สำหรับการกู้ซื้อบ้าน สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจให้ดีด้วย ก็คือ เรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้าน ทั้ง MRR, MLR และ MOR นี่ล่ะ ! เหตุผลหลักๆ ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการคิดดอกเบี้ยในสินเชื่อบ้านที่เรากู้ ไม่ว่าจะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย การปลูกสร้างบ้าน การรีไฟแนนซ์ หรือการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

แต่ละธนาคารกำหนดการให้สินเชื่อบ้านตามอัตราดอกเบี้ยรูปแบบไหนบ้าง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวเรื่องอันตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้านทั้ง 3 ตัว วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ กันเลยค่ะ..

ความหมายของอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้าน MRR, MLR และ MOR

ความหมายของอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้าน MRR, MLR และ MOR

เชื่อว่าหลายคนที่กำลังวางแผนซื้อบ้านหรือต้องการยื่นขอสินเชื่อนี้อยู่ คงเคยได้ยินกันว่า ดอกเบี้ยบ้าน (Home Loan) ที่ใช้วิธีคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) ก็มักจะอ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่ธนาคารคิดจากลูกค้า และมีอักษรย่ออย่าง MRR , MMR และ MLR กับกำอยู่ ซึ่งได้แก่

Minimum Retail Rate หรือ MRR

Minimum Retail Rate หรือ MRR ก็คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในขั้นต่ำที่ธนาคารจะเรียกเก็บจากลูกค้าแบบทั่วไป หรือลูกค้ารายย่อยชั้นดี โดยจะใช้เงินกู้นี้กับสินเชื่อที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาในการชำระคืนแบบตายตัว หรือจนกว่าเงินต้นนั้นจะหมด  ถึงโอกาสในการกู้จะผ่านง่าย แต่จะมีความเสี่ยงสูงและมีความผันผวนพอสมควร จึงทำให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายกว่าอัตราดอกเบี้ยตัวอื่นๆค่ะ

Minimum Loan Rate หรือ MLR

Minimum Loan Rate หรือ MLR ก็คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในขั้นต่ำที่ธนาคารจะเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่นดี และใช้กับประเภทเงินกู้แบบระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน จึงจะต้องมีประวัติการเงินที่ดี หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับการกู้ที่มากพอ แต่ก็อาจมีบางกรณีเหมือนกันที่ธนาคารจะให้อัตราดอกเบี้ย MLR นี้กับลูกค้าทั่วไป แต่จะต้องเป็นการกู้สินเชื่อแบบระยะยาวที่มีระยะเวลากำหนดแน่นอนด้วย

Minimum Overdraft Rate หรือ MOR

Minimum Overdraft Rate หรือ MOR ก็คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารเรียกจะเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ที่มีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือการเบิกเงินทาง OD จึงมักใช้กับกรณีสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน ที่ทำผ่านบัญชีแบบกระแสรายวัน หรือใช้เช็คในการเบิกถอน โดยจะมีการประเมินคุณสมบัติของผู้กู้ประเภทนี้จากหลักทรัพย์ค้ำประกันอีกเช่นกัน

และเนื่องจากเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ก็จะสามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกตลอดเวลาตามสภาพเศรษฐกิจ และจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เท่ากันในช่วงแต่ละเวลาตามที่ธนาคารกำหนด. ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว MRR ก็จะสูงกว่า MOR และ ตัว MOR เองก็จะสูงกว่า MLR ดังนั้น ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยแบบ MRR และ MLR จึงจะเป็นตัวสะท้อนระดับความเสี่ยง ระหว่างลูกค้ารายใหญ่และรายย่อยค่ะ

อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้านในตอนนี้ที่เราต้องสนใจ

อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้านในตอนนี้ที่เราต้องสนใจ

ในการศึกษาอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงทั้ง MRR, MRR และ MOR นั้น เราก็สามารถดูจากเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย(https://www.bot.or.th/thai/statistics/financialmarkets/interestrate/_layouts/application/interest_rate/IN_Rate.aspx#) ได้ตลอดเวลา. แต่สำหรับอัตราดอกเบี้ยจากหลายๆธนาคารในช่วงเวลานี้ มีอะไรน่าสนใจบ้าง เราก็ไม่พลาดที่จะหยิบมาฝากกันค่ะ

จากในช่วงเดือนนี้  อัตราดอกเบี้ยทั้ง MRR, MLR และ MOR นั้น เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นยังคงที่ เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว (ข้อมูลในเดือน ก.ค. 63 )  และในหลายๆธนาคาร ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้าน ที่ถูกกำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT)  แบบไปในทิศทางเดียวกันค่ะ

ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้านที่ช่วยเรากำหนดความสุขของการผ่อนชำระ!

ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้านที่ช่วยเรากำหนดความสุขของการผ่อนชำระ!

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้านที่เราต้องเจอนั้น ก็มีประโยชน์ในการช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องผ่อนบ้าน ซึ่งทั้ง MRR, MLR และ MOR ก็ถือว่า เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการคิดดอกเบี้ยบ้านของเรา อีกทั้งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้ ในแต่ละธนาคารก็จะไม่เท่ากันเนื่องจากต้นทุนของแต่ละสถาบ้นการเงิน ปริมาณเงินสำรอง จำนวนหนี้เสีย และสภาพคล่องของธนาคารร่วมด้วย แต่หากมีเปอร์เซ็นต์คงที่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนๆ และไปในทิศทางเดียวกันย่อมเป็นสัญญาณที่ดีค่ะ

นอกจากนี้ ในแต่ละสถาบันการเงินก็ยังประเมินความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย หากมีความเสี่ยงสูง อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดก็จะสูงตาม เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน ดังนัน ถ้าถามว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตัวไหนดีกว่ากัน หรือธนาคารไหนให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด ก็คงไม่สามารถตัดสินแทนกันได้ค่ะ เพราะทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับแผนการเงินของแต่ละคน เราจึงควรพิจารณาและเปรียบเทียบเองในรายละเอียดการเงินของเราให้รอบคอบ แล้วค่อยเดินเข้าไปขอกู้ด้วยความมั่นใจค่ะ