หลายคนอาจสงสัยว่า VISA vs MasterCard แบบไหนจะดีสำหรับคุณ และเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สำหรับบัตรประเภทวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด อาจจะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อต้องตัดสินใจระหว่างบัตรวีซ่ากับมาสเตอร์การ์ด คนส่วนใหญ่ก็มักจะให้ความสนใจมากขึ้นว่า ธนาคารผู้ออกบัตรจะนำเสนอบัตรเครดิตประเภทไหนให้ หรือบัตรแต่ละประเภทมีสิทธิประโยชน์อย่างไร เช่น Cash back หรือผ่อนชำระ 0% เป็นต้น
Theethawat Bootmata/shutterstock.com
VISA และ MasterCard คืออะไร
วีซ่าและมาสเตอร์การ์ดไม่ได้เป็นผู้ออกบัตรเครดิตโดยตรง แต่เป็นตัวกลางในการชำระเงิน และดำเนินการระหว่าง ร้านค้า กับ สถาบันการเงิน ซึ่งสถาบันการเงินจะมีสองส่วน คือ สถาบันการเงินที่ออกบัตร และสถาบันการเงินเจ้าของเครื่องรูดชำระที่ติดตั้งในร้านค้า โดยทั้งวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดนั้น มีเครือข่ายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งได้รับการยอมรับจากสากลว่าเป็นระบบที่ worldwide มากที่สุด นอกจากวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดแล้ว ยังมีผู้ให้บริการรายอื่น ๆ อีก เช่น American Express, JCB, UNION PAY เป็นต้น ถ้าถามถึงความนิยมในการใช้งานของบัตรทั้งสองแบบ ต้องบอกว่าพอกันๆ แต่อาจจะค่อนไปทางบัตรวีซ่ามากกว่า เพราะมีเครือข่ายการให้บริการมากกว่า 29 ล้านร้านค้า และมีตู้ ATM ที่ใช้ในการถอนเงินสดมากกว่า 200 ประเทศ ทั่วโลก นิยมใช้กันในโซนเอเซีย และอเมริกา ในขณะที่บัตรมาสเตอร์การ์ดนั้นก็มีเครือข่ายการให้บริการมากถึง 30 ล้านร้านค้า และตู้ ATM มากกว่า 200 ประเทศ ทั่วโลกเช่นกัน แต่จะนิยมใช้ในโซนยุโรปซะมากกว่า ถึงแม้ว่าบัตรทั้งสองประเภทจะนิยมใช้ในพื้นที่ที่ต่างกัน แต่ในความแตกต่างก็ยังมีความเหมือนกันคือ สิทธิประโยชน์ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดตามร้านค้าต่างๆ และความคุ้มครองอุบัติเหตุเมื่อผู้ถือบัตรฯ เดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น
VISA
VISA คือ ผู้ให้บริการเครือข่ายในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตจากประเทศอเมริกา ที่มีจำนวนผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งให้บริการทั้งบัตรเครดิต และบัตรเดบิต โดย VISA ได้นำเทคโนโลยีเพื่อการชำระเงินระดับโลก มาเชื่อมโยงการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภค และธุรกิจไว้ด้วยกัน ซึ่งให้บริการทั้งธนาคารและภาครัฐ กว่า 200 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน เพื่อให้ได้ใช้สกุลเงินระบบดิจิตอลแทนเงินสดและเช็คร่วมกันได้อย่างคล่องตัว
หลายคนยังคงมีคำถามว่าบัตร VISA คือบัตรเครดิตใช่หรือป่าว? VISA ไม่ได้เป็นผู้ออกบัตรเครดิต แต่เป็นเพียงเครือข่ายการชำระเงิน และส่งข้อมูลให้ธนาคารเท่านั้น นวัตกรรมของ VISA ช่วยให้ธนาคารได้เสนอทางเลือกด้านการทำธุรกรรมทางการเงินที่เพิ่มขึ้นให้แก่ลูกค้าของธนาคาร ซึ่งทำให้ลูกค้าของธนาคาร สามารถเข้าถึงการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น ทั้งจากหัวเมืองใหญ่ของโลก ไปยังเมืองในพื้นที่ห่างไกลที่บางพื้นที่ไม่มีธนาคาร ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั่วโลกจึงสามารถชำระเงินได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และต่างวางใจในสกุลเงินระบบดิจิตอลมากขึ้น
โดย VISA มีร้านค้าที่รับบัตร VISA กว่า 28 ล้าน ร้านค้า และตู้ ATM ที่สามารถกดเงินสดได้ 2 ล้านตู้ใน 200 ประเทศทั่วโลก (2559)
โปรโมชั่นเด่น สำหรับบัตร VISA โดยทั่วไปแล้ว ความแตกต่างของบัตร VISA จะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับของบัตร Visa ที่ผู้ใช้บริการถืออยู่ เช่น บัตร Visa Classic จะสามารถตอบสนองความต้องการในการเช่ารถให้แก่ผู้ถือบัตรได้, บัตร Visa Signature จะคุ้มครองผู้ถือบัตร มีประกันการเดินทาง และประกันการใช้จ่ายให้ เช่น เมื่อผู้ถือเข้าพักในโรงแรม Visa Signature Luxury Hotel Collection สามารถอัพเกรดห้องพักได้ฟรี, มีบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย, บริการอาหารเช้า, และยังสามารถเช็คเอาท์สายได้ เป็นต้น ซึ่งบอกได้เลยว่า หากจะเลือกถือบัตรเครดิตสักใบ การมีบัตร VISA ก็ควรจะเป็นบัตรเครดิตพื้นฐานที่ควรพกติดกระเป๋าสักใบ เพราะสามารถใช้จ่ายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นประเภทบัตรที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางนั่นเอง
MasterCard
สำหรับบัตร MasterCard ถ้ามองถึงคุณสมบัติโดยรวม แทบไม่ต่างจาก VISA เลยค่ะ เพราะเป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้ให้บริการชำระเงินเช่นเดียวกันกับบัตร VISA และยังเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตจากประเทศอเมริกาอีกเจ้าหนึ่ง ให้บริการทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรพรีเพด เช่นเดียวกับบัตร VISA ซึ่ง MasterCard เอง มีร้านค้าที่รับบัตรกว่า 30 ล้าน ร้านค้าทั่วโลก เช่นกัน แต่ก็มีบางครั้งที่ผู้ถือบัตรประเภทนี้ ต้องเจอปัญหาในการชำระเงิน เพราะร้านค้าบางร้านในบางประเทศ ไม่รับบัตรค่ายที่ผู้ใช้ถืออยู่ เช่น บางร้านค้าในประเทศแคนาดาที่รับบัตร VISA เสียส่วนใหญ่ แต่ไม่รับบัตร MasterCard แต่สำหรับในประเทศไทยนั้น บัตร MasterCard ยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก และร้านค้าส่วนใหญ่ ก็ยินดีรับบัตรประเภทนี้ไม่ต่างจากบัตรประเภท VISA เลย
นอกจากนี้ บัตร MasterCard ยังคงมีโปรโมชั่นตอบสนองความต้องการให้แก่ผู้ถือบัตร เช่น ผู้ถือบัตร World หรือ World Elite MasterCard จะได้รับความสะดวกสบาย สำหรับการเข้าพักในโรงแรม MasterCard World Elite ได้ด้วย ซึ่งจะมีบริการอัพเกรดห้องพักให้ฟรี, มีบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย, อาหารเช้า, และสามารถเช็คเอาท์สายได้ และยังมีโปรโมชั่นด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น กีฬา เอ็นเตอร์เทนเม้น ช้อปปิ้ง และงานอีเวนท์ในเมืองต่างๆ ทั้งในประเทศ และทั่วโลก
ประเภทของบัตร VISA และ MasterCard
จากการสำรวจผู้บริโภคทั้งบัตรวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดพบว่า บัตรวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดมีสิทธิประโยชน์และข้อเสนอต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกัน และมีการให้บริการที่ไม่แตกต่างกัน
VISA
บัตรประเภทวีซ่ามีหลายระดับดังต่อไปนี้ VISA Classic, VISA Gold, VISA Platinum, VISA Signature และ VISA Elite
VISA Classic เป็นบัตรพื้นฐานของบัตรวีซ่า ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ดังนี้ ความช่วยเหลือทุกแห่งทั่วโลก 24 ชม. 7 วันทำการ จากบริการช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับลูกค้าวีซ่า (Global Customer Assistance), รับบัตรทดแทนในเวลาฉุกเฉิน, และเปิกถอนเงินสดฉุกเฉิน
VISA Gold จะได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับ วีซ่า คลาสสิก พร้อมทั้งได้รับข้อเสนอพิเศษจากร้านค้า ภัตตาคาร แหล่งท่องเที่ยว และสถานบันเทิงชั้นนำทั่วโลก
VISA Platinum มีสิทธิประโยชน์ดังนี้ มีผู้ดูแลส่วนตัว 24 ชั่วโมง, ประกันอุบัติเหตุระหว่างเดินทางของผู้ถือบัตร คู่สมรส และบุตร ในวงเงินขั้นต่ำ $500,000 ขึ้นไป, โบนัสในการเดินทาง ซึ่งจะได้รับการต้อนรับระดับวีไอพีระหว่างเดินทาง, สะสมคะแนนแลกของรางวัล และเอกสิทธิ์แห่งไลฟสไตล์ ที่จะได้รับเชิญไปรับประทานมือค่ำสุดหรู หรืองานเปิดแกลลอรี่ต่าง ๆ
VISA Signature มีสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างจากระดับแพลทินัม ซึ่งสิทธิประโยชน์ของระดับซิกเนเจอร์มีดังนี้ คะแนนสะสมเพื่อแลกรับรางวัลพิเศษ, บริการผู้ดูแลส่วนตัว, ประกันอุบัติเหตุการเดินทางตลอดเส้นทาง, สิทธิพิเศษที่สนามบิน, สิทธิประโยชน์จากโรงแรม และสิทธิพิเศษส่วนลดสนามกอล์ฟกว่า 300 แห่งทั่วโลก
VISA Infinite ถือเป็นระดับสูงสุดของบัตร VISA มีสิทธิพิเศษดังนี้ ผู้ดูแลส่วนตัวถึงที่บ้าน รวมไปถึงในต่างประเทศด้วย ตลอด 24 ชม. 7 วันทำการ, ประกันอุบัติเหตุการเดินทาง ขั้นต่ำ $1,000,000 ขึ้นไป, พักผ่อนในห้องรับรองพิเศษของสนามบินทั่วโลก, สิทธิพิเศษที่สนามบินระดับวีไอพี และข้อเสนอพิเศษส่วนลด 75% จากโรงแรมกว่า 55,000 แห่งทั่วโลก
MasterCard
มาสเตอร์การ์ดนั้นมี 5 ประเภท เช่นเดียวกันกับ VISA ได้แก่ MasterCard Standard, MasterCard Gold, MasterCard Platinum, MasterCard World และ MasterCard World Elite ซึ่งสิทธิประโยชน์นั้นมีความคล้ายคลึงกับบัตร VISA ค่ะ
MasterCard Standard มีสิทธิประโยชน์ดังนี้ MasterCard Global Service บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชม. 7 วันทำการ และเงินฉุกเฉิน
MasterCard Gold มีสิทธิประโยชน์ดังนี้ บริการช่วยเหลือบนท้องถนน ทั้งส่งน้ำมันฉุกเฉิน เปลี่ยนยาง และอื่น ๆ, บริการผู้ช่วยเหลือระหว่างเดินทาง ติดต่อสถานทูตในกรณีฉุกเฉิน รวมไปถึงแพทย์และทนายความ ที่สามารถพูดภาษาของคุณได้ด้วย
MasterCard Platinum มีบริการ Purchase Assurance ที่ช่วยคุ้มครองสินค้าที่คุณซื้อผ่านบัตร มาสเตอร์การ์ด แพลทินัม ในกรณีสูญหายหรือถูกขโมย ภายใน 90 วัน, บริการผู้ช่วยเหลือระหว่างเดินทาง เช่นเดียวกันกับ มาสเตอร์การ์ด โกลด์ และบริการผู้ช่วยทางด้านการเงินที่ช่วยจัดการการเงินของคุณ ทั้งการเตรียมการด้านภาษี และบริหารจัดการเงินของคุณ
MasterCard World จะมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากบัตร Benefits เช่นมีที่ปรึกษาการเดินทางส่วนบุคคล, มีการคุ้มครองราคาเพิ่มเป็น 120 วัน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมเพิ่ม เช่น อาหารเช้าฟรี, เช็คเอาท์ช้าได้, และการอัพเกรดห้องพัก
MasterCard World Elite เป็นบัตรระดับสูงสุดของมาสเตอร์การ์ด มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์มหาศาล เช่น ให้บริการในราคาสุดพิเศษกับร้านค้าที่ร่วมรายการหรือบริการเช่ารถ, ราคาสุดพิเศษสำหรับค่าตั๋วเครื่องบินและการล่องเรือ หรือแพคเกจท่องเที่ยวสำหรับวันหยุดพักผ่อน
ข้อควรรู้เพิ่มเติมระหว่าง VISA และ MasterCard
ถึงแม้ว่าร้านค้าส่วนใหญ่จะรับทั้งบัตร Visa และ MasterCard แต่ทั้ง 2 บัตรนี้ก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง นั่นคือ
- มีบางครั้งเหมือนกันที่ผู้ถือบัตรต้องมีปัญหาในการชำระเงินเพราะร้านไม่รับบัตรค่ายที่ผู้ใช้ถืออยู่ อย่างเช่นบางร้านค้าในแคนาดาที่จะรับบัตร Visa แต่ไม่รับ MasterCard
- โปรโมชั่นทั้ง Visa และ MasterCard ต่างก็มีโปรชั่นแตกต่างกับไปตามบัตรแต่ละประเภท เช่น บัตร Visa classic จะมีโปรโมชั่นการเช่ารถให้ผู้ใช้ บัตร Visa Signature จะมีประกันการเดินทางและการใช้จ่ายให้ อีกทั้งเมื่อผู้ถือเข้าพักในโรงแรม Visa Signature Luxury Hotel Collection ยังสามารถอัพเกรดห้องได้ฟรี แถมมีบริการอาหารเช้า, อินเตอร์เนต และเช็คเอาท์สายได้ ส่วน MasterCard ก็มีโปรโมชั่นให้ผู้ถือบัตร World หรือ World Elite MasterCards เช่นกัน โดยเมื่อเข้าพักในโรงแรม MasterCards World Elite จะมีบริการอัพเกรดห้องฟรี, มีอาหารเช้า บริการอินเตอร์เนต และเช็คเอาท์สายได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีโปรโมชั่นด้านอื่นๆ อีกไม่ว่าจะเป็น ช็อปปิ้ง กีฬา เอนเตอร์เทน และงานอีเวนท์ในเมืองต่างๆ อีกทั่วโลก
สรุป
ไม่ว่าจะเป็นบัตรจากค่ายไหน แทบไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้สมัคร ซึ่งมีความแตกต่างกันเพียงโปรโมชั่นของบัตรแต่ละค่ายเท่านั้นเอง โดยในประเทศไทยบัตรที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุด ได้แก่ บัตร VISA, MasterCard และ JCB ตามลำดับ (แต่ในต่างประเทศ บัตรที่ได้รับความนิยมและยอมรับบัตรอย่างกว้างขวาง ได้แก่ VISA , MasterCard และสำหรับบัตร American Express, Discover, Diner’s Club, UnionPay และ JCB จะมีการใช้งานเฉพาะกลุ่มประเทศนั้นๆ มากกว่า) การมีบริษัทเครือข่ายรับชำระเงินเหล่านี้ ทำให้เราสามารถใช้จ่ายเงินทั้งในประเทศ และใช้จ่ายเงินในสกุลเงินต่างประเทศได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้ควรพิจารณาถึงคุณสมบัติ และโอกาสที่จะได้ใช้บัตรประเภทนั้นๆ และระมัดระวังการใช้จ่ายทุกครั้ง ทั้งในและต่างประเทศเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการไม่คาดฝันขึ้นค่ะ
San'ya
โดยส่วนตัวแล้วผมชอบ บัตร visa มากกว่า ส่วนใหญ่บัตรวีซ่าจะเป็นแบบเพยเวฟด้วย ในขณะที่บัตรmasterไม่มี ซึ่งบัตรแบบเพยเวฟค่อนข้างง่ายต่อการจ่ายเงินไม่จำเป็นจะต้องรูดบัตร ทำให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกขโมยข้อมูลผ่านแถบแม่เหล็กด้วย ส่วนบัตร master เคยได้ยินว่าใช้ได้กับร้านไม่ค่อยหลากหลาย ผมก็เลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ
kwan
ได้ความกระจ่างถึงความแตกต่างของบัตรเครดิตแบบวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดก็วันนี้เองครับ ถ้าจะต้องเลือกการใช้บัตรเครดิตให้ตรงกับพื้นที่การใช้งานบ้านเราก็คงต้องเป็นแบบวีซ่าเหมือนที่ความคิดเห็นแรกบอก แต่ถ้าจะไปเที่ยวแบบไปประเทศญี่ปุ่นก็ไปทำแบบJCB อีกใบนึง ไม่ใช่ผมสมัครแต่เป็นพี่สาวผม เขาสมัครไว้เอาไว้ใช้ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นน่ะครับ
สมชาย
สำหรับใครที่ใช้บัตรเครดิตก็จะเห็นว่ามีการให้บริการเกี่ยวกับเป็นบัตรวีซ่าหรือบัตรมาสเตอร์การ์ดด้วย ซึ่งหลายคนคงจะสงสัยว่าทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร บทความนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ความกระจ่างกับเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ เธอจะช่วยเราให้สามารถแยกแยะออกว่าเราจะใช้บริการของบัตรเครดิตในรูปแบบของ visa หรือ mastercard
วิน
ผมก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันนะครับว่าบัตรเครดิตมีทั้งในรูปแบบของ visa และ mastercard มันต่างกันยังไงผมก็เห็นแค่เขียนเอาไว้ในบัตรแค่ชื่อ แต่พอผมได้อ่านบทความนี้ผมก็ได้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับ 2 รูปแบบที่สามารถช่วยให้เราเลือกใช้บริการได้ตามความเหมาะสมสำหรับตัวเราเอง เพราะดูเหมือนว่าทั้ง 2 อย่างจะมีอาทิตย์ 4 หรือสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันอยู่นะครับ
ลูกศร
แทบไม่ต่างกันเลยสำหรับบัตรเครดิตแบบวีซ่ากับมาสเตอร์การ์ด ผู้สมัครบัตรคงเลือกว่าจะใช้บัตรไหนจากสิทธิประโยชน์โดยรวมที่ได้จากบัตรมั้ยคะ? อันนี้เราเดาเอานะเพราะเราไม่มีบัตรเครดิตทั้งแบบวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดสักใบ เท่าที่เห็นคนอื่นใช้ เขาใช้ตามสิทธิประโยชน์ที่ได้จากบัตรนะ หากตรงกับการใช้งานของเขาก็ใช้บัตรนั้นน่ะค่ะ
สาว 242
เราก็ว่าอยู่ เห็น บ้างร้าน ก็บอกว่า รับวีซ่า บางร้านก็ไม่รับ เราก็ว่า มันบัตรเครดิต เหมือนกัน มันก็น่าจะใช้ได้สิ อ่านแล้วเข้าใจเลย มันต่างกันนิดหน่อย ตามที่เพื่อนๆบอกจริง แล้วถ้าเป็นแบบนี้ตอนที่เราไปเที่ยวต่างประเทศ เราไม่ต้องพกบัตรเครดิต สองใบเลยเหรอ เพราะว่าถ้าไปแล้วเขาไม่รับบัตรที่เรามีอยู่เรานี่จะแย่เอานะ
ไข่มุก
ขอบคุณบทความนี้มากๆเลยนะคะ หนูกำลังหาข้อมูลเกี่่ยวกับเรื่่องพวกนี้ไปทำรายงานพอดีเลยค่ะ หนูดูมาก็หลายเว็บแต่รู้สึกว่าแต่ละเว็บให้ข้อมูลจน้อยมากๆเลยค่ะ แต่พอมาเจอบทความในเว็บนี้แล้วคือดีมากอะคะ ให้ข้อมูลดีมากค่ะ แถมมีความรู้เพิ่มเติมให้อีก หนูคงต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ ขอบคุณมากสำหรับบทความนี้เลิฟเลิฟนะคะ
เกี๊ยวน้ำ
ถ้าใครไปต่างประเทศบ่อยอย่างฝั่งยุโรปทำบัตรมาสเตอร์การ์ดไว้ก็ดีนะเพราะร้านเขารับเยอะและเรทก็ถูกกว่า วีซ่าด้วย บ้านเราส่วนมากเห็นจะรับวีซ่าเยอะกว่ามาสเตอร์การ์ด ยังไงก็แล้วแต่เราว่าทำทั้งสองบัตรไปเลยก็ดีเหมือนกันเพราะบางร้านบางประเทศก็รับบัตรวีซ่าบ้างบัตรมาสเตอร์การ์ดบ้างถ้ามีทั้งสองตัวก็จะได้ใช้ได้ทันที
บอย
บทความนี้ช่วยให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างเมื่อเราใช้บัตรเครดิต จะมีชื่อว่า mastercard กับ visa เข้าใจแล้วว่าทำไมเราจำเป็นต้องเลือกใช้อย่างใดอย่างนึง เอาสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการใช้บริการแตกต่างกัน ผมคิดว่าวีซ่าสามารถที่จะใช้งานได้ง่ายกว่า เพราะเป็นที่รู้จัก และสามารถใช้จ่ายเงินสดได้ในหลายๆสถานที่ชั้นนำทั่วโลกครับ
นาย เชฟ ปิยากรรณ
ส่วนใหญ่เท่ามี่ผมเห็นที่เพื่อนใช้กัน จะมีต่อท้าย ว่า visa เยอะนะครับ แต่ก็อย่างที่บทความนี้บอกครับ เพราะว่า visa เขาได้รับความนิยมมานานแล้ว แล้วก็มีมานานแล้วด้วย จึงไม่แปลกที่หลายๆธนาคารจะออกบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือแม้ แต่บัตร ATM ที่ลงท้ายด้วย visa คราวนี้ถ้าใครจะใช้แบบไหน ก็ต้องมาดูแล้วละว่าชอบสิทธิประโยชน์แบบไหนมากกว่ากัน
กุลภัค
บัตรสองอย่าง นี้ ไม่เหมือนกันเลยนะคะ เราจะเจอบ่อยๆก็บัตร ATM เหมือนกันคะ ที่ต่อท้ายบัตร ของเขาด้วย คำว่า AISA แต่ ก็ไม่เคยเอาไปใช้งานอะไรหลอกคะ เพียงแค่ เมื่อใช้งานแล้วเวลาหยิบออกมาแล้วมันดูดีเท่านั้นเองคะ ส่วนถ้าจะเป็นพวกบัตนเครดิต เราคิดว่าเราคงทำไม่ได้แน่ๆ เพราะว่าเงินเดือนน่าจะเยอะอยู่ถึงสามารถสมัครบัรได้
Juta nan
จริงอย่างที่บทความนี้บอกนะคะ บัตรเครดิตจะเป็นประเภท VISA หรือ Master Card ก็ไม่เท่ากับบัตรเครดิตใบนั้นให้สิทธิประโยชน์อะไรกับผู้ถือบัตรบ้าง ที่สำคัญ คือ ผู้ถือบัตรเครดิตท่านนั้นพอใจกับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากบัตรเครดิตนั้นหรือไม่ บางคนชอบเงินคืนแบบ Cash back บางคนชอบคะแนนสะสมเยอะๆ แล้วแต่ใครชอบอะไรอะค่ะ
(Wuttinan):)
จะใช้บัตรเครดิตประเภท VISA หรือ MasterCard ดูเรื่องสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับดีกว่าครับ ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การใช้งานบัตรเครดิตย่อมไม่เหมือนกันด้วย ถ้าเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะกับกับการใช้งานของตัวเองได้ คุณจะใช้บัตรเครดิตใบนั้นอย่างคุ้มค่ามากเลยครับ บัตรเครดิตแบบไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีก็น่าใช้นะ