สำหรับคนที่ชอบทุ่มเทในการตบแต่งรถยนตร์ของคุณให้เท่ห์สะดุดตามากกว่าที่เคย ด้วยอุปกรณ์เด็ดๆ สวยๆนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่เรายังต้องวางแผนและทำความเข้าใจ ก็คือ การแต่งรถเพิ่มแบบนี้จะส่งผลต่อการทำประกันรถยนต์หรือป่าว?! เพราะบางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ว่า ประกันจ่ายให้เต็มบ้าง หรือ จ่ายไม่เต็มบ้าง

หากใจมันรักและยังคงมีข้อสงสัยเรื่องการแต่งรถอยู่ ว่าควรจัดเต็มยังไงให้ประกันยังคงความคุ้มครองอยู่รถของคุณอยู่ รับรองว่าหลังอ่านบทความนี้จบเพื่อนๆ จะได้รับคำตอบกันค่ะ!

การแต่งรถ ที่ประกันไม่ให้ความคุ้มครอง

การแต่งรถ ที่ประกันไม่ให้ความคุ้มครอง

ถ้าถามว่า ควรทำยังไงให้การแต่งรถและประกันรถไปในทิศทางเดียวกันล่ะก็ เราจะต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าวัตถุประสงค์ของการแต่งรถนั้นเราทำเพื่ออะไร เช่น ตกแต่งเพื่อความสวยงาม ติดสติ๊กเกอร์ ใส่สเกิร์ต หรือ ติดสปอยเลอ พร้อมเปลี่ยน แม็กสุดเท่ห์ ประกันรถยนต์ของคุณก็จะยังคงความคุ้มครองแน่นอน

แต่สำหรับการตกแต่งเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังเครื่องยนตร์แบบเน้นความเร็ว ก็อาจจะส่อแววว่าเป็นการใช้งานรถผิดประเภท ซึ่งประกันจะไม่ให้ความคุ้มครองแถมยังผิดกฏหมายด้วยอาทิเช่น

  • ดัดแปลงหรือปรับเครื่องยนต์ให้มีความเร็ว/แรง (เจ้าหน้าที่จะสังเกตจากเกวัดต่างๆ ที่ติดอยู่เต็มคอนโซลรถ)เปลี่ยนท่อไอเสียให้บึ้มขึ้น หรือดังกระหึ่มจนมีเสียงดังเกิน 100 เดซิเบล
  • แต่งรถซิ่ง หรือ โหลดต่ำกว่า 40 เซนติเมตร สูงเกินกว่า 175 เซนติเมตร (โดยวัดจากกึ่งกลางหน้ารถถึงพื้นถนน)
  • สีของไฟไม่ใช่สีที่ควรจะเป็น เช่น เปลี่ยนไฟเบรกไม่ใช่สีแดง เปลี่ยนไฟเลี้ยวไม่เป็นสีเหลือง หรือติดไฟท้ายที่ไม่ใช่สีขาว
  • ป้ายทะเบียนรถไม่ใช่อันเดิมที่กรมส่งออกให้
  • การเปลี่ยนสีรถทั้งคันโดยที่ไม่ได้แจ้งกรมขนส่ง

การแต่งรถในลักษณะที่ว่า บริษัทประกันจะไม่รับทำประกันให้ เพราะถือเป็นการแต่งรถที่ผิดกฎหมาย อาจนำไปใช้เพื่อแข่งขันความเร็ว มองว่าจะมีความเสี่ยงสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป และมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายค่ะ

ทริคในการแต่งรถ ที่ยังเคลมได้มากกว่า 20,000 บาท!

ทริคในการแต่งรถ ที่ยังเคลมได้มากกว่า 20,000 บาท!

และอย่างที่พูดไปบ้างว่า ประกันรถยนต์ยังคุ้มครองรถแต่งในบางกรณี จึงแยกได้อยู่ 2 ลักษณะ คือ

รถแต่งเพื่อความสวยงามซึ่งเป็นการติดตั้งอุปกรณ์แบบพื้นฐานทั่วไปอย่างสปอยเลอร์, สเกิร์ต, สติ๊กเกอร์, แก๊สติดรถยนต์ หรือเปลี่ยนเครื่องเสียงใหม่

สำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งก่อนการทำประกัน บริษัทจะทำการตรวจสภาพรถและประเมินราคาอุปกรณ์ที่แต่งเพิ่มแล้วคำนวณเบี้ยประกันให้ ในภายหลังเรายังสามารถต่อประกันรถยนต์ได้แต่ต้องตรวจสอบว่าประกันจะให้ความคุ้มครองอย่างไร ส่งผลต่อเบี้ยประกันและการเคลมหรือเปล่า

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้เราจะทำประกันชั้นหนึ่ง บริษัทประกันก็จะรับเคลมให้ได้สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท (ไม่ว่าจะกี่ชิ้น/แบบไม่จำกัดจำนวณครั้งตลอดกรมธรรม์ โดยไม่ต้องเสียเบี้ยเพิ่ม)

เราจึงต้องยื่นเรื่องแจ้งต่อบริษัทประกันให้รับรู้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรและแยกออกเป็นรายการ เกี่ยวกับอุปกรณ์แต่งรถที่เพิ่มเข้ามา เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่มากกว่า เช่น

  • ติดตั้งเครื่องเสียงไปในราคา 40,000 บาท
  • เปลี่ยนล้อมแม็คสองคู่ราคา 60,000 บาท
  • ติดสปอยเลอร์ ราคา 30,000 บาท เป็นต้น

แล้วทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้..

  • นำใบเสร็จของอุปกรณ์แต่งรถทุกชิ้น / รูปถ่าย ส่งมอบให้บริษัทประกันเพื่อประเมินราคา
  • บริษัทประกันจะทำการคิดเบี้ยประกันเพิ่มเติม
  • ชำระค่าเบี้ยประกันในส่วนที่เพิ่มเข้ามา
  • บริษัทฯจะออกกรมธรรม์เพิ่มเติม หรือ สลักหลังกรมธรรม์ เพื่อเพิ่มความครองในส่วนของอุปกรณ์ตกแต่งอีกด้วย

เทคนิคเล็กน้อยเหล่านี้ ก็จะทำให้รถแต่งของทุกๆคน ได้รับความคุ้มครองที่มากกว่าจำนวน 20,000 บาท และเคลมได้ตามที่ตกลงกับทางบริษัทประกันภัยค่ะ แต่อาจจะต้องรออะไหล่ที่ต้องการเคลมนานกว่าปกติ ตามความหายาก/รุ่น ที่เราแจ้งไว้ในประกัน หรือจ่ายส่วนต่างหากต้องการรุ่นใดโดยไม่ได้แจ้งเพิ่ม

แต่งเต็ม..แล้วแจ้งบริษัทฯ ก็เคลมได้อย่างครอบคลุมแล้วล่ะ!

แต่งเต็ม..แล้วแจ้งบริษัทฯ ก็เคลมได้อย่างครอบคลุมแล้วล่ะ!

สรุปว่ารถใหม่ป้ายแดงหากเรานำไปแต่งเพิ่มโดยให้แจ้งบริษัทประกันเค้าก็จะคุ้มครองรถตามสภาพที่ออกมาจากโรงงานเท่านั้น ส่วนท่านใดที่ต้องการความคุ้มครองรถแต่งให้มากกว่าจำนวน 20,000 บาท (ตามแพ็คเกจของอุบัติเหตุต่อครั้ง) ก็จะต้องแจ้งให้บริษัทประกันทราบเพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้กับอุปกรณ์แต่ของเราแบบทันทีทันใดด้วยนะคะ

และประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ยังเป็นตัวเลือกที่อุ่นใจได้มากกว่าและครอบคลุมทุกการเฉี่ยวชน สำหรับคนที่ชอบแต่งรถเป็นจริงเป็นจังซึ่งมีมูลค่าถึงหลักแสนหลักล้าน เพื่ออุปกรณ์ที่เราได้ลงทุนไปนั้นจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อ้อ! และนอกจากนี้อาจจะมีค่าเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย

สุดท้ายนี้ ถ้าใครชื่นชอบการแต่งรถและชอบแต่งเต็ม ก็ควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนตัดสินใจ พร้อมเจรจาตกลงให้เคลียร์กับบริษัทประกัน แล้วก็อย่าลืมคำนึงถึงความปลอดภัยในทุกการขับขี่กันด้วยนะคะ; สวัสดีค่ะ