เชื่อว่ารถยนต์แทบทุกคันในสมัยนี้จะต้องมี ‘ประกันรถยนต์’ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองในยามเกิดอุบัติเหตุกันอยู่ แม้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่การตั้งสติและเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่สามารถคาดเดาได้นี้ ‘การเคลมประกัน’ ย่อมสามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้กับเราได้
เพราะการเคลมประกันรถ คือการเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น จึงต้องแน่ใจด้วยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถของเราเป็นแบบใด อยู่ในเงื่อนไขไหนของการคุ้มครอง โดยตรวจสอบได้จากเอกสารในกรมธรรม์ หรือโทรถามตัวแทนประกันภัยที่เราวางใจ ซึ่งโดยมากแล้ววิธีการเคลมประกันจะมี 2 แบบ คือ “เคลมสด” กับ “เคลมแห้ง”
หากใครสงสัยว่าทั้งสองตัวเลือก ครอบคลุมประโยชน์ในเรื่องนี้ให้กับเราอย่างไร แตกต่างกันตรงไหน ต้องใช้เอกสารอะไรหรือมีขั้นตอนเบื้องต้นยังไงบ้าง วันนี้ MoneyDuck พร้อมจะมาสรุปให้ฟังง่ายๆแล้วค่ะ
เคลมสด คืออะไร
หากเป็นการชนที่มีคู่กรณี มีผู้บาดเจ็บ หรือรถคันที่เอาประกันภัยและรถของคู่กรณีเสียหายมาก ต้องการพนักงานออกไปตรวจสอบในที่เกิดแห้ง เพื่อหาข้อสรุป และออกใบหลักฐานเพื่อติดต่อเคลมค่าเสียหายที่อู่ในเครือของบริษัทประกันภัย นี่คือการเคลมสดค่ะ!
โดยการตรวจสอบความเสียหายในเบื้องต้นที่จุดเกิดเหตุนี้แบบทันทีนี้ พนักงานจะช่วยเราพิจารณาว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด เก็บรูปถ่าย เก็บหลักฐานต่างๆ เช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์ติดต่อ ทะเบียนรถ เลขที่กรมธรรม์ และลักษณะของอุบัติเหตุ เพื่อออกใบเคลม ให้กับผู้เอาประกันสามารถเข้าไปซ่อม-ประเมินราคา และวางบิลกับทางบริษัทประกันภัยได้ทันที โดยมักจะอยู่ในขอบเขตของ ประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2+, ชั้น 3+ จึงมีความรวดเร็วในการดำเนินการและสามารถแจ้งเคลมได้ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุค่ะ
ถ้าเราเจอต้องทำยังไง? ขอแยกอีกเป็น 2 กรณี คือ
การเคลมสดแบบมีคู่กรณี
เมื่อมีการระบุแล้วเข้าเค้าว่าเราต้องเคลมสด หลังจากเกิดเหตุสดๆร้อนๆ ขอให้เรารีบตั้งสติ แล้วขอข้อมูลจากคู่กรณี เช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรที่ติดต่อได้(กดโทรในตอนนี้ลองดูด้วย) ทะเบียนรถ รายละเอียดกรมธรรม์ของเขา และหากคู่กรณีก็มีประกันก็สามารถแจ้งให้มายังที่เกิดเหตุพร้อมกันได้เลย บอกพิกัดให้ชัดเจน แจ้งรุ่นรถเพื่อเป็นจุดสังเกต เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูความเสียหายอย่างละเอียด และออกใบรายการความเสียหายให้เราใช้ยื่นเคลมค่ะ
การเคลมสดแบบไม่มีคู่กรณี
ถ้าคู่กรณีของเราหนีหายไปแล้ว หรือเขาบอกว่าต้องรีบไปโดยทิ้งหลักฐานไว้ให้อยู่บ้าง หากเราเป็นประกันชั้น 1 ตรงนี้ก็ยังสามารถเคลมได้ทันทีค่ะ แต่เราอาจจะต้องจ่ายเสียค่าเสียหายส่วนแรกตามที่ระบุไว้ในสัญญากับบริษัทฯ ประกัน. แต่หากประกันชั้น 2+ หรือ 3+ ยังจะต้องมีการหาหลักฐานเพื่อระบุคู่กรณีอยู่ ไม่ว่าจากกล้อง หรือพยานอื่น ๆ เพิ่มเติม
เคลมแห้ง คืออะไร
หากเป็นอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี ไม่เร่งด่วน ก็จัดอยู่ในลักษณะ ‘การเคลมแห้ง’ เพราะไม่ต้องอาศัยพนักงานให้ช่วยตรวจสอบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น รถมีความเสียหายเล็กน้อยจากการเฉี่ยวชนแต่ยังขับได้อยู่ ผู้เอาประกันแบบเราจึงต้องบันทึกหลักฐานไว้เอง เช่น จดวัน-เวลา ถ่ายรูปรถยนต์/สถานที่เกิดเหตุ และลักษณะความเสียหาย. ซึ่งหากเป็นประกันชั้น 1 จะครอบคลุมอยู่แล้วทั้งหมด ด้วยการ ‘เครมรอบคัน’ แบบที่เราได้ยินโฆษณากันบ่อยๆ แม้คู่กรณีจะไม่ใช่รถ เช่น ชนฟุตบาธ ต้นไม้ เสา รั้ว ก็ตาม
กรณีแบบนี้ เราสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับการเคลมประกัน ไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ได้เลยตามจริง เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบความเสียหายของรถยนต์ได้ตามหลักฐานที่บันทึกไว้เมื่อเราต้องการทำเรื่อง โดยกรอกแบบฟอร์มการขอเคลมประกันได้ทั้งทางออนไลน์และกับเจ้าหน้าที่ เพื่อทำการประเมินราคาชดเชยความเสียหายในการซ่อมแซมตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ แล้วออกใบเคลมให้เรานำรถนั้นไปซ่อมที่ศูนย์ หรืออู่ในเครือบริษัทประกันค่ะ. แต่จะต้องทำก่อนที่กรมธรรม์ของเราจะหมดอายุ ซึ่งจะมีการเสียค่า Excess ในการเคลมแห้งแบบนี้ด้วย
เอกสารที่ต้องใช้ในการเคลมประกันรถยนต์
หลังจากเจ้าหน้าที่ประกันเข้ามาจัดการเรื่องการเคลมประกันให้เรา ทั้งการตรวจสอบสภาพรอบคันเพื่อเช็คร่องรอยความเสียหาย และเก็บหลักฐานต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงเรื่องเอกสารที่เราจะต้องเตรียมเพื่อติดต่อเคลมประกันกับศูนย์หรืออู่ซ่อมในเครือ โดยเราจะต้องเตรียม บัตรประจำตัวประชาชน / ใบขับขี่ หรือสำเนา, เล่มทะเบียนรถ หรือสำเนา, สำเนากรมธรรม์ประกันภัย, ใบรับรองความเสียหายหรือใบเคลมที่เจ้าหน้าที่ออกให้
เมื่อเอกสารครบแล้ว ทางบริษัทประกันจะออกใบเคลมและหมายเลขการเคลม ส่งให้เราทาง e-mail แค่เราพิมพ์ออกมาก็นำรถเข้าศูนย์ หรืออู่ที่กรมธรมม์กำหนดไว้ได้เลยเพื่อนัดเวลา แต่เวลาที่ใช้ซ่อมมากน้อยนั้นก็แล้วแต่กรณี และต้องแจ้งด้วยว่าเราเป็นการเคลมรูปแบบใด. ซึ่งเมื่อรถซ่อมเสร็จเรียบร้อย เพียงเอาสำเนาใบขับขี่, สำเนากรมธรรม์ และสำเนาทะเบียนรถไปยื่นเพื่อยื่นยันและเซ็นต์เอกสารเท่านั้น ก็เป็นอันเรียบร้อยค่ะ
ทำความเข้าใจให้ดีก่อนการเคลมประกันเพื่อชีวิตที่ง่ายกว่า!
เป็นอย่างไรบ้างค่ะ กับเรื่องราวของการเคลมประกัน แบบเคลมสด และ เคลมแห้งที่เรานำมาฝากกัน โดยการเคลมทั้งสองรูปแบบนี้จะต่างกันที่ระยะเวลาในการแจ้งเคลม ถ้าเป็นการเคลมสด มีคู่กรณี และเสียหายหนัก เราจะต้องแจ้งเคลมกับเจ้าหน้าทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนการเคลมแห้งอาจเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้วสักระยะ เราบันทึกหลักฐานไว้เองเพื่อแจ้งเคลม เช่น รอยบุบ เฉี่ยวชน แล้วค่อยเคลมรอบคันไปเลยก่อนอายุกรมธรรม์จะหมด
และสมัยนี้ การเคลมสดและเคลมแห้งก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอีกต่อไป เจ้าหน้าที่ประกันภัยสามารถเข้ามาไกล่เกลี่ยเราได้รวดเร็วจากพิกัดที่ส่งให้ แค่มีเบอร์ประกันไว้ห้ามลืม! ส่วนการเคลมแห้งในหลายๆบริษัท เปิดให้เรายื่นเรื่องแบบออนไลน์ได้แล้วด้วย จึงมีความสะดวกมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือเราต้องสร้างความเข้าใจในขั้นตอนก่อนที่จะทำเรื่องเคลม ยิ่งมีติดกล้องติดหน้ารถ หรือหลังรถ เพื่อบันทึกเหตุการณ์ไว้ด้วยก็จะทำให้เคลมง่ายขึ้น บางบริษัทฯ ประกันถึงกับมีส่วนลดค่าเบี้ยประกันเป็นพิเศษด้วยสำหรับผู้ที่ติดกล้องไว้ และมีส่วนลดประวัติดี เป็น Bonus สำหรับรถเราถ้าไม่เคยถูกเคลมมาก่อน หรือไม่เป็นฝ่ายผิดมาก่อนในประวัติ. เพียงเท่านี้ การแจ้งเคลมของเราก็สบายหายห่วงแน่นอน ฝากเพียงความไม่ประมาท ขับขี่อย่างปลอดภัยเสมอ และต่อประกันรถยนต์เพื่อรับความคุ้มครองแบบไม่ขาด ก็อุ่นใจได้ทุกเหตุการณ์ฉุกเฉินแล้วค่ะ!
Meen
เคยเจออุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณีเหมือนกันนะ ก็คงจะอยู่ในการเคลมแห้งนั่นแหละ ด้วยความที่เวลาผ่านไปแล้วเราไม่มีคู่กรณีที่จะต้องจัดการหรือเคลมเดี๋ยวนั้นก็ลืมไปเลย ตอนนั้น ถอยรถชนเสาหน้าบ้านน่ะ เราเป็นแบบนี้ทุกทีไม่รู้ทำไมขับรถไปตั้งไกลไม่เป็นอะไรแต่มาเกิดอุบัติเหตุในซอยหรือใกล้บ้านทุกที ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานแล้วเพราะว่าลืมคงไม่ได้แล้วมั้ง
แพรวา
ดีจังค่ะบทความนี้ช่วยผู้หญิงอย่างเราที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ได้มีความรู้บ้างเพื่อที่จะไม่โดนเอาเปรียบ เพราะเวลาเกิดอุบัติเหตุโดยเฉพาะถ้าเราเป็นผู้หญิงแล้วอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชาย เรามักจะโดนเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ หรือถ้าในการเคลมประกันก็เหมือนกันถ้า บริษัทประกันที่มาในเหตุการณ์เห็นว่าเราเป็นผู้หญิงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรก็มักจะไม่ค่อยจัดการอะไรรวดเร็วให้เราสักเท่าไหร่
กริ่ม 0_0
ขอโทษนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาจับผิดบทความของคุณนะ แต่อ่านแล้วมันสะดุดตาจริงๆ อย่างข้อความนี้น่ะ "ต้องการพนักงานออกไปตรวจสอบในที่เกิดแห้ง" หมายถึงที่เกิดเหตุแหละดูออก 555 สงสัยคนทำบทความจะสับสนกับคำว่า "เคลมแห้ง" เลยเอามารวมกันซะเลย ยังไงก็ขอบคุณคนเขียนบทความที่ให้ความรู้ใหม่ๆกับทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ
อดิเทพ
แม้ ตอนแรกคิดว่าจะกินบะกมี่อีกครับ มี สดมีแห้ง เอาว่าถ้าเป็นเรื่องเคลมประกัน ส่วนใหญ่แล้วคงไม่มีใครอยากเคลสด หรือแบบมีอุบัติเหตุกันหลอกใช่ไหมครับ อย่างของผมผมก็ชอบเคลมแห้งครับ แต่ก็ๆไม่ได้เคลมแบบนี้ทุกปีนะครับ เพราะว่าถ้าเราเคลมไม่ว่าจะเป็นสดหรือว่าแห้ง มันก็จะมีผลต่อค่าเบี้ยประกันที่เราต้องจ่ายในปีต่อไปด้วยนะครับ
สิงห์
@กริ่ม นี่เข้ามาอ่านหาความรู้ เข้ามาอ่านจับผิดกันแน่ครับ แซวๆนะครับ มันก็ต้องมีบ้างนะ คำผิด แต่ผมว่าความหมายก็ไม่เปลี่ยนนะยังพอเข้าใจได้ว่า ประโยคนั้นบทความนี้ต้องการจะบอกอะไร เอาเป็นว่าสรุปโดยรวมบทความนี้ให้ข้อมูลกับให้ความรู้ดีนะครับ คุณคิดว่าคุณเองก็ได้ความรู้เหมือนกัน จริงๆแล้วผมก็เอาความรู้แบบนี้ไม่มีสอนในโรงเรียนนะถ้าอยากรู้ก็ต้องหาอ่านเอาเอง
Monree
น่าจะบันทึกเอาไว้อ่านค่ะบทความนี้ เพราะเป็นความรู้ที่หาที่ไหนไม่ได้คือโรงเรียนไม่มีสอน แล้วก็คนเราก็ไม่เคยมาสอนกันเองด้วย เป็นความรู้ที่ต้องศึกษาหาเอาเองถ้าอยากจะรู้เรื่องนี้ ซึ่งจริงๆแล้วหลายคนก็ไม่ค่อยจะรู้หรอกเกี่ยวกับการเคลมประกัน ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาถึงจะเริ่มหาข้อมูลซึ่งมันก็อาจจะช้าเกินไป ชอบค่ะบทความนี้
Wanna
ดิฉันไม่เคยมีประสบการณ์เจออุบัติเหตุรถยนต์มาก่อน ทั้งในฐานะผู้ขับแล้วก็ผู้โดยสาร ก็ถือว่าเป็นความโชคดีเนาะ เอาจริงๆก็ไม่ได้ใช้รถยนต์บ่อย ไม่ค่อยได้ขับเองบ่อยแต่ว่าเป็นผู้โดยสารก็บ่อยเหมือนกันค่ะ บทความนี้ก็ดีนะคะได้ความรู้ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า การมีประกันรถยนต์เวลาเกิดอุบัติเหตุเราก็ต้องดูด้วยว่าเป็นกรณียังไงต้อง เคลมยังไงบ้าง
พงษ์วริษฐ์
น่าจะให้รายละเอียดเพิ่มนะครับว่าการเคลมแบบที่บทความนี้บอกต้องเป็นประกันชั้น1เท่านั้นถึงสามารถทำได้ ยิ่งกรณีเคลมแห้งแบบที่บทความนี้บอก ในประกันชึ้นอื่นๆไม่ได้มีส่วนนี้นะครับ สำหรับใครที่ใช้ ประกันชั้น1 ปกติก็จะเคลมแห้งบ่อยๆนะครับ แต่การเคลมแบบนี้ ต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่เราต้องจ่ายให้กับทางประกันด้วยนะครับ
Cherri
มีบริษัทไหนที่พอจะแนะนำได้บ้างไหมคะเกี่ยวกับบริษัทประกันรถ เพราะว่าเคยได้ยินเหมือนกันว่าถ้าเคลมแห้งมากๆมันเหมือนมีผลกับการต่อประกันปีต่อไป พอดีเราเป็นคนที่ชอบซุ่มซ่ามนะคะขับรถไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเคลมแห้งบ่อยมาก ซึ่งบริษัทประกันส่วนใหญ่ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็จะคิดค่าเบี้ยเราแพงขึ้น เลยอยากรู้ว่ามีบริษัทไหนไหมที่ไม่ค่อยจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเคลมแบบนี้ ?
65Raranron
ศัพท์เฉพาะทางของการเคลมประกันหรือว่าเป็นคำศัพท์ที่เรียกกันเองคะ คำว่า เคลมสด กับเคลมแห้งน่ะ เห็นคำว่า "สด" กับคำว่า "แห้ง" เราคิดถึงแต่อาหาร555 กำลังหิวหรือเปล่าไม่รู้ตอนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ หลายคนบอกว่าเป็นความรู้ใหม่เลยสำหรับเรื่องการเคลมประกัน ก็ดีค่ะ มีข้อมูลดีๆมาบอกกัน แล้วยังมีคนเข้ามาคอมเม้นท์กันเยอะด้วย
พิพัฒน์พงศ์
อุบัติเหตุเล็กน้อย เราก็ไม่ค่อยอบากเสียเวลาเอารถยนต์เข้าไปทำหลอกครับ เข้าไปอย่างน้อยๆก็น่าจะประสัปดาห์หนึ่งแหละครับ ส่วนใหญ่แล้วผมก็จะเก็บเอาไว้เคลมแห้งอย่างเดียวเลยครับ หรือถ้าไปมีอุบัติแล้วไม่ได้เป็นอะไรเยอะ ก็จะเอาเอกสารการแจ้งเคลมเก็บเอาไว้ก่อนครับ แล้วค่อยเข้าทีเดียวเลย แต่ทำแบบนี้ก็ต้องจ่ายเพิ่มบ้างละครับ