หลายคนกำลังมองหาคอนโดใกล้ที่ทำงานแต่ก็กังวลว่าเงินเดือนของคนในแต่ละเดือนสามารถผ่อนคอนโดได้เท่าไหร่ บางคนอาจคิดถึงการปล่อยกู้สินเชื่อคอนโดที่จะต้องผ่อน 1 ใน 3 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ถึงจะได้คอนโดห้องหนึ่ง แน่นอนว่าถ้าคุณคิดจะซื้อคอนโดสักห้องคุณจะต้องเตรียมเงินเตรียมใจและเตรียมแรงมากกว่าที่ผู้อยากมีคอนโดแต่ละคนที่มีความฝันแบบนั้น มีคำถามว่าเราจะทำอย่างไรตั้งแต่ตอนแรกถ้าคิดที่จะซื้อคอนโดแต่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรบ้างจะต้องคิดตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงเรื่องสุดท้ายว่ามนุษย์เงินเดือนปกติจะสามารถซื้อคอนโดหรือผ่อนคอนโดได้อย่างไร ดังนั้นคุณอาจจะพิจารณาดูบ้างขั้นตอนต่อไปนี้ได้ซึ่งอาจจะช่วยคุณให้พิจารณาดูว่าจะทำการดำเนินเรื่องอย่างไร

พิจารณารายได้

consider income

Kriang kan/shutterstock.com

เรื่องจากการที่ควรจะซื้อของบางสิ่งควรจะต้องพิจารณารายได้ของคุณถ้าเป็นสิ่งของเล็กๆน้อยๆคุณอาจจะไม่ต้องใช้เวลามากในการคิดใคร่ครวญว่าจะต้องซื้อหรือมีเงื่อนไขอะไรบ้าง แต่การที่คุณจะซื้อบ้านซื้อรถหรือซื้อคอนโดนั้นคุณต้องใช้เวลาในการคิดว่าเงินของคุณมีพอสำหรับการผ่อนหรือเปล่า ซึ่งปกติแล้วถ้าคุณจะซื้อคอนโดที่คุณถูกใจคุณจะต้องมีเงินจองหรือเงินก้อนแรกที่ต้องจ่ายไว้ก่อนเพื่อมัดจำคอนโดที่คุณต้องการจะซื้อ ซึ่งค่าจองก็จะขึ้นอยู่กับว่าแต่ละที่นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรซึ่งปกติแล้วส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 10,000 บาท ซึ่งก็จะมีการทำสัญญาเพื่อผ่อนดาวน์หรือการทำเรื่องกู้สินเชื่อธนาคารได้ซึ่งจะเป็นการจ่ายให้กับโครงการโดยตรง แต่อันที่จริงทุกคนโดยจะไม่เหมือนกันซึ่งการจ่ายหรือการผ่อนกู้สินเชื่อต่างๆอาจจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันนิดหน่อย เพราะบางโครงการถ้าคุณกู้สินเชื่อธนาคารไม่ผ่านโครงการก็จะเสร็จล่าช้าคืออะไรต่างๆทำนองนี้ ตามปกติแล้วถ้าคนมีเงินเดือนเท่าไหร่ทางธนาคารจะเป็นคนบอกว่าคุณจะกู้ได้ประมาณเท่าไหร่มูลค่าที่คุณจะกู้ได้จะประมาณมาแล้วจากธนาคารว่าคุณสามารถให้กับธนาคารเดือนละเท่าไหร่ด้วย ซึ่งที่จริงคุณอาจจะลองหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเข้าไปปรึกษาธนาคารหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าถ้าคุณมีเงินเดือนเท่านี้คุณสามารถกู้ได้อย่างไรและมีการผ่อนชำระอย่างไรดอกเบี้ยเท่าไรทำนองนี้ ซึ่งขั้นตอนก็จะมีอยู่หลายขั้นตอนการกู้สินเชื่อต่างๆนั้นมันก็อยู่ที่ว่าประวัติของคุณเป็นอย่างไรข้อมูลเครดิตของคนเป็นอย่างไร แน่นอนไม่ต้องคิดถึงหลายอย่าง

ดูดอกเบี้ยที่ต้องชำระ (MLR, MRR)

mlr mrr

Monster Ztudio/shutterstock.com

แน่นอนว่าหลายคนก็ไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่กับอัตราดอกเบี้ยชื่อย่อว่า MLR หรือ MRR

ซึ่งปกติแล้วดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆคือดอกเบี้ยที่คงที่หรือดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นตัวเลขเฉพาะที่คงที่ตลอดอายุการสัญญาในช่วงเวลาที่กำหนด เช่นสมมุติว่ากำหนดให้ชำระดอกเบี้ย 5% ต่อปีและมีระยะเวลาการชำระ 4 ปีอะไรประมาณนี้เป็นต้น และอัตราดอกเบี้ยลอยตัวนั้นก็คือดอกเบี้ยที่อ้างอิงหรือเปลี่ยนไปตามต้นทุนของธนาคารแต่ละแห่งในช่วงหลังๆซึ่งธนาคารจะประกาศอัตราใหม่การเป็นครั้งคราวซึ่งก็แล้วแต่ละธนาคารว่าจะมีเงื่อนไขอย่างไรซึ่งอัตราพวกนี้สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ของสาขาของธนาคารนั้นๆ

ถ้าอธิบายสั้นๆง่ายๆเลย MLR (Minimum Loan Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Term Loan) เช่น มีประวัติการเงินที่ดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างเพียงพอ โดยส่วนใหญ่ใช้กับเงินกู้ระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น ส่วนMRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น ซึ่งในชีวิตประจำวันของเราเราก็จะได้ยินเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะหรือสินเชื่อต่างๆซึ่งแต่ละธนาคารจะมีอิสระที่จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงได้และมีเงื่อนไขนิดหน่อยที่ต้องให้คำจำกัดความชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยที่ตั้งขึ้นมานั้นมีความหมายและคำจำกัดความว่าอะไร ซึ่งตามปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้แบงค์ชาติบังคับเป็นกฎเลยว่าแต่ละธนาคารจะต้องติดประกาศให้ชัดเจนในสำนักงานใหญ่ของสาขาของแต่ละธนาคารไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์หรือธนาคารก็จะต้องมีการติดรายละเอียดแบบนี้ไว้ แต่พวกเขาจะไม่บังคับสำหรับธนาคารรัฐ ซึ่งเนื่องจากแต่ละธนาคารจะมีต้นทุนของธนาคารไม่เท่ากันต้นทุนที่เกี่ยวข้องของแต่ละธนาคารนั้นจะมีดอกเบี้ยเงินฝากหรือจำนวนเงินฝากต่างๆอะไรทำนองนี้ที่ต่างกันมากแล้วแต่ว่าจะมีปริมาณเงินสำรองหรือจำนวนหนี้เสียและสภาพคล่องของธนาคารนั้นๆ ลูกค้าก็สามารถเดินเข้าไปแต่ละธนาคารได้เพื่อสอบถามข้อมูลว่าคุณจะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะขอการกู้สินเชื่อจากธนาคารซึ่งธนาคารจะต้องมองความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคนเพราะลูกค้าแต่ละคนไม่เหมือนกันดังนั้นเขาจะวัดจากหลายอย่างจากลูกค้าว่าประมาณเท่าไหร่ สถานการณ์ส่วนใหญ่จะให้ความหมายสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีมากกว่าเพราะพวกเขามีทางประวัติทางการเงินที่ดีและมีหลักทรัพย์ค้ำประกันไว้ว่าจะต้องคืนอย่างแน่นอนจะทำอย่างไรหรือจะให้คุณกู้สินเชื่อ คุณอาจจะลองหาวิธีการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ดูเช่น คุณอาจลองคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ดูว่าส่วนใหญ่แล้วจะใช้ประมาณเท่าไหร่อัตราเงินดอกเบี้ยของพี่จะมีข้อดีข้อเสียหลายอย่าง แล้วคุณอาจจะลองพิจารณาดูว่าการคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอกมันเป็นอย่างไรและจะใช้กับวิธีการกู้สินเชื่อเพื่อจะผ่อนคอนโดได้หรือเปล่า