คุณเองในฐานะที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเจ้านาย คงทราบดีกว่าชีวิตการทำงานของมนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องการมีความมั่นคงและมีคุณภาพในการทำงาน ไม่ใช่แค่เงินเดือนที่ได้รับเพียงเท่านั้น เหตุผลที่มากกว่านั้นคือ สิ่งที่สามารถสร้างแรงกระตุ้น สร้างแรงจูงใจให้พวกเขาพร้อมจะลงทุนตัวเองให้กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งต้องทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพมีความภาคภูมิใจในงานที่ทำ

นอกจาก เงิน แล้ว คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องการมากที่สุด สิ่งที่พวกขาน่าจะต้องการคือ เรื่องประกันสุขภาพ, ค่าทำฟัน และการทำประกันต่างๆ ตามมาด้วย ความยืนหยุ่นของเวลาทำงาน, วันหยุดพักร้อนเพิ่มขึ้น และการทำงานจากที่บ้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และต้องการปรับสมดุลระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิตให้ลงตัวขึ้นค่ะ

การทำงานอย่างมีความหมาย

การทำงานอย่างมีความหมาย

การทำงานอย่างมีความหมายคุณก็ต้องรู้จักตั้งเป้าหมายในการทำงาน ก่อนที่จะเริ่มต้นในการทำงานทุกครั้งต้องตั้งเป้าหมายในการทำงานล่วงหน้า และต้องเป็นเป้าหมายที่ชัดเจน กำหนดให้อยู่ในรูปของการปฏิบัติการ (Action Oriented )ได้จริง ทั้งเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายระยะกลาง และเป้าหมายระยะสั้น การตั้งเป้าหมายจึงเป็นการวางแผนการทำงานไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยทำให้การปฏิบัติงานมีทิศทาง

เปรียบเหมือนเรือที่มีหางเสือ ผิดพลาดน้อย และตรงจุดมุ่งหมายขององค์การ และการรู้จักบริหารเวลาการบริหารเวลาให้เป็นจะช่วยลดความไม่เป็นระเบียบในชีวิต เพิ่มความสุข และความสำเร็จให้แก่ตนเองและการทำงาน ยิ่งในภาคธุรกิจ เวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก นักธุรกิจจะพยายามใช้เวลาในการเดินทางให้เกิดประโยชน์ เรื่องของการบริหารเวลาสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราเราได้ด้วยนะคะ

เพื่อจะช่วยให้งานที่ทำมีความหมายมากขึ้นคุณต้องทำงานอย่างตรงต่อเวลา และใช้เวลาที่มีเพื่อทำงานอย่างคุ้มค่าค่ะ และคุณอาจจะมีตัวช่วยเพื่อให้งานของคุณออกมาอย่างดีด้วยการใช้เทคโนโลยีในการทำงาน / สั่งงานและ ติดตามงาน เช่น การใช้โทรศัพท์ ติดต่อประสานงาน การประชุมทางโทรศัพท์ หรือการใช้ Teleconferencing System แฟกซ์ คอมพิวเตอร์การสั่งราชการโดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

ทั้งนี้เพื่อผู้ปฏิบัติงานจะได้ปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็วและผู้บริหารจะได้ประหยัดเวลาในการบริหารงาน เพราะในโลกของความเป็นจริงผู้บริหารจะนั่งประจำที่โต๊ะทำงานน้อย แต่กิจกรรมประจำวันส่วนใหญ่จะเป็นการประชุม เยี่ยมเยียนหน่วยงานเปิด-ปิดงาน ติดต่อประสานงานภายนอกมากกว่า ในส่วนงานของคุณที่เป็นลูกน้องก็คงต้องมีความถูกต้องในการทำงานพยายามผิดพลาดให้น้อยที่สุดก็คงจะดีมากกว่า รับรองว่างานที่คุณทำจะมีความหมายมากยิ่งขึ้นแน่นอน

ความท้าทายในการทำงาน

ความท้าทายในการทำงาน

ความท้าทายในการทำงานซึ่งอาจจะเกิดมาจากปัญหาก็ได้แต่ปัญหาก็ไม่ได้สร้างข้อเสียเท่านั้นอาจจะสร้างข้อดีด้วยซ้ำช่วยให้การทำงานไม่น่าเบื่อมีปัญหาเข้ามาให้แก้ไข บางคนก็ชอบความท้าทายแบบนี้ แต่สำหรับบางคนก็อยากจะหลีกเลี่ยง แต่จะทำอย่างไรให้มนุษย์งานทั้งหลายอย่างเราๆ จะสามารถสร้างแรง จูงใจเพื่อให้เผชิญหน้ากับความท้าทายในหน้าที่การงานของเราได้ หรือมีแรงบันดาลใจมากพอในการที่จะเปลี่ยนแปลงความสับสนวุ่นวาย และความวิตกกังวลที่พบเห็นกันอยู่เสมอๆ

ในสถานที่ทำงาน ให้กลายมาเป็นโอกาสที่มีคุณค่าต่อการยกระดับปัญญา และความมีประสิทธิผลที่สูงยิ่งขึ้น อย่างน้อยต้องแสดงให้เห็นว่าชีวิตของการทำงานไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใดก็ตาม สามารถกลายเป็นส่วนที่เชื่อมประสานอย่างแนบแน่นกับชีวิตของเราและ สร้างความสมปรารถนาให้แก่เราได้

ถ้าใครไม่ชอบความท้าทายแต่จะเปลี่ยนให้เป็นข้อดีหรือมองมันในแง่ดีได้ต้องทำอย่างนี้ คือ   เราควรที่จะฝึกใจให้สงบนิ่งเพื่อรับรู้ประสบการณ์โดยตรงของจิตใน ปัจจุบันขณะ จงสำรวจดูความเป็นตัวตนของเราอย่างเที่ยงตรงที่สุดและ ด้วยความอ่อนโยน โดยค่อยๆ มองผ่านทะลุถึงงานที่กำลังทำอยู่ว่ามีปัญหาอุปสรรคอย่างไร ควรมีทางออกอย่างไรได้บ้าง แน่นอนว่าการมีสติตั้งมั่นจะ ไม่ทำให้งานของคุณยุ่งเหยิงน้อยลง ลูกค้าจะมีปัญหาน้อยลง เพื่อนร่วมงาน ที่ชอบชิงดีชิงเด่นน้อยลง แต่การมีสติจะทำให้เราใจเย็นขึ้น มีความอดทน มีความสุขุมรอบคอบยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะมีการมองโลกในแง่ดี รู้จัก ประนีประนอมและให้อภัยมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น การพัฒนาความมีสติตั้งมั่นจึงเป็นภาระกิจที่สำคัญของเราใน การทำงาน แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะว่าเราชอบที่จะพัฒนาตนเองในเชิงจิตวิญญาณแทนที่จะทำ งานให้สำเร็จลุล่วง การมีสติตั้งมั่นในการทำงาน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานให้กลายเป็นการปลีกวิเวกไปอยู่อย่าง โดดเดี่ยว แต่จะช่วยให้เราปราศจากความวิตกกังวล และความขุ่นเคืองใจ ไปได้มากนั่นเอง กรทำงานก็จะมีความสุขมากกว่าค่ะ

อิสระและเสรีภาพในการทำงาน

อิสระและเสรีภาพในการทำงาน

การปกครองตนเองเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในที่ทำงาน ซึ่งการได้อิสระนี้ถือเป็นแรงผลักดันในการทำงานอย่างหนึ่ง เพราะลูกน้องของคุณจะรู้สึกว่าจะมีแรงจูงใจในการทำงานเมื่อได้ทำงานที่ตัวเองสนใจและสนุกกับการทำงาน ลูกน้องที่ได้รับอิสระในการทำงานจะมีความสุขมากกว่า รู้สึกมีแรงจูงใจในการทำงาน ตั้งใจทำงานมากขึ้น และมีความเครียดน้อยลง ต่างจากบริษัทที่คอยกดดัน และเน้นการออกคำสั่ง เพราะลูกน้องจะเครียด และรู้สึกเหมือนถูกควบคุมจนเกินไป

ประโยชน์ที่หัวหน้าจะได้จากการให้อิสระในการทำงานกับลูกน้องก็คือ ลูกน้องจะเปลี่ยนงานน้อยลง และมีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมใหม่ และแม้กระทั่งการทำงาน ก็มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น ก็หมายความว่าคุณคงไม่ต้องการให้องค์กรของคุณแบ่งระดับชั้นของลูกน้องจนไม่สามารถมีการปรับเปลี่ยนอะไรได้

เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ คุณควรจะบอกแนวทางที่ชัดเจน เกี่ยวกับคุณภาพของโครงการ กำหนดระยะเวลา และบอกวัตถุประสงค์ จากนั้นให้อิสระกับลูกน้องของคุณว่าจะทำงานชิ้นนี้อย่างไร ทีมของคุณอาจจะไม่ได้ดำเนินการตามที่คุณหวังไว้ทั้งหมด แต่กลยุทธ์ของพวกเขาอาจจะดี หรือดีกว่าก็เป็นได้ ในฐานะหัวหน้างาน คุณจำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง แต่การยึดกับความเห็นของตัวเองอย่างเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี หัวหน้างานส่วนใหญ่มักจะมีอคติอยู่แล้ว แต่ก็ควรจะให้อิสระกับลูกน้องในการโต้แย้ง หรือแสดงความเห็นบ้าง เพราะในการทำงานร่วมกันที่ดี ควรจะเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นหรือข้อแนะนำของคนอื่นเช่นกัน

เมื่อคุณได้ให้อิสระกับลูกน้อง และความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น คุณก็ต้องเข้าใจตัวเองด้วยว่า การกระทำดังนี้เพื่อช่วยให้คุณส่งมอบงานให้ลูกน้องได้ง่ายขึ้น และคุณยินดีที่จะยอมรับอย่างมั่นใจว่า คุณจะจ้างลูกน้องสักคน เพราะเขามีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆมากกว่าคุณ มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะต้องเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และรับรู้ว่าลูกน้องรอบตัวคุณได้รับประสบการณ์ใดในการทำงานกับคุณ และคุณก็จะสามารถทราบว่าลูกน้องแต่ละคนต้องการแรงจูงใจใดในการทำงานให้ดีขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มผลผลิตให้กับบริษัทต่อไปนั่นเอง

ความยุติธรรม

ความยุติธรรม

เมื่อเจาะลึกไปในคนรุ่นใหม่ ผลสำรวจเผยให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ต้องการทำงานกับหัวหน้าที่รับฟัง มีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เปิดโอกาสให้ลูกน้องแสดงความคิดเห็นและความสามารถ มีการสั่งงานที่ชัดเจน ไม่เอาเปรียบลูกน้อง โดยเฉพาะเรื่องเวลาการทำงาน เคารพเวลาส่วนตัว และไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของลูกน้องมากเกินไป เพราะลูกน้องในรุ่นนี้ให้ความสำคัญกับสิทธิส่วนบุคคลและอิสระในการทำงาน

ขณะที่ลูกน้องที่มีความอาวุโสจะให้ความสำคัญกับ ความยุติธรรม ชอบผู้นำที่เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ และรู้จักให้เกียรติลูกน้องหลายต่อหลายองค์กรเสียพนักงานที่มีความจงรักภักดีต่อองค์กรไปจากการเพิกเฉยปัญหาที่ผู้บริหารมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พนักงานคนเดิมลาออก ก็สรรหาพนักงานใหม่มาแทนที่ของเดิมก็สิ้นเรื่อง ถูกไหม ?

คำตอบก็คือใช่ ถ้าคุณไม่เสียดายงบประมาณที่ต้องลงทุนกับคนใหม่ตั้งแต่ต้น รวมถึงเรื่องของขวัญและกำลังใจของพนักงานที่เหลืออยู่ซึ่งไม่อาจสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยคำพูดของผู้บริหารเพียงไม่กี่คำ อย่าให้กลายเป็นเรื่องของน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะพนักงานคือทรัพยากรที่สำคัญขององค์กรที่สำคัญ แล้วองค์กรคุณล่ะ ดูแลรักษาและพัฒนาพวกเขาได้ดีแค่ไหน ? บริษัทของคุณมีการเข้าและออกของพนักงานใหม่ๆ บ่อยแค่ไหน คุณมีพนักงานที่ทำงานมานานมากที่สุดกี่ปี มีคนพูดถึงองค์กรของคุณในทางใดบ้าง คำถามเหล่านี้ คือสิ่งที่มีแต่ผู้ประกอบการและ HR จะตอบได้ดีที่สุด

ถ้าคุณเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นและเริ่มลุกลามหรือบานปลาย อย่าเลือกตัดสินแผนกใดแผนกหนึ่งเพียง เพราะแผนกนั้นๆ สร้างผลประโยชน์ให้แก่องค์กรมากที่สุด แต่จงปฏิบัติต่อพวกเค้าอย่างเท่าเทียมกันไม่เช่นนั้นความภักดีของพนักงานที่มีจะหายไปในทันที

ความสุขในการทำงานทั้งกายและใจ

ความสุขในการทำงานทั้งกายและใจ

ความสุขในการทำงานจึงจำเป็นต่อชีวิตการทำงานที่เป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของผู้ที่ทำงาน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น มีความสุขไปกับงาน เพื่อนร่วมงานและองค์กร การสร้างความสุขในการทำงาน ไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือเป็นหน้าที่ขององค์กรเพียงเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของคนทำงานทุกคนในองค์กร

สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการที่มนุษย์จะอยู่กับคนอื่นได้ต้องมีน้ำใจคิดถึงคนอื่น เอื้ออาทรต่อกัน เพราะคนเราอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ไม่ได้ ต้องรู้จักแบ่งปันอย่างเหมาะสม การคิดดี ทำดี ต่อองค์กร ต่อหัวหน้างาน ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อคนรอบข้างและต่องาน เพียงเท่านี้คุณย่อมมีความสุข สุจทั้งกายแล้วก็ใจด้วยค่ะ

สรุป

สรุป

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะมนุษย์เงินเดือนหรือเจ้านายก็ตาม จากหลากหลายวิธีที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น การสร้างความสุขในการทำงานสามารถทำได้ไม่ยาก โดยเริ่มจากตัวเราเองก่อน ด้วยการปรับเปลี่ยนความคิดและทัศนคติในการทำงาน มองโลกในแง่บวก อย่างไรก็ตาม หัวหน้างานและผู้บริหารก็มีส่วนอย่างมากในการการสร้างความสุขในการทำงานได้โดยการไม่ถือตัว ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้ความเป็นธรรมแก่พนักงานทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ชี้แนะแนวทางในการทำงานให้แก่พนักงานอย่างเหมาะสม และสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในที่ทำงาน เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ดี ผ่อนคลาย ไม่เครียด พนักงานจะได้มีความสุขในการทำงานมากขึ้น มีความกระตือรือร้นในการมาทำงาน พนักงานก็จะแข็งแรงและเป็นสุข และมีประสิทธิผลในระยะยาวต่อไป