สถานการณ์เปลี่ยน ! คนเปลี่ยน !  มันเป็นความจริงในชีวิตของคนเราเพื่อการอยู่รอดเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนเราจำเป็นต้องเปลี่ยนตามทั้งพฤติกรรมความคิดและการกระทำ ตัวอย่างเช่น บางคนเมื่อมีการเจ็บป่วยร้ายแรง ถ้าเขาอยากหายเขาต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การกิน การอยู่ การนอนของตัวเองเกือบทั้งหมด ในธุรกิจก็เหมือนกันค่ะ ตอนนี้ทุกคนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดหลายอาชีพต้องปิดกิจการไป ทำให้หลายคนตกงาน ขาดรายได้ ในฐานะผู้บริโภคเองเรายังไม่แน่ใจว่าสถานการณ์และเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ? เพื่อความอยู่รอดเราก็จำเป็นต้องปรับตัวตามไปด้วยทั้งในเรื่องพฤติกรรมการใช้จ่าย การอยู่ การกิน ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคค่ะ

ดิฉันมองว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ! และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทุกคนดังนั้นในบทความนี้ดิฉันจึงนำข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของซื้อซึ่งมีผลธุรกิจต่างๆในบ้านเรา มาฝากกันค่ะ เช่น พฤติกรรมอะไรของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อที่เปลี่ยนไป ? , ผู้ขายต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะเข้าใจคนซื้อ ?, แล้วก็มีตัวอย่างธุรกิจที่เขาประสบความสำเร็จที่ช่วยต่อยอดความคิดของเราได้ ขอเพื่อนๆลองอ่านไปพร้อมกันเลยนะคะ เผื่อจะได้ไอเดียใหม่ๆในการต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้ค่ะ

พฤติกรรมอะไรของคนซื้อที่เปลี่ยนไป?

พฤติกรรมอะไรของคนซื้อที่เปลี่ยนไป?

จากวิกฤตโควิด ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้หลายคนได้มาเข้าใจว่าเราต้องมีการปรับเปลี่ยนตาม !  ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การเรียน งานอาชีพ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเรากำลังเข้าสู่สังคม New normal ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนตามเราอาจจะอยู่ลำบากขึ้น เพราะเราจะตามไม่ทันคนอื่นเขานั่นเอง

ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ผู้คนที่ได้รับผลกระทบมีการเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือ  รายได้ และการบริโภคสินค้าและบริการ คนที่รายได้น้อยลง และคนที่ขาดรายได้ จะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยเปลี่ยนไป จะประหยัดมากขึ้น จะซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยารักษาโรค และอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด คนกลุ่มนี้จะหันมาทำอาหารกินเองที่บ้านเป็นหลัก และลดการซื้อของฟุ่มเฟือย

ส่วนคนที่ยังมีรายได้ประจำอยู่ ก็เลือกที่จะซื้อสินค้าที่เหมาะกับการ Work from home และเลือกที่จะสั่งอาหารมากินที่บ้านแทนการออกไปซื้อและทำกินเอง ซึ่งทำให้ปลอดภัย และทำตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมไปด้วย

ดิฉันสังเกตว่าผู้คนในยุคโควิดสนใจในการติดตามข้อมูลข่าวสารกันเยอะขึ้น อยู่กับบ้านมากขึ้น และดูทีวีมากขึ้นด้วย การจับจ่ายซื้อของลดลง แน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลกระทบถึงผู้ผลิต หรือเจ้าของกิจการต่างๆด้วย ในฐานะผู้ขายจะอยู่เฉยต่อไปไม่ได้แล้วจ้า !

ผู้ขายต้องทำอย่างไรเพื่อเข้าใจคนซื้อ?

ผู้ขายต้องทำอย่างไรเพื่อเข้าใจคนซื้อ?

เพื่อความอยู่รอด ! ธุรกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า - แม่ค้า ร้านอาหาร หรือ ธุรกิจSME จำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน และเข้าใจความต้องการของคนซื้อมากขึ้น เราจะเห็นว่า เกือบทุกธุรกิจในบ้านเราตอนนี้ปรับตัวได้เร็วมาก โดยเฉพาะได้มีการใช้ระบบออนไลน์ เข้ามามีบทบาทในธุรกิจมากขึ้น โดยมีการคิด การวางแผน การลงมือทำทันที ร่วมกับการเรียนรู้ ควบคู่ไปด้วย สิ่งที่ผู้ขายจะต้องทำเพื่อเข้าใจลูกค้าคือ คิดก่อนว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตอนนี้มาจากสาเหตุอะไร?

เมื่อรู้ถึงสาเหตุแล้วว่า เป็นเพราะสถานการณ์บังคับ เศรษฐกิจแย่ลง และลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ทำให้ผู้คนประหยัดมากขึ้น ซื้อแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น และอยู่บ้านมากขึ้น ผู้ขายต้องเริ่มวางแผนว่า ในเวลานี้จะสินค้าประเภทไหนที่ผู้คนสนใจซื้อมากที่สุด ? สินค้าของเราตอนนี้สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้มั้ย? เราจะเปลี่ยนสินค้าและเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการหรือเปล่า ?  เมื่อประเมินได้แล้วว่า ผู้คนอยู่บ้านกันมากขึ้น ช้อปปิ้งทางออนไลน์มากขึ้น และใช้บริการเดลิเวอรีกันมากขึ้น ทีนี้เราต้องลงมือเปลี่ยนธุรกิจของเราให้เข้าสู่ระบบออนไลน์ด้วยเพื่อตามให้ทัน จะเห็นได้ว่า ถ้าธุรกิจไหนปรับตัวได้ทันก็สามารถพลิกวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสได้ง่ายๆ เช่น ตัวอย่างของธุรกิจที่เขาประสบความสำเร็จที่ดิฉันได้เอามาเป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆได้ศึกษากันเพื่อ ต่อยอดทางความคิด เผื่อธุรกิจของเราจะรุ่งเหมือนกับคนอื่นๆบ้างยังไงหล่ะคะ.

ตัวอย่างธุรกิจที่ช่วยต่อยอดความคิดของเราได้

ตัวอย่างธุรกิจที่ช่วยต่อยอดความคิดของเราได้

กลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวได้ดีในภาวะวิกฤติแบบนี้ เขาได้ใช้ LINE เป็นช่องทางเพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหรือผู้ซื้อมากขึ้น เช่น..

ร้าน SodAPrintinG.com

เป็นธุรกิจผลิตของขวัญแบบชิ้นเดียวในโลก  ด้วยการนำเอารูปภาพอัดเป็นของขวัญสุดพิเศษในโอกาสต่างๆทั้งวันเกิด รับปริญญาพอเกิดภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ประชาชนหันมาซื้อแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส แต่ก็ยังรักษาธุรกิจผลิตของขวัญเอาไว้โดยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้นทางร้านจึง เปลี่ยนมาผลิตหน้ากากผ้าแทนเพื่อให้ผู้ซื้อได้นำไปเป็นของขวัญกับคนที่เขารักได้ และนำเอา LINE Official Account เข้ามาพัฒนาสินค้าและเป็นช่องทางติดต่อและขายสินค้าอีกด้วย การปรับเปลี่ยนนี้นอกจากจะทำให้ต่อยอดธุรกิจได้แล้วยังทำให้ชาวบ้านมากกว่า 100 ครัวเรือนได้มีงานทำและมีเงินใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้อีกด้วยค่ะ

ธุรกิจทางการเกษตร

กลุ่มเกษตรกรผู้ส่งออกลิ้นจี่ของ จ.เชียงราย หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทางรัฐบาลก็มีการประกาศ น็อคดาวน์ ไม่ให้ออกต่างประเทศ สินค้าการเกษตรต่างๆก็ไม่สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้เหมือนเดิม เกษตรกรกลุ่มนี้จึงหันมาทำตลาดในประเทศไทยแทน โดยใช้ช่องทาง LINE Official Account เพื่อเป็นช่องทางในการกระจายสินค้า ทำให้สามารถเพิ่มรายได้ถึง 800,000 กว่าบาทภายใน 2 สัปดาห์ จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่าช่องทางนี้สามารถทำให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมองเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจได้ นอกจากลิ้นจี่แล้ว เขายังสามารถหาผลไม้ต่างๆในภาคเหนือ มาต่อยอดขาย และเพิ่มช่องทางในการกระจายสินค้าได้มากกว่า 22 ตันเลยทีเดียว ถือได้ว่า เป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ปรับตัวได้ดีจริงๆค่ะ

คนซื้อเปลี่ยนไปคนขายต้องตามให้ทัน!

คนซื้อเปลี่ยนไปคนขายต้องตามให้ทัน!

พออ่านมาถึงตอนนี้แล้วเพื่อนๆคงจะเห็นด้วยใช่มั้ยคะ ? เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนคนเราต้องเปลี่ยนตาม ถ้ายังดันทุรังใช้วิธีการแบบเดิมๆ และหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมคงเป็นไปได้ยากแล้ว ! เพราะทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไป และดูเหมือนว่า ตอนนี้ผู้คนก็เริ่มปรับตัวและชินกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้งทางออนไลน์ , Work From Home,  การใช้บริการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ การที่ผู้ผลิตสามารถปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้บริโภคได้ โดยใช้ช่องทาง LINE Official Account เข้ามาช่วย ก็ถือได้ว่าเป็นการก้าวทันกับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม New Normal ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วหล่ะค่ะ!