กองทุนพักเงินยอดฮิต ที่เรียกว่า กองทุนรวมตราสารหนี้ ระยะสั้น (Short-Term Fixed-Income Fund) ก็คือ กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก โดยตราสารหนี้แบบนี้ จะแสดงความเป็นเจ้าหนี้ให้แก่ผู้ถือตราสาร เช่น ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล เราจะเรียกว่า พันธบัตรรัฐบาล ส่วนตราสารหนี้ที่ออกโดยเอกชน เราจะเรียกว่า หุ้นกู้ หรือพวกตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน เป็นต้น

แล้วทำไมเครื่องมือการเงินชนิดนี้ถึงเป็นที่สนใจ และสามารถทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้จริง คำตอบก็คือ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพักเงินหรือต้องการความเสี่ยงปานกลางค่อนไปทางต่ำ และมีระยะเวลาการลงทุนประมาณ 1-2 ปีขึ้นไป ไม่นานเกินรอ ทั้งยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนลงได้ และยังสามารถใช้เป็นสภาพคล่อง ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เงินสดเพื่อปรับพอร์ต บทความนี้จึงอยากนำเสนอ 5 ข้อที่นักลงทุนควรรู้ ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้สักตัว เพื่อทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้น มาดูกันเลย

เปรียบเทียบ กองทุนรวมตราสารหนี้ ระยะสั้นกับระยะยาว

เปรียบเทียบ กองทุนรวมตราสารหนี้ ระยะสั้นกับระยะยาว

เราควรเน้นเปรียบเทียบผลตอบแทนระยะสั้นมากกว่าระยะยาวเพราะอะไร? หลายคนอาจเคยได้ยินมาว่า ในการเลือกกองทุนนั้น เราควรให้น้ำหนักกับผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าผลตอบแทนที่เพิ่งเกิดในระยะสั้น แต่นี้เหมาะแค่กองทุนหุ้น หรือกองทุนประเภทอื่นๆไม่มาก เพราะจริงๆแล้ว กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกใหม่หลายกอง มีนโยบายการลงทุนที่ยืดหยุ่นขึ้น ทำให้หาผลตอบแทนได้ดีขึ้น  ดังนั้น การคัดเลือกกองทุนจากผลตอบแทนระยะสั้น จึงโดดเด่นกว่ากองอื่นๆ เป็นเหมือนกับ ‘ทางลัด’ ในการแยกแยะได้ว่ากองไหนปรับตัวได้ดีกว่าในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมา แถมยังค่อยๆ สะสมเข้ามาในรูปของ NAV ที่เพิ่มขึ้น

ซึ่งเมื่อเราเลือกลงทุนในกองที่ผลตอบแทนระยะสั้น ๆ กำลังดี ก็ทำให้มั่นใจได้เลยว่า เราจะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นทันที และถ้าลงทุนไปแล้วฝีมือตกนิดหน่อย กองทุนประเภทนี้ก็ยังไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขาย ทำให้สามารถเปลี่ยนกองไปลงทุนกองอื่นได้โดยแทบไม่มีต้นทุนและไม่ลำบากอะไรด้วย ทำให้นักลงทุนหลายท่าน รวมทั้งนักลงทุนรายใหญ่บางราย นิยมโยกเงินไปมาระหว่างกองทุนในกลุ่มนี้ซึ่งทำผลตอบแทนระยะสั้นได้ดีมากๆ

ข้อควรรู้ เมื่อต้อง ลงทุนใน กองทุนรวมตราสารหนี้ ระยะสั้น

ข้อควรรู้ เมื่อต้อง ลงทุนใน กองทุนรวมตราสารหนี้ ระยะสั้น

จะลงทุนอะไรก็ตามมีข้อควรรู้ก่อน ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนของเราเติบโดตหรือย่ำแย่ สำหรับ กองทุนรวมตราสารหนี้ ระยะสั้น มีข้อควรรู้ ดังนี้

การจัดการกับ Benchmark

Benchmark เป็นดัชนีเปรียบเทียบเพื่อวัดผลการดำเนินงานของกองทุนตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ. หากเราสนใจใช้ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลเป็นเครื่องมือในการสะท้อนภาวะของอัตราดอกเบี้ยในตลาด เช่น หากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลง ราคาของตราสารหนี้จะปรับตัวสูงขึ้นไหม หรือส่งผลให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นไปอีก แต่ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของตราสารหนี้ก็จะปรับตัวลดลง ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงตามไปด้วย

ดังนั้น สำหรับกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นแล้ว Benchmark จะแน่นอน คือ ต้องตั้งขึ้นตามนโยบายการลงทุนที่เสนอต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ตอนที่มีการจัดตั้งกอง และนโยบายก็จะ เป็นนโยบายแบบกว้างๆ  ยืดหยุ่นได้ดี  เพื่อที่ผู้จัดการกองทุน ก็สามารถจัดพอร์ตกองทุนได้ในแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับสถานการณ์  ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่เปรียบเทียบและทำการคัดเลือกกองทุนประเภทนี้มาอย่างช่ำชอง ก็มักจะไม่ได้ความสนใจกรณีที่กองทุนกลุ่มนี้แพ้ Benchmark เท่าใดนัก ตราบใดที่ผลการดำเนินงานยังดีกว่า Peers ในกลุ่มเดียวกันอยู่

การเปลี่ยนแปลงราคาตราสารหนี้

นักลงทุนหลายอาจคงเคยสงสัยว่า ถ้าลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ จะมีโอกาสขาดทุนมั้ย คำตอบเรื่องผลตอบแทนราคาตราสารหนี้ คือ สิ่งที่นักลงทุนจะได้จากการลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาล คือ ดอกเบี้ยรับตามที่กำหนดไว้ (Coupon) และกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขาย (Capital Gain) หากขายได้ที่ราคาสูงกว่าราคาซื้อก็ดี แต่ถ้าขายได้ต่ำกว่าราคาซื้อก็จะขาดทุนได้ แต่สำหรับกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น จะมีนโยบายการลงทุนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ ที่มีอายุเฉลี่ยในการถือครอง (Portfolio Duration) ในตอนนั้น ไม่เกิน 1 ปี จึงทำให้กับกองทุนรวมแบบนี้ดีต่อเราจริงๆ เพราะเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงที่ต่ำและอยู่ในรูปแบบการลงทุนระยะสั้น

เมื่อกองทุนที่เข้าไปลงทุนนั้น มีการซื้อขายอยู่ตลอด ในการซื้อขายนั้นก็อาจทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว  ผู้จัดการกองทุนที่เราเข้าไปลงทุนเขาจะคิดไว้แล้วว่า ราคาบวกได้เมื่อไหร่ แต่ยังไงซะต่อให้ลบยังไง กองทุนกลุ่มนี้ก็ยังจัดเป็นกองทุนที่เสี่ยงต่ำอยู่ ส่วนใหญ่ถ้าลบ ถือต่ออีกไม่กี่สัปดาห์ก็มักจะบวกกลับมาเกินกว่าจุดที่ลบลงไปได้ ดังนั้น หากเราเลือกกองทุนประเภทนี้ ก็ไม่ต้องตกใจจนเกินไป เพราะไม่มีผลตอบแทนไหนได้มาฟรีๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงบางอย่าง แต่เราไม่ควรล้มเลิกความตั้งใจ เพราะถ้าทำความเข้าใจให้ถูกต้อง บางที มันก็จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่สมน้ำสมเนื้อกับเราได้จริงทันตาเห็น

มีตัวเลือกลงทุนตราสารภาครัฐด้วย

เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะกับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก และไม่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงหรือหวือหวา “กองทุนรวมตลาดเงินที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ” หรือ “Treasury Money Market Fund” ก็อาจจะตอบโจทย์มากขึ้น เพราะสำหรับประเทศใดๆ รัฐบาลของประเทศนั้นๆ ถือเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุด แล้วหากรัฐบาลได้มาเป็น “ลูกหนี้” เราล่ะ  ทั้งๆที่เขามีอำนาจในการเรียกเก็บภาษี และออกกฎหมายหรือนโยบายหลายอย่าง ดังนั้น ก็จะสามารถเนรมิตเงินมาจ่ายคืนหนี้เราได้ด้วยแน่ๆ ซึ่งหากเราลงทุนในตราสารที่รัฐบาลเป็นลูกหนี้ ก็พูดได้ว่า มีความปลอดภัยสูงสุดแล้ว

กองทุนแบบนี้จึงมีโครงสร้างที่เน้นลงทุนเฉพาะในตั๋วเงินคลังของรัฐบาล ซึ่งก็เสมือนการให้รัฐบาลยืมเป็นระยะเวลาสั้นๆ แลกกับดอกเบี้ย แต่เราก็สามารถปรับส่วนเล็กๆ ในพอร์ต นำเงินไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์อยู่บ้างได้ เพื่อใช้เป็นสภาพคล่องรองรับการสั่งขายกองทุนของนักลงทุนในแต่ละวัน ซึ่งก็อยากเน้นเช่นว่า เมื่อเลือกจะไม่รับความเสี่ยงบางอย่าง ก็อาจต้องทำใจด้วยว่าผลตอบแทนมันก็จะต่ำลงตามไปด้วย แต่การได้น้อยก็ไม่ได้แปลว่าแย่เสมอไป เพราะประโยชน์ทางความสบายใจก็มีอยู่

ทิศทางของอัตราดอกเบี้ย

สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating เป็นการประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ โดย “สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในประเทศไทยมี 2 แห่งคือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด  โดยระดับของ Credit Rating จะเป็นสิ่งที่บอกว่าตราสารหนี้นั้นๆ มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้มากน้อยเพียงใด โดยที่ตราสารหนี้ที่อันดับเครดิตยิ่งสูง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ก็ยิ่งต่ำ แต่ถ้าเรามองว่าดอกเบี้ยจะขึ้นเร็วๆ นี้ การเลือกลงทุนในดูเรชั่นสั้นก็จะได้เปรียบ

หากเรารู้จักการประเมินหรือคาดการณ์ทิศทาง จังหวะของการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ก็บริหารกองทุนกลุ่มนี้ได้ไม่ยากเย็น  เพราะหากเข้าใจเรื่องนี้ ก็สามารถเลี่ยงความเสียหายนั้นได้ โดยการสับเปลี่ยนจากกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มี Duration ยาวกว่า มาเป็นกองทุนรวมตลาดเงินซึ่งมี Duration สั้นกว่า ก็มีโอกาสเลี่ยงความเสียหายได้  และเมื่อทิศทางดอกเบี้ยขาลง คนที่มองว่าทำไปก็ได้ผลตอบแทนเพิ่มมานิดเดียว จะไม่ทำอะไรก็ได้ จึงใช้กองประเภทนี้ในการเก็บเงินสำรอง ช่วงที่กำไร Drop ลงก็แช่เงินสำรองอยู่ในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นไปเลย แทนที่จะสลับไปสลับมา เพราะถือยาวๆ ก็ยังมีสิทธิ์ได้ผลตอบแทนมากกว่ากองทุนรวมตลาดเงินแบบเดิมอยู่ เหมือนเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปร่วมสนุกในทุกความเสี่ยงนั่นเอง

หากสามารถเลือกลงทุนได้ตรงตามเงื่อนไขและความต้องการของเราแล้ว ไม่ว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นหรือระยะยาวก็เร้าใจได้ไม่แพ้กัน แต่ก็มีจุดเด่นที่แตกต่าง สำหรับกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น  เรื่องนึงก็คือ ในช่วงที่ดอกเบี้ยมีทิศทางขาขึ้น ทำให้ราคาตราสารหนี้อาจจะปรับตัวลง แต่สำหรับนักลงทุนที่ถือตราสารหนี้ระยะสั้น ก็จะขาดทุนน้อยกว่านักลงทุนที่ถือตราสารหนี้ระยะยาวอยู่แล้ว  หรือในเรื่องของสภาพคล่อง เนื่องจากเป็นกองทุนหนี้ระยะสั้น ด้วยเวลาไม่นานหลายปี เราก็สามารถรับเงินคืนได้แล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจึงมีสภาพคล่องสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเป็นธรรมดา และถึงแม้ ตราสารหนี้ระยะยาวอาจนำไปขายในตลาดรองได้ แต่ก็เสี่ยงในการถูกกดราคา เนื่องจากสภาพคล่องที่ไม่สูงนักโดยเฉพาะภาคเอกชน  จึงทำให้เราได้ข้อสรุปว่า กลยุทธ์ในการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ นั้นก็จะค่อนข้างเหมาะสมกับช่วงนี้ ที่มีอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น

อ่านเพิ่มเติม วิธีเลือกกองทุนรวม อย่างมืออาชีพ ที่นี่

จุดเด่นอีกอย่างก็คือ แล้วเมื่อครบกำหนดอายุ เราก็สามารถทำการลงทุนใหม่ไปเรื่อยๆ ได้อีก ทั้งมีมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำตามอายุของการลงทุนแล้ว  หากจะ Roll Over ก็ทําให้ไม่เสียโอกาสในการรับดอกเบี้ยระดับใหม่อีกด้วย หากดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามเรื่อย ๆ และเรื่องหลักๆอื่นอีกที่เราควรเตรียมตัวและรู้จักก็เหมือนที่ให้รายละเอียดไป  คือ เปรียบเทียบผลตอบแทนต่างๆ ที่ดี , การับมือกับ Benchmark และการเปลี่ยนแปลงราคาตราสารหนี้ รวมถึงการเลือกอย่างฉลาดในการลงทุนภาครัฐเพิ่มเติม ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง ทำให้หลายคนเลือกการลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมาเป็นตัวช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น  นักลงทุนรายย่อยก็เข้าถึง แถมยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกด้วย และเป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับผู้ที่พลาดโอกาสในการซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ที่ต้องแย่งกันจองซื้อในช่วงที่ออกเสนอขาย สุดท้ายนี้ แม้ว่าจะมาลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ ก็ต้องไม่ลืมที่จะศึกษาถึงข้อมูลของกองทุนรวมที่เราสนใจจะลงทุน ด้วยการอ่านและทำความเข้าใจหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ เพราะการลงทุนทุกรูปแบบไม่ว่าสั้นหรือยาวก็มีความเสี่ยงอยู่แล้ว หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามผู้เชี่ยวชาญทางการเงินจาก MoneyDuck ได้ฟรีที่ลิงค์ด้านล่าง