะเอ่ยปากพูดคุยกับคู่สมรสของคุณในเรื่องนี้กันได้ดีมากขึ้นนะคะ ถึงแม้ว่าเรื่องเงินจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และการพูดคุยกันในเรื่องนี้กับใครก็ต้องระวังให้มาก เพราะเป็นเรื่องที่มักจะไวต่อความรู้สึกของคนฟัง แต่ในเมื่อคุณเลือกที่จะใช้ชีวิตคู่แล้ว การพูดคุยกับคู่สมรสในเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรหลีกเลี่ยงค่ะ เพราะการพูดคุยกันเรื่องเงินกับคู่สมรสอย่างเปิดใจ และตรงไปตรงมานั้นก็เป็นอีกสิ่งที่คุณเองสามารถแสดงออกมาให้เห็นได้ถึงความซื่อสัตย์ที่คุณมีให้กับคู่ของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณได้รับความไว้วางใจจากคู่สมรสของคุณเอง สิ่งเหล่านี้ก็จะมีส่วนช่วยทำให้ชีวิตสมรสของคุณมีความเข้าใจ ความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ต่อกัน และจะทำให้ชีวิตคู่ของคุณมีความสุขมากขึ้นได้ค่ะ
น้ำตาล
ปัญหาการเงินในครอบครัวเป็นอีกเรื่องนึงที่สามีและภรรยาจะต้องจัดการด้วยการ หรือถ้าไม่มีวิธีแก้ปัญหาให้ลงตัวแล้วเราก็อาจจะมีปัญหาครอบครัวตามมา ถึงกระทั่งขั้นแยกทางกันเลยทีเดียว ดังนั้นบทความนี้จึงช่วยให้สามีภรรยารู้วิธีที่จะแก้ปัญหาเรื่องเงินโดยการทำ 3 วิธีดังกล่าว ซึ่งสามารถที่จะช่วยกันทั้งสามีภรรยาอย่างแรกก็คือการพูดคุยดีมากเลยค่ะ
แมน
ปัญหาการเงินระหว่างสามีกับภรรยา วิธีแก้อย่างหนึ่งที่ผมชอบมากนะครับก็คือการปรึกษาหารือกัน ถึงแม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นคนถือเงิน แต่ถ้ามีการพูดคุยกันก่อนและปรึกษากันก่อนจะใช้เงินก้อนโต หรือว่าก่อนที่จะเอาเงินไปลงทุนทำอะไรจะเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ เพราะแม้ถึงแม้ว่าจะเกิดการขาดทุนแต่ได้คุยกันแล้ว ก็ถือว่ารับผิดชอบร่วมกันจะได้ไม่มีปัญหาตามมาครับ
Ji Jirayu
ที่จริง ถ้ามีการพูดคุยกันตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ปัญหาเรื่องเงินจะไม่ค่อยมีเท่าไหร่นะครับ อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะ เพราะว่าเราคุยกันเพื่อทำข้อตกลงหรือทำความเข้าใจกันแล้วว่าครอบครัวของเราจะบริหารจัดการเงินกันอย่างไร เมื่อแต่งงานกันแล้วทั้งสองคนก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ได้เลยไม่ต้องมาเถียงกันอีก แต่ถ้าอยากปรับตรงไหนก็คุยกันอีกทีครับ
OOYOO
สามี ภรรยากัน จะทำอะไรก็ต้องมาคุยกันอันนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้าไปแอบลงทุนเอง อันนี้เขาเรียกว่าแสดงว่าไม่มีความเชื่อใจกัน แบบนี้อยู่กันไม่ได้นานหลอก อยู่ด้วยกัน คุยด้วยกันสิ ดีออก เวลามีปัญหาอะไรแล้วมานั้งคุยกัน มาช่วยกันแก้ปัญหา แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าครอบครัว ถ้าแยกกันคิดแยกกันทำ แบบนี้เขาไม่เรียกครอบครัวแล้วละ
ชาไข่มุก
สำหรับเรา เราว่าแค่ช่วยกันทำรายการรายรับรายจ่ายและ ตกลงกันและแบ่งกันว่าใครจะออกค่าอะไรเป็นสัดส่วนแค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วค่ะ ส่วนเงินที่เหลือของแต่ละคนก็เอาไปใช้ตามความจำเป็นส่วนตัวเลยก็จบค่ะ แต่ในส่วนใหญ่คนสมัยนี้มีปัญหาการเงินกันก็เพราะว่า แต่ละคนไม่คุยและช่วยกันทำสิ่งต่างๆให้เป็นแบบเป็นแผนมากกว่านะคะ
แป้งทอดกรอบ
การสำรองเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉินก็ช่วยลดปัญหาเรื่องเงินได้นะ สามีภรรยาอาจตกลงกันก็ได้ว่าจะกันเงินไว้ส่วนนึงสำหรับเจ็บป่วย รถเกิดอุบัติเหตุ หรือปัญหาอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นที่ทำให้ต้องใช้เงิน ถ้าทำแบบนี้ไว้ก่อนเวลาเกิดปัญหาจะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันทีหลังว่าทำไมไม่สำรองเงินไว้ และจะได้ไม่ต้องวิ่งเต้นหาเงินกันให้วุ่นด้วย การสำรองเงินนี้อาจค่อยๆเก็บไว้ก็ได้ พอได้เงินจำนวนนึงก็เอาเข้าแบงค์ไปเลย
ริน
ปัญหาเรื่องเงินเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามีและภรรยาจำเป็นต้องมีการปรึกษาหารือหรือคุยกันก่อน ที่จะตัดสินใจทำการลงทุนอะไรสักอย่างโดยใช้เงินของทั้งคู่เอง ก็ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อเกิดผลที่ขาดทุนจะได้ไม่เสียใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่จำเป็นต้องมีการคุยกันสามีและภรรยาเป็นเหมือนคนคนเดียวกันจำเป็นต้องมีการคุยกันทุกเรื่อง ไม่ควรมีความลับค่ะ
ยิ่งเทพ
ชอบที่บทความนี้บอกครับ บทความนี้บอกเราว่า “คู่สมรส” คนที่เข้าใจ และอยู่เคียงข้างคุณเสมอ เรื่องนี้จริงๆนะครับ ถ้าแต่งงานคกลงที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว มันก็เหมือนว่าเราเป็นคนๆเดียวกันแล้วละครับ การรับฟังกันและกัน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญนะครับ โดยเฉพาะเรื่องของเงินๆทองๆ ยิ่งต้องพยายมฟังทันทีที่คู่ของเราต้องการคุยด้วยนะครับ
Mona
ฉันเองเพิ่งแต่งงานเมื่ปลายปีที่แล้ว ชีวิตคู่ก็ไปได้ด้วยดี เราทั้ง 2 ทำงานบริษัทเอกชน รายได้พอประมาณตอนนี้ยังไม่มีลูก แต่ก็ได้วางแผนไว้ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปสักระยะหนึ่งก่อน ฉันได้อ่านบทความนี้ ทำให้ฉันได้เห็นแง่มุมที่ฉันเองก็ได้มองข้ามความสำคัญไป ขอบคุณมากสำหรับบทความดีๆแบบนี้ ที่ช่วยให้ฉันได้มีแง่คิดที่ดีและเป็นประโยชน์
เก่ง
ผมเห็นด้วยนะครับ สามีภรรยาต่อจะให้รวมกระเป๋าบ้านเป็นกระเป๋าใบเดียวหรือว่าแยกกระเป๋ากันใช้ ก่อนจะใช้เงินก้อนใหญ่ๆจำเป็นต้องคุยกันเรื่องวัตถุประสงค์ของเงินที่เราจะใช้ไปกับส่วนต่างๆอย่าง ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าของใช้จิปาถะ หรือแม้แต่ค่าเสื้อผ้า ต้องคุยกันว่าในแต่ละเดือนแล้วจะหมดเงินไปกลับค่าใช้จ่ายส่วนนี้เท่าไหร่ อยากจะเก็บเงินไปเที่ยวไหม อยากจะเก็บเงินออมเงินเดือนละเท่าไหร่ อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องคุยกันดีๆนะครับ
แตงโม
เรื่องเงินเรื่องทองไม่เข้าใครออกใคร แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินระหว่างสามีกับภรรยาเนี่ย เราว่าต้องคุยกันดีๆ ไม่งั้นมีปัญหากันใหญ่แน่ เห็นมาหลายคู่แล้วนะที่มีปัญหากันเรื่องเงินจนได้แยกกันเลย อย่างถึงคู่ไหนจะไม่ชอบลงทุนแต่เรื่องรายจ่ายในบ้านจะเอาเงินไปใช้ทำอะไรยังไงมันก็ต้องคุยกัน แต่ไม่ถึงขนาดจะใช้อะไรก็ต้องบอกทุกอย่างมันต้องมีสมดุล แต่ละบ้านไม่เหมือนกันมันยากตรงนี้แหละจะหาสมดุลได้อยู่ที่ตรงไหน
จอร์น
เรื่องเงินนี้ ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สามีภรรยาต้องคุยกันดีๆครับ ถ้าอยากอยู่ด้วยกันนานๆเรื่องเงินนี้มันต้องคุยกันได้วิธีการใช้จ่ายต้องมีสไตล์คล้ายๆกันด้วย อย่างคนอื่นเขาจะชอบเก็บคนนึงอาจจะชอบใช้ ก็ต้องคุยให้ตรงกันว่าอันไหนใช้ได้อันไหนใช้ไม่ได้เงินส่วนไหนที่ต้องเก็บ ค่าใช้จ่ายอันไหนจำเป็นจริงๆ ถ้าไม่ได้วางแผนหรือคุยกันก่อนผมว่ามีปัญหาแน่ครับ
ภูเบศ
เท่าที่ผมเรียนรู้จากเพื่อนๆของผมนะครับ คู่ที่จะมีปัญหาเรื่องการใช้เงินมากที่สุดน่าจะเป็นคู่ที่ แบ่งกระเป๋ากันใช้จ่ายครับ ทำงานใช้ใครใช้มันครับ ไม่ได้เอามาเก็บรวมกันแล้วก็แบ่งใช้ตามที่เราจำเป็นจริงๆ พออีกฝ่ายใช้เงินซื้อในสิ่งที่ไม่จำเป็นก็มักจะบอกว่าเป็นเงินที่ตัวเองหามาได้ แบบนี้แหละครับ เลยทำให้เป็นปัญหาได้