อย่างที่ทราบกันดีว่า บัตรเครดิตเป็นบัตรที่ใช้รูดเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการแทนเงินสด โดยธนาคารเจ้าของบัตรให้ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเพื่อชำระคืนสูงสุดถึง 55 วัน โดยต้องดูตามรอบบัญชีที่ต้องจ่ายของแต่ละบัตรด้วย หากชำระยอดเต็มภายในกำหนดระยะเวลา ก็จะไม่เสียดอกเบี้ยใด ๆ ทั้งสิ้น แต่หากชำระคืนไม่ครบ ยอดที่ค้างชำระอยู่ก็จะถูกคิดดอกเบี้ยย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่รูดบัตรเลย ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็แล้วแต่ธนาคาร ส่วนมากแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 18% ต่อปี บางธนาคารก็มากหรือน้อยกว่านี้

ประเภทของลูกค้าบัตรเครดิตของธนาคารจะแบ่งเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการจ่ายชำระเงินคืน หากจ่ายคืนเต็มวงเงินทุกเดือนแบบไม่เสียดอกเบี้ย ธนาคารจะเรียกลูกค้ากลุ่มนี้ว่า Transactor แต่หากจ่ายไม่เต็มวงเงิน อาจจ่ายแค่เท่าที่มีเงินแล้วเหลือยอดค้างไว้ หรือบางคนก็จ่ายแค่ขั้นต่ำ ธนาคารจะเรียกลูกค้ากลุ่มนี้ว่า Revolver ธนาคารจะชอบลูกค้าประเภท Revolver มากกว่า เนื่องจากยอดชำระที่ค้างชำระอยู่ในบัญชีจะถูกคิดดอกเบี้ยซึ่งถือเป็นรายได้ของธนาคาร ตราบใดที่เราจ่ายเงินชำระคืนไม่ต่ำกว่าเงินขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนด ธนาคารชอบอยู่แล้ว เพราะได้ดอกเบี้ยจากบัญชีของเราไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มที่จ่ายเต็มวงเงิน หรือ Transactor ลูกค้าจะชอบน้อยกว่า เนื่องจากธนาคารจะไม่ได้รายได้ที่เป็นดอกเบี้ยจากลูกค้ากลุ่มนี้ รายได้ที่ได้ก็จะมีเพียงแค่ค่าธรรมเนียมที่ได้จากการรูดบัตรเครดิตจากร้านค้าต่าง ๆ เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว ก็เทียบไม่ได้กับรายได้ดอกเบี้ยจากลูกค้ากลุ่ม Revolver อย่างแน่นอน

ดังนั้น การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำนี้เป็นทางเลือกของคนที่รูดบัตรเครดิตแล้วไม่มีเงินมาจ่ายคืนแบบเต็มวงเงิน การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำจึงเป็นการรักษาสถานะบัญชีบัตรเครดิตของเราในเป็นสถานะปกติ คือ ตราบใดที่เราสามารถจ่ายขั้นต่ำได้ ทางธนาคารก็จะไม่มีปัญหาอะไรกลับชอบเสียอีกเพราะได้ดอกเบี้ย และไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่เราหยุดจ่ายคือไม่จ่ายแม้ขั้นต่ำ ในเดือนแรกนอกจากจะมีค่าดอกเบี้ยแล้ว ยังมีค่าติดตามทวงหนี้อีก อาจเป็น 200-300 บาท แล้วแต่ธนาคาร และหากค้างชำระไม่จ่ายเกินกว่า 90 วัน ก็จะถือเป็นหนี้เสียหรือเอ็นพีแอล ธนาคารมีสิทธิที่จะยกเลิกบัตรเครดิตของเราได้ทันที และประวัติการชำระหนี้ของเราก็จะเสียด้วย ทำให้โอกาสในการขอกู้หรือขอวงเงินสินเชื่อในอนาคตอาจไม่ได้รับการอนุมัติได้

minimum payment credit card

leungchopan/shutterstock.com

ข้อดีของจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ

ข้อดีของจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ

การที่เราใช้บัตรเครดิตอยู่เป็นประจำ แน่นอนว่า เราย่อมรู้ดีว่า เมื่อเรารูดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไปแล้ว เราก็ต้องมีการจ่ายชำระคืนบัตรตามที่เราใช้ไปนั้น ซึ่งการจ่ายชำระคืนนี้ก็ควรที่จะจ่ายเต็มจำนวนที่เราได้ใช้ไป เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีภาระดอกเบี้ยจ่าย โดยส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้กันเงินส่วนหนึ่งไว้ให้เท่ากับจำนวนเงินที่เรารูดใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตไป เพื่อที่เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระคืนเราจะได้ชำระคืนได้เต็มจำนวน ซึ่งการชำระคืนเต็มจำนวนนี้จะทำให้เราไม่ต้องเสียดอกเบี้ย รวมถึงไม่ถูกยกเลิกระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยในรอบบัญชีต่อไปอีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการจ่ายชำระคืนเต็มจำนวนนั้นมีข้อดีกว่าจริงๆ แต่การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำก็พอมีข้อดีอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นการรักษาสถานะบัญชีบัตรเครดิตของเราในเป็นสถานะปกติ ประวัติการชำระหนี้ของเราก็ไม่เสีย และยังเปิดโอกาสในการขอกู้หรือขอวงเงินสินเชื่อในอนาคตของเราให้ได้รับการอนุมัติในครั้งต่อไป

ข้อเสียของการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ

ข้อเสียของการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ

หลายๆ คนที่ใช้บัตรเครดิตเลือกที่จะจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ อาจเป็นเพราะด้วยเหตุผล เช่น ไม่มีเงินจะจ่ายเต็มจำนวน หรือค่อยๆ ผ่อนคืนไปก็ได้ เป็นต้น แต่จริงๆแล้ว การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำนั้นมีข้อเสียมากกว่าข้อดีและมักทำให้เกิดปัญหาหรือมีผลตามมามากมาย ดังต่อไปนี้

1.ถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่เราซื้อสินค้าหรือบริการและรูดจ่ายด้วยบัตรเครดิต

เรื่องการเสียดอกเบี้ยจากการค้างชำระบัตรเครดิตนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันบ่อยมาก โดยสิ่งที่มักเข้าใจผิดก็คือ เมื่อเรารูดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แล้วจ่ายคืนไม่เต็มยอด หรือ จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ เราจะถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่เราค้างจ่ายบัตรเครดิต หรือเรียกง่ายๆ ว่าเราเริ่มค้างจ่ายตั้งแต่วันไหน เราก็จะถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันนั้น ซึ่งนี่ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะที่จริงแล้ว คือ เราจะถูกคิดดอกเบี้ยทันที (สูงสุด 20% ต่อปี) ตั้งแต่วันที่เราซื้อสินค้าหรือบริการโดยการรูดจ่ายด้วยบัตรเครดิต หรือ ตั้งแต่วันที่สถาบันการเงินเจ้าของบัตรได้จ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการแทนเรา โดยจะคิดเป็นรายวันจนกว่าเราจะชำระหนี้ที่ค้างอยู่จนหมด

2.ดอกเบี้ยจะคิดจากยอดที่ค้างชำระ และ ยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในรอบบัญชีนั้นๆ

ในความเป็นจริงนั้น ดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตจะไม่ได้ถูกคิดเฉพาะส่วนที่เราค้างชำระ จากการจ่ายไม่เต็มจำนวนเท่านั้น แต่เราจะถูกคิดอกเบี้ยจากทั้ง “ ยอดเงินที่ค้างชำระ และ ยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในรอบบัญชีนั้นๆ ด้วย ” และหากเรายังไม่รีบนำเงินไปปิดหนี้บัตรเครดิต ก็จะทำให้ยอดค้างชำระหนี้ยังอยู่และถูกคิดดอกเบี้ยวนไปเรื่อยๆ

3.หากเรายังมียอดค้างชำระ ยอดใช้จ่ายใหม่ก็จะถูกคิดดอกเบี้ยไปด้วย

หากว่าเรายังมียอดค้างชำระในบัตรเครดิตอยู่ แล้วนำบัตรเครดิตใบที่มียอดค้างชำระนั้นไปทำการใช้จ่าย ยอดการใช้จ่ายใหม่ที่เกิดขึ้นก็จะถูกคิดดอกเบี้ยไปด้วย เพราะว่าเราได้ถูกยกเลิกระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไปแล้ว ดังนั้นเราจึงควรหยุดใช้จ่ายบัตรเครดิตที่มียอดค้างชำระอยู่ไปก่อน แล้วรีบหาเงินมาจัดการปิดยอดที่ค้างชำระอยู่ให้หมดเสียก่อน แล้วจากนั้นจึงค่อยเริ่มใช้บัตรเครดิตอีกครั้ง เพื่อให้เราไม่ถูกคิดดอกเบี้ยนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเรารู้แบบนี้แล้ว เราก็ควรที่จะเลิกการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ เพราะว่าเราจะเสียสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย รวมถึงยังต้องเสียดอกเบี้ยอีกด้วย ซึ่งดอกเบี้ยที่ว่านี้คือภาระค่าใช้จ่ายชั้นดีเลยทีเดียว ดังนั้นใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตเท่าที่เราจ่ายคืนไหวเท่านั้นจะเป็นการดีที่สุด

4.ถ้าจ่ายแค่ขั้นต่ำแล้วพลาดจ่ายช้า อาจต้องเจอค่าทวงหนี้

ในแต่ละเดือนจะมีใบแจ้งหนี้ส่งมาบอกว่า ยอดใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเท่าไร พร้อมกับแจ้งว่า จำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระเป็นเท่าไร บางทีมันก็เล็กน้อยจะเราไม่ได้ใส่ใจ แต่เมื่อถึงกำหนดที่ต้องจ่าย เราอาจยุ่งจนลืมและเมื่อรู้ตัวอีกทีก็เลยเวลาครบกำหนด จึงอาจทำให้ต้องเจอกับเจอค่าทวงถามไป 88-100 บาท ต่องวด หรือ ต่อเดือน ดังนั้น เราอาจจะเลือกใช้วิธีหักบัญชีเงินฝากไปชำระหนี้แบบอัตโนมัติ ซึ่งนอกจากจะหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะโดนเรียกเก็บค่าทวงถาม หรือ ติดตามหนี้ เพราะความขี้ลืมแล้ว ยังช่วยเพิ่มวินัยในการใช้บัตรเครดิต โดยเราก็ใช้เท่าที่มีเงินอยู่ในบัญชีเงินฝาก รับรองว่าไม่มีหนี้ ไม่เสียดอกเบี้ย และค่าทวงหนี้แน่นอน

5.ถ้าจ่ายแค่ขั้นต่ำอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังมีหนี้เกินตัว

ถ้าในแต่ละเดือนเราไม่สามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้มากกว่ายอดขั้นต่ำ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนเราว่า ตอนนี้สถานการณ์ทางการเงินอาจจะเริ่มมีปัญหา ซึ่งตอนนี้เราจะยังสามารถซื้อเวลาด้วยการจ่ายขั้นต่ำไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าไม่รีบจัดการปัญหาเล็กๆ นี้อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่อนาคต ซึ่งอาจจะไม่ใช่แค่การเป็น “หนี้เกินตัว” เท่านั้น แม้ว่า วันนี้เราจะยังมีประวัติเครดิตที่ดี ไม่มียอดค้างชำระ แต่บางทีก็เป็นปัญหาที่เราคิดไม่ถึง เช่น เวลาไปขอสินเชื่อบ้าน หรือ สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ อาจจะถูกปฏิเสธสินเชื่อก็ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ขนาดบัตรเครดิตยังจ่ายได้แค่ขั้นต่ำ แสดงว่า “ความสามารถในการชำระหนี้” อาจจะเหลืออยู่น้อยนิด ไม่สามารถรับภาระหนี้ได้เพิ่มอีกแล้ว ดังนั้น เมื่อเริ่มเกิดปัญหานี้ขึ้นมา เราจึงควรหยุดใช้บัตรเครดิต (ทุกใบ) ทันที จากนั้นก็วางแผนการใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือมาจ่ายหนี้ได้มากขึ้น และหาทางลดภาระหนี้โดยด่วน แต่แน่นอนว่าการแก้หนี้เก่าด้วยการสร้างหนี้ใหม่ ไม่ใช่ทางออกที่ดี โดยเฉพาะการเบิกเงินสดจากบัตรนั้นมาใช้คืนบัตรนี้ นี่อาจจะยิ่งทำให้ชีวิตเรายิ่งเป็นหนี้หนักเข้าไปอีกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การปรับวิธีการใช้จ่าย และวางแผนการชำระหนี้ เพื่อเราจะปลดหนี้ได้สำเร็จและชีวิตเราจะได้กลับมามีอิสระอีกครั้ง

6.ไม่เสียประวัติ แต่อาจเสียโอกาสอื่นๆ

องค์กรกลาง หรือ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด จะเป็นผู้ตรวจสอบพฤติกรรมของมนุษย์บัตรเครดิตแต่ละคน ว่าเป็นลูกหนี้ที่ดีหรือไม่ โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย พร้อมชำระเงินตรงเวลาตามที่กำหนด จ่ายครบทีเดียว หรือ ผ่อนจ่ายขั้นต่ำ ซึ่งกรณีหลังถือว่าไม่เสียประวัติ หรือติดเครดิตบูโร แต่ว่าต้องแบกรับภาระการจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม ซึ่งธนาคารมักกำหนดประมาณ 10-20 % ต่อปี และหากเลือกการชำระเช่นนี้อยู่ตลอด อาจถูกตัดวงเงินให้ลดต่ำลง หรือจากที่ไม่เคยเสียค่าธรรมเนียม อาจต้องเสีย เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นต่างขึ้นอยู่กับรายได้ของลูกหนี้ด้วย โดยมนุษย์เงินผ่อนเหล่านี้ ธนาคารจะถูกจัดให้เป็นลูกหนี้ชั้นเลิศ ส่วนกลุ่มที่ถูกหมายหัว ติดเครดิตบูโรนั้น จะมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาอนุมัติขอสินเชื่อต่อไป

  • –ชำระไม่ตรงเวลาเป็นประจำ
  • –ชำระหนี้บัตรเครดิตไม่ครบ ค้างเกิน 90 วัน
  • –ชำระจำนวนเงินน้อยกว่าขั้นต่ำที่กำหนดไว้ เช่น ขั้นต่ำ 1000 บาท แต่จ่าย 300 เจ้าหน้าธนาคารจะแจ้งกับองค์กรกลางว่าค้างชำระ ซึ่งประวัติเหล่านี้ ไม่สามารถลบได้ จะถูกค้างเก็บไว้ 3 ปี

สรุป

สรุป

แน่นอนว่า การผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำนั้น ธนาคารมักจะชอบ เพราะเราต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคาร แต่ในทางตรงข้าม เหล่ามนุษย์ใช้เงินในอนาคตทั้งหลาย จะต้องเผชิญกับภาระหนี้สินที่ต้องจัดสรรให้ดีต่อไป มิฉะนั้นจะเป็นภัยต่อตนเองได้ ทางที่ดีนอกจากจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยใหม่ ด้วยการทำบัญชีรายรับ รายจ่ายแล้ว แนะนำให้ฝากเงินไว้อีกบัญชี เพื่อเมื่อถึงวันกำหนดชำระจะได้นำเงินดังกล่าวไว้จ่ายหมดทีเดียว โดยไม่ต้องมีปัญหา ชำระไม่ครบ หรือผ่อนจ่าย และที่สำคัญ เราควรใช้บัตรเครดิตที่เรามีอย่างฉลาด หากเป็นไปได้ เมื่อใช้แล้วก็ควรจ่ายคืนเต็มวงเงินเพื่อไม่ให้มียอดค้างและต้องเสียดอกเบี้ยแพง แต่หากไม่สามารถจ่ายเต็มได้ก็ขอให้จ่ายคืนบางส่วนหรือจะจ่ายขั้นต่ำก็ได้เพื่อให้สถานะของบัตรเครดิตเรายังดีอยู่ และเมื่อมีรายได้หรือหาเงินได้ก็ให้รีบนำมาชำระคืนให้หมดเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยของบัตรเครดิตที่สูงมาก