ดอกเบี้ยผ่อนบัตรเครดิต หลายคนพอได้ยินคำว่าดอกเบี้ยก็รู้สึกกลัว เพราะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่แฝงอยู่ในบัตรเครดิต ถ้าเราใช้เป็นมันจะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้ก็จะอันตรายมากที่สุด เช่นกัน การจ่ายค่าบัตรเครดิตไม่ตรงเวลา ทำให้เกิดดอกเบี้ยที่ไม่จำเป็น และเป็นภาระค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น แต่หลายๆ คนที่จ่ายตรงเวลา และมีบัตรไว้อย่างน้อย 1-2 ใบ ก็เป็นประโยชน์ เพราะเดี๋ยวนี้บัตรเครดิตแข่งกันออกโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าตามร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ กันเต็มไปหมด ทั้งส่วนลด สะสมแต้ม หรือผ่อน 0% เพื่อเป็นตัวเลือกในการใช้โปรโมชั่นต่างๆ บัตรเครดิตบางใบก็มีทั้งของแถมของรางวัล มีให้แลกแต้มเยอะแยะไปหมด แล้วใครล่ะจะไม่อยากมีบัตรเครดิตถือไว้ซักใบจริงมั้ย!

แต่การใช้บัตรเครดิตก็ต้องมาพร้อมกับความมีวินัยเสมอ เราจำเป็นที่จะต้องจ่ายบัตรเครดิตให้ตรงเวลา ถ้าเราเผลอใช้เงินเกินตัว พอถึงวันครบรอบชำระยอดบัตรเครดิต กลับมีเงินสดในกระเป๋าไม่พอจ่าย เราก็ต้องกลายเป็น “หนี้” และสิ่งที่ตามมาก็คือ “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต” ที่จะต้องจ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แทนที่จะเป็นประโยชน์กลับกลายเป็นโทษต้องมีรายจ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้น มีหลายคนมากที่ไม่รู้หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคำนวณ “ดอกเบี้ยผ่อนบัตรเครดิต” จึงทำให้เกิดปัญหาหนี้สะสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราลองมาดูว่า การคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนบัตรเครดิต คิดกันอย่างไร? “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต” จะเกิดขึ้นเมื่อเราชำระค่าสินค้าและค่าบริการไม่เต็มจำนวน! ไม่ว่าจะเป็นการชำระขั้นต่ำหรือขาดไปแค่ 50 สตางค์ก็ตาม

interest rates

garagestock/shutterstock.com

การคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนบัตรเครดิต จะแยกคำนวณเป็น 2 ส่วน คือ

การคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนบัตรเครดิต จะแยกคำนวณเป็น 2 ส่วน คือ

คิดจาก “ยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด” ตั้งแต่ “วันบันทึกรายการ” ถึง “วันสรุปยอดค่าใช้จ่าย” คิดจาก “ยอดคงค้าง” ตั้งแต่ “วันที่ชำระขั้นต่ำ” ถึง “วันสรุปยอดเดือนถัดไป” ตัวอย่าง นายเอรูดบัตรเครดิตซื้อของขวัญปีใหม่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. จำนวน 10,000 บาท ธนาคารสรุปยอดค่าใช้จ่ายทุกวันที่ 25 ของเดือน และกำหนดชำระเงินทุกวันที่ 10 ของเดือนถัดไป ซึ่งธนาคารคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 20% ต่อปี ต่อมาในวันที่ 10 ก.พ. ต้องนำเงินไปจ่ายขั้นต่ำ 10% คือ 1,000 บาท ในรอบบิลถัดไป 25 ก.พ. นายเอจะถูกคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ดังนี้ ยอดทั้งหมด 10,000 บาท x 20% x 25 วัน / 365 = 136.99 บาท (1 ม.ค. – 25 ม.ค.) ยอดคงค้าง 9,000 บาท x 20% x 16 วัน / 365 = 78.90 บาท (10 ก.พ. – 25 ก.พ.) ดังนั้น ยอดเงินที่ถูกเรียกเก็บคือ 9,000 + 136.99 + 78.90 = 9,215.89 บาท สมมติ ต่อมาวันครบกำหนดชำระ 10 มี.ค. มีเงินมาผ่อนชำระเต็มจำนวนยอดเรียกเก็บของ 25 ก.พ. คือ 9,215.89 บาท ในวันครบรอบบิล 25 มี.ค. นายเอ ยังมียอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมค้างอีก 9,000 บาท x 20% x 14 วัน / 365 = 69.04 บาท (26 ก.พ. – 10 มี.ค.) (เดือน ก.พ.มี 29 วัน) ซึ่งโดยรวมแล้วนายเอต้องจ่ายดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมทั้งหมด 284.93 บาท จะเห็นได้ว่าการคิดดอกเบี้ยของบัตรเครดิตเรียกได้ว่าเอาทุกเม็ดเลยทีเดียว แล้วถ้านายเอยังคงจ่ายบัตรเครดิตยอดขั้นต่ำไปเรื่อยๆ นายเอก็จะต้องเสียดอกเบี้ยของดอกเบี้ยวนไปเรื่อยๆ เราคงพอเห็นวิธีการคำนวณดอกเบี้ยผ่อนบัตรเครดิตแบบนี้แล้ว คงไม่อยากเป็นหนี้บัตรเครดิตกันเลยใช่มั้ยล่ะ บัตรเครดิตเป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกให้เราไม่ต้องพกเงินสดเท่านั้น ไม่ใช่ที่กู้เงิน! แต่บัตรเครดิตก็ยังมีข้อดี ลองมาเปรียบเทียบกัน

ข้อดีของการผ่อนบัตรเครดิต

ข้อดีของการผ่อนบัตรเครดิต

ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโต เมื่อต้องการซื้อสินค้าราคาสูงๆ สามารถนำเงินไปลงทุน หรือใช้ในสิ่งจำเป็น หรือฉุกเฉินก่อนได้ ไม่จำเป็นต้องมีเงินให้ครบตามจำนวนราคาสิ่งของก็ซื้อได้ ขอแค่มีบัตรเครดิตหรือมีโปรโมชั่นผ่อน สะดวกสบายและปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่เราจะต้องถือเงินสดจำนวนมากติดตัว เมื่อต้องการไปซื้อของที่ราคาแพง ได้รับส่วนลดพิเศษจากการซื้อสินค้าหรือบริการ ณ ร้านที่เข้าร่วมรายการกับบัตรเครดิตที่เราจะผ่อน แบ่งจ่ายได้หลายเดือน รวมถึงมีโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% ทำให้เราไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสินค้าทั้งหมด ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายชำระคืนเต็มจำนวนในครั้งเดียว เราสามารถทยอยจ่ายคืนได้ โดยขั้นต่ำที่เราต้องชำระคืนคือ 10 % ของค่าใช้จ่ายที่เราใช้ไป เราจะมีระยะเวลาในการชำระเงินคืนกับธนาคารประมาณ 45 – 55 วัน หลังจากวันตัดรอบบิล โดยจำนวนวันจะขึ้นอยู่กับธนาคารแต่ละแห่งว่ากำหนดไว้อย่างไร การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร หากเรามีประวัติการชำระเงินที่ดี จะเป็นข้อมูลในการทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคตได้ เช่น กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ เป็นเครื่องมือเพื่อให้ธนาคารออกเงินก่อน

ข้อเสียของการผ่อนบัตรเครดิต

ข้อเสียของการผ่อนบัตรเครดิต

หากเราไม่สามารถชำระเงินคืนได้ตามกำหนดเวลา หรือไม่เต็มจำนวน ก็จะทำให้โดนปรับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อาจจะทำให้วินัยการเงินเราเสียได้ง่าย จากการที่ใช้จ่ายไม่คิด และ ใช้จ่ายเกินตัว เพราะความสะดวกสบายที่บัตรเครดิตมอบให้ บัตรเครดิตมีอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง หากเป็นหนี้แล้วไม่รีบชำระคืนให้หมด จากหนี้ก้อนเล็กๆ ก็จะกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้ในอนาคต เงื่อนไขการใช้บัตรแต่ละที่ค่อนข้างสูงพอสมควร เนื่องจากเป็นการป้องกันการเกิดหนี้เสียซึ่งถ้าเราไม่ได้อ่านละเอียด ก็โดนค่าปรับได้โดยไม่รู้ตัว เช่นปกติให้จ่ายงวดวันที่นี้ๆ แต่งวดสุดท้ายต้องจ่ายวันนี้แทน ถ้าจ่ายไม่ตรงเวลาอาจพบค่าใช้จ่ายเพิ่ม ต้องจ่ายไม่ช้าแม้แต่วันเดียว และไม่ขาดเลยแม้แต่เศษสตางค์ จะรูดแบบไม่คิดเพราะลืมตัว รู้ตัวตอนสรุปยอดแล้ว จะเป็นหนี้หัวโต ดังนั้น ต้องมีเงินสดสำรองไว้จึงจะรูดบัตรเท่านั้น ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการผ่อนชำระบัตรเครดิต คุณควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนนะคะว่า คุณอยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่มีภาระหนี้สินใด ๆ ให้ปวดหัว หรืออยากมีหนี้ มีภาระผูกพัน ต้องหาเงินมาจ่ายบัตรเครดิตทุกเดือน ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด คุณสามารถเลือกได้ ทางที่ดี คุณควรวางแผนการใช้บัตรเครดิตในแต่ละเดือน มีวินัยในการใช้บัตร และเตรียมเงินไปจ่ายคืนแบบเต็มจำนวนและตรงเวลาทุกครั้ง หมั่นคอยตรวจเช็คยอดในบัตรเรื่อยๆ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้บัตรเครดิตค่ะ ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่ว่าการมีบัตรเครดิตนั้นไม่ดีแต่เราต้องมีวินัยในการใช้บัตรเครดิตมากๆ จากข้อมูลข้างต้น ท่านอาจจะเห็นแล้วว่า การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำนั้นมีแต่ผลเสียที่น่ากลัว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำนะคะ