บัตรเครดิตเป็นบัตรที่หาพูดให้เห็นภาพอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาก็คือบัตรที่เราสามารถนำเอาเงินในอนาคตมาใช้จ่ายก่อนได้ หลังจากครบเดือนหรือครบงวดที่กำหนดเอาไว้เราก็ต้องนำเอาเงินของเราไปชำระคืนในระยะเวลาปลอดหนี้เต็มจำนวน วิธีการดังกล่าวถือเป็นวิธีการใช้บัตรเครดิตที่ถูกต้องอย่างมีสติ แต่บางครั้งต่อให้มีสติก็ตามใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น บางคนโชคชะตาก็เล่นตลกทำให้ต้องใช้เงินด่วนฉุกเฉินเป็นจำนวนมากและต้องหันหน้ามาพึ่งบัตรเครดิตก็มีไม่น้อยเช่นเดียวกัน สุดท้ายก็ไม่สามารถชำระเงินในระยะเวลาปลอดหนี้ได้และกลายสภาพเป็นลูกหนี้เต็มตัวแถมยังหาเงินมาชำระหนี้ไม่ได้อีกต่างหาก
สิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและโดยปกติแล้วทุกคนก็จะพยายามหาเงินหรือหาวิธีการในการชำระหนี้ให้สำเร็จอย่างเช่นการทำงานเสริม การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น การไปคุยกับธนาคารเพื่อประนอมหนี้หรือหาทางออกร่วมกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนเช่นเดียวกันที่มองว่าปัญหาการติดหนี้บัตรเครดิตเป็นเรื่องเล็กและไม่สนใจ ไม่เข้าไปพูดคุยติดต่อกับธนาคารแถมยังไม่ชำระหนี้สินที่เหลืออยู่อีกต่างหาก
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับทริคปลดหนี้บัตรเครดิต ที่นี่
รวมสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณหากติดหนี้บัตรเครดิตแต่ไม่จ่าย
เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณหลังจากที่คุณตัดสินใจไม่จ่ายบัตรเครดิตและไม่หาทางออกให้กับตนเองร่วมกับธนาคารคุณจะพบกับอะไรบ้าง รับรองว่าผลกระทบเหล่านี้จะทำให้คุณต้องกลับมาคิดพิจารณาอีกทีอย่างถี่ถ้วนแน่นอนว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับหนี้สินที่มีอยู่
โดนติดตามทวงหนี้
สิ่งแรกที่หากคุณติดหนี้บัตรเครดิตแล้วไม่มี ไม่หนี ไม่จ่ายก็คือการโดนติดตามทวงถามหนี้นั่นเอง ข้อมูลการติดต่อทุกอย่างที่คุณเคยให้ไว้กับสถาบันการเงินไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์บ้าน เบอร์โทรศัพท์มือถือ เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน ที่อยู่ ที่ทำงาน จะถูกนำเอามาใช้ในการติดตามทวงถามหนี้ทั้งหมด แรกเริ่มคุณจะได้รับเพียงแค่ข้อความ SMS ที่คุณอาจจะไม่ทันได้อ่านหรือไม่ได้ใส่ใจ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเริ่มโทรมาติดต่อสอบถามว่าคุณลืมชำระหนี้หรือไม่ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากที่ถึงกำหนดชำระหนี้สิน
แต่หากคุณยังปล่อยไว้จนเข้าเดือนที่ 2 หรือเดือนที่ 3 ชื่อของคุณจะเข้าไปติดบนเครดิตบูโรและมันจะส่งผลกระทบกับคุณในภายภาคหน้าอย่างแน่นอนในการทำธุรกรรมทางการเงินโดยเฉพาะการกู้สินเชื่อ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือการโทรติดตามทวงถามนี่จะเริ่มถี่มากขึ้นกว่าเดิมและโทรไปทุกที่ที่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่ที่บ้านและที่ทำงาน ทุกคนจะเริ่มรู้เรื่องของคุณและมันก็อาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณก็ได้เช่นเดียวกัน
เสียประวัติและเครดิต
การที่คุณไม่ชำระหนี้สินบัตรเครดิตอาจดูเป็นเรื่องเล็กแต่ความเป็นจริงแล้วมันจะทำให้คุณเสียประวัติโดยเฉพาะประวัติบนเครดิตบูโรที่หากคุณไม่ชำระหนี้สินเกินกว่า 90 วันก็จะมีประวัติติดหราจนสถาบันทางการเงินที่เป็นสมาชิกกับเครดิตบูโรสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ในกรณีที่คุณมีการขอกู้สินเชื่อในอนาคต เครดิตบูโรเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อและหากคุณมีประวัติไม่ดีก็คงจะไม่มีเจ้าหนี้รายไหนต้องการจะให้คุณกู้หนี้ยืมสินอย่างแน่นอน แถมกว่าระยะเวลาที่ประวัติเหล่านี้จะหายไปก็ต้องใช้เวลายาวนานถึง 3 ปีเลยทีเดียว ทำให้คุณเสียโอกาสอย่างแน่นอน
ดังนั้นหากคุณไม่จ่ายชำระหนี้บัตรเครดิตก็อาจจะทำให้คุณต้องตกที่นั่งลำบากในอนาคตหากคุณต้องการจะกู้สินเชื่อซื้อทรัพย์สินขนาดใหญ่อย่างเช่นบ้านหรือรถ ถึงแม้ว่าหนี้บัตรเครดิตในตอนนั้นคุณจะชำระหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตามถึงจะช้าไปบ้าง และต่อให้ตอนนี้คุณจะมีทรัพย์สินเงินทองมากพอที่จะดาวน์บ้านดาวน์รถ มีกำลังมากพอที่จะชำระหนี้ แต่การจะทำให้สถาบันทางการเงินผู้เป็นเจ้าหนี้เชื่อใจได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด
ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ
ในกรณีที่ธนาคารติดต่อทวงถามหนี้สินมากแค่ไหนคุณก็ยังไม่จ่ายหรือมีพฤติกรรมหลบหนี สุดท้ายธนาคารจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดนั่นก็คือการฟ้องร้องต่อศาลนั่นเอง คดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งที่หากถูกฟ้องร้องแล้วมีหมายศาลมาถึงที่บ้านก็ถือว่าค่อนข้างยุ่งยากพอตัวเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยู่ในอีกจังหวัดหนึ่งแล้วมีการยื่นฟ้องศาลในอีกจังหวัดหนึ่ง ยิ่งหากคุณไม่เดินทางไปศาลตามกำหนดศาลยิ่งพิจารณาตัดสินความผิดคุณได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้คุณยังไม่สามารถกล่าวอ้างได้อีกด้วยว่าไม่ได้รับหมายศาล
ดังนั้นทุ กครั้งที่ศาลนัดคุณก็จะต้องลางานหรือหยุดร้านเพื่อไปศาล ในตอนแรกจะเริ่มจากขั้นตอนการเจรจาไกล่เกลี่ย หากไกล่เกลี่ยกันลงตัวก็จะดำเนินกันไปตามสิ่งที่พูดคุยกันเอาไว้อย่างเช่นอาจจะมีการลดจำนวนหนี้สินลงหรือมีการแบ่งชำระรายงวดที่น้อยลงกว่าเดิม แต่หากไกล่เกลี่ยกันไม่ลงตัวสุดท้ายก็ต้องไปตกลงกันบนชั้นศาลซึ่งจะต้องจ้างทนายมาเพื่อสู้คดีและมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมากมาย และยิ่งหาคุณแพ้คดีคุณอาจจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมศาลรวมไปถึงค่าทนายให้กับทางสถาบันทางการเงินอีกด้วย
หากคุณมองว่าไม่มีอะไรจะเสียเราขอแนะนำว่าให้พิจารณาให้ดี นั่นก็เป็นเพราะว่าหากคดีดำเนินไปจนถึงจุดสิ้นสุดและคุณถูกตัดสินให้มีความผิดแถมยังต้องชดใช้ทุกอย่างให้กับเจ้าหนี้อย่างทางธนาคารด้วยแล้ว คุณจะถูกยึดทรัพย์ในทันทีไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถยนต์นำเอาไปขายทอดตลาด ถูกยึดทรัพย์สินภายในบ้านตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ เงินเดือนคุณจะถูกอายัดจำนวนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ หรือหากคุณไม่มีอะไรเลยจริงๆ ก็อาจจะถูกฟ้องร้องล้มละลายที่จะกระทบต่ออนาคตของคุณอย่างแน่นอน
5 วิธีปิดหนี้บัตรเครดิต ให้หมดไว ไม่โดนคดี
ทางที่ดีที่สุด คือการไม่เป็นหนี้บัตรเครดิต โดยต้องวางแผนการเงินให้ดี ไม่ใช้บัตรฟุ่มเฟือยจนเกินไป แต่ในกรณีที่เกิดหนี้บัตรเครดิตแล้ว เราก็มี 5 วิธีปิดหนี้บัตรเครดิต ให้หมดไวที่สุดมาฝาก จะมีรายละเอียดอะไรบ้างไปดูกัน
1. ปิดบัตรที่ไม่ได้ใช้
หากคุณมีบัตรหลายใบ ให้เริ่มต้นจากการปิดบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้เป็นอันดับแรกเพราะหากยังถือบัตรอยู่เหมือนเดิมอาจจะทำให้คุณกลับไปใช้รูดจ่ายเหมือนเดิมและอาจจะสร้างภาระหนี้สินอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้รับการแก้ไข
2. เจรจากับธนาคารเจ้าของบัตร
ต่อมาหากตั้งใจอยากปิดบัตรให้ไปลองคุยกับเจ้าของบัตรธนาคารนั้น ๆ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่จะช่วยให้คุณวางแผนผ่อนจ่ายแต่ละเดือนทั้งต้นและดอกเบี้ยที่ชัดเจนและมีแผนแน่นอนซึ่งจะช่วยให้คุณลดหนี้ลงได้
3. รวมหนี้เป็นก้อนเดียว เพื่อทยอยชำระ
การรวมหนี้มาเป็นก้อนเดียวอาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะทำให้คุณเห็นว่าบัตรแต่ละใบที่คุณใช้จ่ายมีหนี้คงค้างแต่ละใบเท่าไรและใบไหนควรจ่ายก่อนและหากจ่ายยอดขั้นต่ำแต่เดือนจะต้องจ่ายเท่าไร โดยควรเริ่มจากใบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงก่อน
4. ซื้อของด้วยเงินสดและซื้อเฉพาะของที่จำเป็น
หากเมื่อก่อนคุณใช้จ่ายสินค้าทุกรายการผ่านบัตรเครดิต ลองปรับมาเป็นการใช้จ่ายผ่านเงินสดและก่อนจะซื้อให้ลองทบทวนอีกครั้งว่าจำเป็นหรือไม่เพื่อช่วยลดภาระหนี้ที่อาจเกิดขึ้นจากบัตรเครดิตสะสมอย่างต่อเนื่อง
5. วางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง
วิธีสุดท้ายอาจจะช่วยให้การจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเริ่มได้จากการจดทำบันทึกรายรับรายจ่าย สิ่งที่ตามคือวินัยที่จะต้องลงมือทำอย่างต่อเนื่องจนครบเดือนเพื่อให้คุณได้เห็นว่าแต่ละส่วนนั้นได้มีการใช้จ่ายไปกับอะไรและสามารถลดอะไรได้บ้าง
สรุปแล้วหากคุณติดหนี้บัตรเครดิตเราขอแนะนำให้รีบจ่ายโดยด่วน เพราะยิ่งรีบจ่ายรีบโปะมากแค่ไหนมันก็จะยิ่งมีจำนวนที่น้อยลงมากขึ้นเท่านั้นและคุณก็จะสามารถบริหารจัดการทางการเงินได้ง่าย แต่หากคุณประสบวิกฤตทางการเงินจริงเราขอแนะนำให้ใช้ความกล้าเดินเข้าไปพูดคุยกับทางธนาคารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อหาทางออกร่วมกันก่อนที่จะกลายเป็นคดีความจะเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ตกงาน เป็นหนี้บัตรเครดิต ทำยังไง ที่นี่
หากใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถาม ผู้เชี่ยวชาญจาก Moneyduck ได้ฟรี ที่ลิงก์ด้านล่าง
บอกเล่าความคิดเห็นและสิ่งที่คุณรู้ที่นี่