หลังจากที่เด็กๆต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านเนื่องจากสถานการณ์ Covid-19  พ่อแม่หลายคนก็ต้องแปลงร่างมาเป็นครูเฉพาะกิจเพื่อทำให้การเรียนเป็นไปได้อย่างราบรื่นกันยกใหญ่ จนมาถึงตอนนี้ที่เปิดเทอมกันแล้ว บทบาทที่สำคัญของคนเป็นพ่อแม่ ก็ย่อมไม่มีวันหยุดอย่างแน่นอน

คุณพอจะเล็งเห็นมั้ยว่า ‘การสอนลูกรัก’ นั้นเป็นภูมิคุ้มกันที่ป้องกันใจและคุ้มภัยให้พวกเขาได้เติบโต และถึงกับเป็นต้นทุนดีๆที่ทำให้ลูกของคุณเป็นเด็กที่ฉลาดคิด แล้วก้าวไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจกว่าด้วย ซึ่งรากฐานดีๆเหล่านี้คุณสามารถเริ่มต้น หรือเสริมเข้าไปด้วย 4 เคล็ดลับที่เหมาะกับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกตั้งแต่วัยอนุบาลไปจนถึงประถม ลองมาวิเคราะห์ไปพร้อมๆกันสิค่ะ

1. สอนให้เป็น ‘นักคิด’

1. สอนให้เป็น ‘นักคิด’

ทักษะในการรู้จักคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ เป็นความรู้พื้นฐานที่เราสามารถสอนลูกๆได้ด้วยตัวเอง ก่อนที่เขาจะต้องไปเพิ่มเติมจากห้องเรียนจริงๆ การฝึกให้เขาต้องคิดด้วยตัวเอง ช่างสังเกต และตั้งคำถามจากการวิเคราะห์โดยไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ก็ทำให้เติบโตเป็นเด็กที่ฉลาดคิดค่ะ ยิ่งในโลกทุกวันนี้มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ง่ายมากๆ ไม่ว่าจะเล่นเกมส์ หรือความบันเทิงอื่นๆ การตอบให้ได้ว่า อันไหนเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ อันไหนไม่ได้บอกข้อมูลทั้งหมดกับเรา และอาจมีกลุ่มที่ต้องการประโยชน์แฝงอยู่  ก็จะช่วยให้พวกเขาได้เห็นข้อเท็จจริง และเอาตัวรอดได้จากโลกภายนอก ไม่ตกเป็นเหยื่อของโลกไซเบอร์ หรือติดตามข้อมูลที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กค่ะ

นอกจากนี้ การสอนให้พวกเขาได้ลองคิดนอกกรอบและกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ ก็ยิ่งส่งเสริมไอคิวของเด็กๆ ให้ได้ไอเดียใหม่ ๆ ในการแก้ไข. อย่างเกมส์เดิมๆ ที่เราคุ้นเคยและเล่นด้วยกัน ถ้าให้ลูกๆ เสนอไอเดียในการเล่นวิธีใหม่ๆ ให้พวกเขาลองสร้างกติกา แล้วลองเล่นกับคุณดู หรือให้ลูกๆ ลองเล่านิทานในแบบของเขา บางทีเราอาจได้เห็นพัฒนาการของเขาที่ก้าวไปอีกขั้น จนเรารู้สึกภูมิใจและพร้อมจะสนับสนุนเขาในทางที่เขาอยากจะเป็นได้ด้วย

2. สอนให้เป็น ‘นักออม’

2. สอนให้เป็น ‘นักออม’

วินัยในการออมที่สร้างได้ หลายๆบ้านก็เริ่มจากเจ้ากระปุกออมสิน วิทยายุทธ์ดั่งเดิมของทุกคนนี่แหละค่ะ. เมื่อลูกๆ รู้จักจัดสรรค่าขนมที่ได้มา ให้มีเหลือเก็บกลับมาหยอดในทุกๆวัน การออมก็จะเริ่มเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเขา และหากโตขึ้นมาหน่อย การจดบัญชีรายรับรายจ่าย ก็เป็นสิ่งที่เด็กๆเริ่มทำได้ เพื่อจะได้รู้จักพฤติกรรมการใช้เงินของตัวเอง อะไรที่อยากได้ ก็จะต้องออกแรงในการสะสมเพื่อให้ได้มันมา ไม่ใช่ใช้เงินไปกับค่าขนมจนหมด แล้วรอให้พ่อแม่ซื้อของเล่นให้ ไม่นานก็เบื่อหรือทิ้งขวาง ดังนั้น เมื่อเขารู้ว่าของแต่ละชิ้นมันได้มายากขนาดไหน อนาคตเขาก็จะเป็นคนที่จัดสรรการเงินในชีวิตได้ดีแน่ๆ

การสอนลูกเรื่องการใช้เงินอย่างฉลาด ยังรวมถึงการพูดคุยให้เขาเข้าใจว่าเงินนั้นจะได้มาจากการทำงาน และมีรายจ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อบ้านเราต้องกินต้องใช้ เช่น ค่าเทมอ ค่าอุปกรณ์การเรียน ไปจนถึงคำว่า ‘หนี้’ เขาจะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะใช้เงินที่ได้มาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีความสุขเมื่อไม่ต้องแบกภาระหนักในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ. ไม่ต้องรอว่าเขายังเด็กเกินไป ที่จะเรียนรู้เรื่องเงิน เพราะเด็กสมัยนี้ฉลาดมากๆ และมีคำถามที่อยากรู้ไม่จบไม่สิ้น ดังนั้น ถ้าเราปลูกฝังความรู้เรื่องเกี่ยวกับการเงินเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เขาจะได้โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักใช้เงินค่ะ

3. ทำให้เห็นภาพชัดเจนจากตัวอย่างของพ่อแม่

3. ทำให้เห็นภาพชัดเจนจากตัวอย่างของพ่อแม่

ลูกไม้ย่อมตกไม่ไกลต้น เด็กๆทุกคนก็ชอบที่จะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่นี่ล่ะค่ะ ถ้าเราปลูกฝังนิสัยดี และทำให้เป็นตัวอย่าง เมื่อเขาได้เห็นก็จะซึมซาบสิ่งดีๆเหล่านี้อย่างแน่นอน เช่น การใช้จ่ายอย่างรู้ค่าของเงิน  กินข้าวให้หมดจาน การซ่อมแซมสิ่งของที่ยังใช้งานต่อได้ เพราะหากพ่อแม่ชอบซื้อทุกอย่างโดยไม่เทียบดูราคา หรือช้อปปิ้งทุกอย่างที่ขวางหน้า จะมาบอกให้ลูกต้องรู้จักอดออม เด็กก็คงจะเห็นภาพที่ขัดตาเป็นแน่แท้

และพ่อแม่ส่วนใหญ่ที่มีบัญชีเงินฝากธนาคาร การสอนให้ลูกรู้จักการออมรูปแบบนี้ พาลูกไปด้วยให้เรียนรู้วิธีฝากเงิน และเห็นตัวเลขในบัญชีที่เพิ่มขึ้น เขาก็จะสนใจมากขึ้น และเมื่อถึงวัยที่เปิดบัญชีได้ ก็ให้ลูกออมเงินให้ครบจำนวน แล้วนำไปฝากธนาคาร เขาก็จะสนุกกับการออมและเห็นตัวเลขที่เขาภูมิใจค่ะ. ลองมองหาวิธีที่จะได้บริหารการเงิน ไปพร้อมๆกับการสอนลูกในเรื่องการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาอย่างเหมาะสม สิ่งนี้ก็จะเป็นต้นทุนดีๆในชีวิตเขาแน่นอน และเราได้ทำสิ่งที่เรียกว่าเลี้ยงดูลูกแบบให้ความรู้ในเรื่องเงินอย่างถูกต้องค่ะ

4. เพิ่มทักษะในการสื่อสารและทีมเวิร์ค

4. เพิ่มทักษะในการสื่อสารและทีมเวิร์ค

ช่วงที่ผ่านมาคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ Work from home ก็คงจะมีประสบการณ์ในการรับมือเป็นครูเฉพาะกิจ สอนและแนะนำลูกๆ ที่ต้อง Study from home เหมือนๆกัน  เช่น การเป็นเด็กที่รู้จักรอ เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น และหากต้องอยู่ร่วมกันก็ต้องรู้จักใช้คำพูดที่เหมาะสม รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทาง ไม่พูดแทรก และตั้งใจฟังเมื่อพ่อแม่สอนหรือคนอื่นๆพูด สิ่งเหล่านี้ก็เป็นทักษะที่ดีในการสื่อสารของเขา ให้ลูกๆเป็นผู้พูดที่เก่งยังไม่พอ ยังต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย เขาก็จะเข้ากับเพื่อนๆและครูได้ดีอย่างแน่นอน

และครอบครัวควรเป็นทีมเวิร์คที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตของลูก สอนให้พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบ รับฟังความคิดเห็นเมื่อต้องมีการแก้ปัญหา รวมถึงการยอมรับและประนีประนอมเมื่อคนอื่นไม่ได้คิดเหมือนกับเรา หากพ่อแม่เสริมทักษะนี้แก่พวกเขา ก็จะเป็นเด็กที่รู้จักยอมรับ และทำ Mission ต่างๆได้ดีขึ้น. ถ้าบ้านไหนมีลูกๆหลายคน การทำงานบ้านร่วมกันให้สนุก  พี่ล้างจาน น้องเช็ดโต๊ะ หรือเข้าครัวกับคุณแม่ ทำขนมด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้พวกเขาเข้าอกเข้าใจ และมีสมาธิกับสิ่งที่ต้องจดจ่อได้ค่ะ

ต้นทุนชีวิตของลูกรักเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเตรียมพร้อมเพื่อให้เขาก้าวสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจ!

ต้นทุนชีวิตของลูกรักเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเตรียมพร้อมเพื่อให้เขาก้าวสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจ!

แน่นอนว่า การเลี้ยงดูลูกรักให้พวกเขามีต้นทุนชีวิตที่ดีในการก้าวสู่โลกกว้างได้อย่างมั่นใจ พ่อแม่ทุกคนจะต้องมีทักษะ ไปจนถึงประสบการณ์เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้ และลงมือทำเป็นตัวอย่างที่มีคุณค่าและดังกว่าแค่คำพูดแน่ๆ เพื่อให้ลูกๆได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำกิจกรรมอะไร เพราะการได้เห็นพวกเขาได้ค่อยๆเติบโตทั้งด้านความคิดและการกระทำ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนตั้งตารอ และช่วงเวลานี้ก็เปิดโอกาสให้คุณได้มีบทบาทในการสอนทักษะเพื่อการใช้ชีวิตโดยตรงเหล่านี้แก่พวกเขาค่ะ

โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นการสอนแบบนอกห้องเรียน เมื่อลูกๆได้สนุก และเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน อย่าง 4 ทักษะที่กล่าวกันไป ก็จะติดตัวพวกเขาไปได้อีกนานจนโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในสังคม และเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัยในโลกยุคใหม่นี้ด้วย. หวังว่าจะได้ประโยชน์และขอเอาใจช่วยพ่อแม่ทุกๆคนค่ะ