เคยได้ยินกันบ้างมั๊ยค่ะ มีประกันก็เหมือนมีร่ม ให้เราได้พกไปไหนต่อไหน ถึงแม้บางครั้งจะไร้แดดไร้ฝน ถือไปด้วยก็อาจเกะกะไม่คล่องตัวบ้าง แต่ถ้าวันไหนเกิดพายุฝนหรือแดดร้อนแรงขึ้นมา เราก็จะดีใจที่ได้พกร่มติดตัวมาด้วย เพื่อช่วยให้ทุกก้าวเดินก็มั่นใจกว่า
เพราะในยามที่ต้องแบกรับความเสี่ยงเรื่องชีวิตและทรัยพ์สินนี่ล่ะค่ะ ที่จะทำให้เราเห็นคุณค่าของการทำประกันขึ้นมา ทั้งช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเต็มจำนวนในวันที่ป่วยไข้ เกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน บทความนี้ จึงอยากจะชวนทุกคนมาตรวจสอบตัวเองไปพร้อมๆกัน กับ 5 วิธีที่ควรวางแผนเกี่ยวกับ ‘ประกัน’ เพื่อลดความเสี่ยงในแบบที่เหมาะกับเรา
มาเช็คไปพร้อมๆกันสิค่ะ ว่าคุณพร้อมในเรื่องนี้หรือยัง!
ช่วยป้องกันความเสี่ยง ไม่ใช่เป็นภาระทางการเงิน
การทำประกันภัย เป็นการช่วยเราเฉลี่ยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นทางการเงิน จึงทำเพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นทั้งกับเราและกระทบไม่ยังบุคคลอื่น เมื่อมีการชำระเบี้ยประกัน ก็จะมีความคุ้มครองเพิ่มเข้ามาเมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดฝัน
ดังนั้น เพื่อจะช่วยลดภาระทางการเงินที่สุด เราจึงต้องตรวจสอบเรื่องภาระที่เรามีอยู่ในปัจจุบันก่อนที่จะทำประกันภัยในสักรูปแบบ คือ ต้องสำรวจภาระค่าใช้จ่ายหรือภาระหนี้สิน แล้วค่อยเลือกทำประกันในแบบที่ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระติดตัว จึงจะมีกำลังส่งไปได้แบบตลอดรอดฝั่ง. โดยอย่างน้อยๆ การส่งเบี้ยประกันที่ไม่เกินตัว ควรจะเป็นจำนวนไม่เกิน 10% ของรายได้ ซึ่งหากมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็ค่อยทยอยซื้อเพิ่มก็ยังไม่สายค่ะ
สำหรับบางคนที่มีสวัสดิการกับที่ทำงานอยู่แล้ว ก็ควรเลือกประกันที่ตรงกับวัตถุประสงค์ถึงจะดีกว่า หรือคนไหนที่อยากเน้นการคุ้มครอง เน้นผลตอบแทนที่มากกว่า หรือคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังมากที่สุด ก็อาจเลือกประกันในแต่ละชนิดที่มีลูกเล่นแตกต่างกันได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องศึกษากรมธรรม์อย่างรอบคอบ รู้เงื่อนไขของประกันที่เราเลือกเป็นอย่างดี ก็จะช่วยลดความเสี่ยงมากกว่าเป็นภาระทางการเงินได้ค่ะ
เลือกความคุ้มครองและบริษัทผู้รับประกันได้อย่างถูกต้อง
ประกันภัยในบ้านเราจะมี 2 แบบ คือ การประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance) ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน หรือความรับผิดชอบ เช่น ประกันรถยนต์ ประกันอัคคีภัย และ การประกันชีวิต (Life Insurance) ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ เช่น ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ. โดยไม่ว่ารูปแบบใด เราก็จะมีสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกรมธรรม์ เมื่อมีการชำระเบี้ยตามกำหนด
ส่วนการเลือกบริษัทผู้รับประกันก็ควรดูที่ ความมั่นคงทางการเงินของบริษัทนั้น ผู้รับประกันภัยที่ดีจะต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการ อีกทั้งยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากเบี้ยประกันที่เราจ่ายไป ด้วยการจัดสรรเป็นเงินชดเชยเพื่อบรรเทาความเสียหายอย่างทันท่วงที และมีตัวแทนประกันที่มีความสามารถในการไกล่เกลี่ย พร้อมเป็นคนกลางเมื่อเกิดกรณีต่างๆ
เราจึงต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทผู้รับประกันแบบหลายๆแห่ง จะได้ตัดสินใจฝากอนาคตของตนหรือสมาชิกในบ้านได้อย่างมั่นใจ ทั้งเรื่องข้อมูลทางการเงินของบริษัท ชื่อเสียงและประวัติการดำเนินงาน รูปแบบของกรมธรรม์ รวมถึงการให้บริการและส่วนของค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่อ้างอิงจากเว็บไซต์ของกรมการประกันภัย (https://www.oic.or.th/th/consumer)ค่ะ
เลือกทุนประกันที่เหมาะสม
หากมาถึงจุดที่เราต้องการทำประกันชีวิตแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ว่าควรมีทุนประกันเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม วิธีง่ายๆ ก็คือ วิธีคูณรายได้ (The Multiple of Earnings Method) หรือตัวเลขที่มากจาก 3-5 เท่าของรายได้ต่อปี มีสูตร คือ ทุนประกัน = รายได้ต่อปี x ตัวเลขทวีคูณที่กำหนดขึ้น
เช่น สมชาย มีรายได้ 5 แสนบาทต่อปี ถ้าตัวเลขทวีคูณ เท่ากับ 5 สมชายจึงควรมีทุนประกันอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท สำหรับระยะเวลาในการปรับตัวของครอบครัว หากสมชายเสียชีวิตไป คนข้างหลังก็จะมีเวลาตั้งหลักอย่างน้อย 5 ปี เป็นต้น
นอกจากนี้ บางคนอาจเลือกวิธีหาจำนวนทุนประกันที่เหมาสมจากการวิเคราะห์ความจำเป็นทางการเงินประกอบ แต่อาจต้องใช้เวลาในการเปรียบเทียบรายละเอียดเพื่อทราบความต้องการทางการเงินที่แท้จริง โดยมีสูตร คือ ทุนประกัน = รายจ่ายจำเป็นทั้งหมดที่เกิดจากการเสี่ยงภัย หักด้วย รายได้ , เงินออม , เงินลงทุนทั้งหมดที่มีค่ะ
คำนวนเรื่องการจ่ายเบี้ยและวางแผนเผื่อหาก ‘เงินช็อต’
อย่างที่บอกไปว่าจำนวนเบี้ยประกันต่อปี ไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี เนื่องจากเมื่อเราทำประกันชีวิตที่มีวงเงินคุ้มครองสูงเกินไป ก็จะทำให้เรามีภาระในเรื่องการจ่ายเบี้ยประกันชีวิตที่สูงตามไปด้วย เช่น กรณีของสมชาย เขาไม่ควรจ่ายเบี้ยประกันเกินปีละ 5 หมื่นบาท หรือหากมีภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำที่สูงขึ้น ก็อาจปรับลดวงเงินประกันได้ตามความเหมาะสมด้วย และหากเป็นสัญญาการทำประกันที่มีระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ก็สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่าย ไม่เกิน 1 แสนบาทด้วย
และหากสถานการณ์ชีวิตเราในบางช่วงกลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออมเพราะ ‘เงินช็อต’ วิธีที่หลายคนไม่รู้ คือ เราสามารถเดินเข้าไปหาตัวแทนประกัน เพื่อติดต่อยื่นเรื่อง ‘กู้เงิน’ จากมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์เพื่อมาจ่ายค่าเบี้ยได้ แต่ต้องมีมูลค่าเงินสดมากกว่าเบี้ยที่จ่าย และส่งเบี้ยมาแล้ว 2 ปีขึ้นไป เมื่อเรากู้ค่าเบี้ยแบบเอาตัวรอดไปได้สักปี เมื่อมีรายได้กลับเข้ามาใหม่ก็ค่อยไปจ่ายเงินกู้ค่าเบี้ยตรงนี้ พร้อมดอกเบี้ยประมาณ 8 % กรมธรรม์ของเราก็จะไม่ขาดอายุ ไปแบบน่าเสียดายความคุ้มครองค่ะ
การแบ่งเงินมาเริ่มทำประกันของ มนุษย์เงินเดือน VS ชาวฟรีแลนซ์
เมื่อตัดสินใจที่จะทำประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพดีๆสักตัวแล้วด้วยเงินเก็บก้อนแรกที่มี ควรแบ่งเงินเพื่อเริ่มทำประกันยังไงดีเพื่อไม่ให้กระทบต่อการเงินในส่วนอื่นๆ และยังสามารถชำระเบี้ยประกันต่อได้แบบครบตลอดอายุสัญญา ก็ขอแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามลักษณะของรายได้ในแบบที่เข้าใจกันง่ายๆนะคะ
มนุษย์เงินเดือน
กลุ่มรายได้ที่มีความสม่ำเสมอและแน่นอนแบบนี้ สามารถเริ่มแบ่งเงินประมาณ 10-20 % ของรายได้ในแต่ละเดือนมาทำประกันได้เลยโดยที่ไม่กระทบมากนัก. โดยเมื่อมีรายได้หลักเพิ่มขึ้น แต่ยังคงรักษาสัดส่วนในการแบ่งเงินมาทำประกันได้แบบนี้ต่อไป ก็จะยิ่งมีจำนวนเงินเก็บและความคุ้มครองที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
ชาวฟรีแลนซ์
สำหรับการจัดสรรรายได้เพื่อเริ่มต้นทำประกันสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ไม่แน่นอนแบบชาวฟรีแลนซ์ แม้จะยากกว่าแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ โดยเราสามารถเริ่มจากการแบ่งเงินก้อนในแต่ละปี เพื่อกันเงินไว้สำหรับทำประกันที่ประมาณ 10-20 % ของรายได้ เพื่อเลือกรับผลประโยชน์จากความคุ้มครองได้อีกเช่นกัน
วางแผนประกันได้ดี ย่อมคุ้มครองชีวิต ทรัยพ์สิน และลดความเสี่ยงในแบบที่เหมาะกับเรา!
เพราะเรามีแค่ชีวิตเดียว อะไรที่ป้องกันได้ก็ควรป้องกันจริงมั๊ย.. ซึ่งหากประกันภัยเปรียบเหมือนการพกร่มเพื่อสู้ลม แดด ฝน ชีวิตในปัจจุบันนี้เราคงยิ่งต้องสู้มากกว่ายุคไหนๆอีกด้วย และไม่ว่าเราจะแข็งแรกสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่า วันนึงจะไม่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ รึแวะไปทักทายคุณหมอที่โรงพยาบาลเลย ยิ่งค่ายา ค่าห้องในสมัยนี้ แพงอย่าบอกใครเชียวล่ะ!
การวางแผนประกันที่ดี จึงเป็นตัวช่วยเพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัยพ์สิน ลดความเสียหายจากความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี และในบางกรณี ผู้ทำประกันยังสามารถกู้เงินด่วนได้จากกรมธรรม์ เพื่อนำมาใช้จ่ายในยามจำเป็นได้อีกด้วย ดังนั้น ถ้าอยากลดภาระทางการเงิน พร้อมสวัสดิการในเรื่องค่ารักษาพยาบาล การเลือกประกันสุขภาพดีๆสักใบ ประกันชีวิตที่ครอบคลุมสักตัว หรือประกันอุบัติเหตุที่ตอบโจทย์ ก็คงเป็นร่มหลากสีสันที่พร้อมจะพาชีวิตเราและครอบครัวเดินต่อไปได้ในสักทางที่เลือกไว้ได้อย่างมั่นใจกว่าค่ะ!
Manow
ก็มีคำแนะนำที่ดีหลายอย่างนะคะที่คนที่วางแผนอยากจะซื้อประกันชีวิตแต่ซื้อไม่ได้สักทีกังวลอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องของการจ่ายเบี้ยประกัน ที่ไม่แน่นอนว่าอนาคตยังจะจ่ายได้ต่อเนื่องไหม เงินจะช็อตหรือเปล่า ชอบหัวข้อนี้มากๆเลยค่ะที่แนะนำมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำได้จริงได้มากแค่ไหนนะ ก็ต้องลองดูกันไป ใครที่กังวลเรื่องนี้อยู่ก็ลองเอาไปใช้ดูนะคะ แล้วมาเล่าสู่กันฟังด้วย
ลูกไก่
ได้ความรู้พร้อมกับคำแนะนำดีนะคะสำหรับบทความนี้ แต่ถ้าจะทำประกันภัยทุกอย่างคงเป็นไม่ได้อะสำหรับเรานะคะ ใครสามารถทำประกันภัยต่างๆเหล่านี้ได้แบบครอบคลุมทุกด้านคงดีมากๆเลยนะ แต่ใครที่ไม่ไหวก็เลือกทำประกันบางอย่างที่คิดว่าจำเป็นก่อนแล้วค่อยๆไปทำประกันตัวอื่นๆ เราว่ามันก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้ทำประกันอะไรเลยสักอย่างนะ
มนตรี
หลายคนไม่ค่อยสนใจเรื่องของประกันชีวิตกันเท่าไรครับ อาจจะคิดว่าเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองหรือเปล่า แต่ถ้าคุณคิดดีๆนะครับ การมีประกันชีวิต มันเหมือนเรามีเงินก้อนในมือเลยครับ อย่างผมทำประกันชีวิต เอไอเอ แบบ 20 ปี ตอนนี้จ่ายเข้าปีที่12แล้วครับ อีกไม่นานก็จะได้เงินก่อนมาใช้แล้วครับ มาวางแผนเรื่องอนาคตกันเถอะครับ
Noon
ชอบตรงหัวข้อแรกเลยค่ะ ประกันที่ดีต้องไม่เป็นภาระ ถ้าเป็นภาระก็แทนที่จะคุ้มครองความเสี่ยงกลับกลายเป็นความเดือดร้อนแทน จะแชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆอ่านด้วยค่ะ มีเพื่อนสนิทหลายคนที่เลยค่ะ ที่ยังไม่มีประกันชีวิต หรือประกันต่างๆ ถ้าได้อ่านบทความนี่น่าจะเลือกซื้อประกันที่ดีให้กับตัวเองได้ โดยรวมถือว่าเป็นบทความที่มีประโยชน์มากๆค่ะ
กวีประภา
ไม่ว่าเราจะซื้ออะไรเราก็ต้องวางแผนให้ดีๆคะ ยิ่งประกัน ยิ่งต้องเชคให้ดีๆก่อนที่เราจะเลือกเจ้าใดเจ้าหนึ่งคะ เพื่อนเราเคยเจอมากับตัวเองเลยคะ เหมือนกับที่บทความนี้บอกเลยคะ ทำไปแล้วดันไปเจออีกเจ้าที่เบี้ยประกันถูกกว่า หรือว่าค่าเบี้ยเท่ากันแต่การคุ้มครองหรือว่าวงเงินคุ้มครองมากกว่าก็ทีคะ ต้องใจเย็นๆจริงๆคะ เวลาที่จะทำประกันพวกนี้
ฟาง
@ Noon จริงๆประกันไหนๆมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าประกันดีหรือไม่ดีนะคะ มันขึ้นอยู่กับว่าความพร้อมของเราต่างหากว่าเราพร้อมไหม จริงๆประกันหน่ะมันก็ดีทุกตัวแหละ ถ้าเราซื้อแล้วตรงกับความต้องการของเรา และเรามีเงินจ่ายค่าเบี้ยได้ แค่นั้นเอง ที่คุณเข้าใจนะมันถูกแล้ว แต่มันไม่มีประกันตัวไหนหรอกที่ไม่ดี เราว่าดีทุกตัวแหละ
65Raranron
ผู้เขียนบทความเปรียบเทียบประกันชีวิตกับร่ม เห็นภาพชัดเจนขึ้นเลย ก็จริงนะที่ประกันช่วยลดความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเรา แล้วก็จริงด้วยที่หลายคนคิดว่าประกันเป็นภาระ แต่ทั้งหมดนี้อยู่ที่การวางแผนค่ะ แนะนำได้ดีนะสำหรับบทความนี้ อยู่ที่คนอ่านแล้วล่ะว่าอยากทำประกันบ้างมั้ย ตรวจสอบตัวเองจากคำแนะนำที่บทความนี้ให้มาได้ค่ะ
เจตสุภา
ถ้าซื้อประกันสุขภาพอย่างเดียว ในความเห็นของเราคิดว่า ไม่ค่อยจะคุ้มเท่าไรเลยคะ เพราะเราจะได้เงินสินไหมทดแทน กรณีที่เราเสียชีวิตกับ จ่ายครบสัญญา เองคะ ถ้าวางแผนเลือกซื้อประกันสุขด้วยก็จะดีคะ เอาแบบจ่ายค่ารักษา แล้วก็ซื้อประกันเสริมตัวที่มีเงินชดเชยรายได้ให้เราด้วยก็จะดีคะ บางเจ้าให้เราวันละพันบาทเลยนะ