เหตุการณ์ที่คุณก็คงรู้ดีว่าตอนนี่สถานการณ์การเมืองที่ฮ่องกงนั้นเข้าขั้นวิกฤติส่งผลเสียต่อหลายๆด้าน ทำให้นักลงทุนเริ่มเปลี่ยนแผนและโยกย้ายมาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งทางรัฐชาลไทยเองก็เตรียมความพร้อมเรื่องนี้ไว้บ้าง ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายดึงการลงทุนบริษัทต่างประเทศที่มีแผนย้ายมาอาเซียนด้วยการออกแพ็คเก็จไทยแลนด์ พลัส ซึ่งให้สิทธิเท่าการลงทุนใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมทั้งมีแผนโรดโชว์ชักจูงการลงทุนร่วมกันหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ)
แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าวิกฤติของฮ่องกงนั้นจะจบอย่างไรซึ่งเรื่องราวก็เริ่มต้นจากปัญหาเล็กๆนี้ คือคดีฆาตกรรมที่ว่านี้ เกิดจากคู่รักชาวฮ่องกงไปเที่ยวไต้หวัน แล้วผู้ชายก่อเหตุฆาตกรรมแฟนสาว ก่อนหลบหนีกลับฮ่องกง แต่ทว่ากฎหมายฮ่องกงไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ไต้หวัน ในขณะที่ฮ่องกงไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน จึงเป็นที่มาของร่างกฎหมายดังกล่าว ร่างกฎหมายฉบับนี้สร้างความกังวลใจกับคนฮ่องกงบางกลุ่ม ซึ่งเกรงว่าจะเป็นการ เปิดช่อง ให้ส่งผู้ร้ายในคดีการเมืองของจีนที่ลี้ภัยมาฮ่องกง และยังกลัวว่าอิทธิพลของจีนจะแทรกซึมเข้ามาควบคุมในฮ่องกงมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนนี้ ความจริงแล้วเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ด้วยความที่ปัญหาระหว่างฮ่องกงกับจีนสะสมมานาน และคนฮ่องกงมีปมในใจอยู่แล้ว ว่ารัฐบาลจีนพยายามลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการเมือง ร่างกฎหมายดังกล่าวจึงกลายเป็น ชนวนเหตุ ที่จุดติดม็อบฮ่องกงขึ้นมาและกินระยะเวลายาวนานมาจนตอนนี้ก็ยังไม่มีท่าว่าจะสงบลงเลยน่าเป็นห่วงอย่างมาก ซึ่งบทความนี้เราจะมาดูเรื่องเหล่านี้ซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร เป็นผลดีหรือผลเสียอย่าง? คือ การประท้วงในฮ่องกงทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ / ไทยเตรียมแผนต้นรับนักลงทุน / มาตรการไอโอบี / ประเทศไทยยังต้องทำงานหนักเมื่อนักลงทุนทยอยเข้ามาอย่างไรบ้าง? มาดูกัน
การประท้วงในฮ่องกงทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่
เหตุการณ์ตอนนี้ในฮ่องกงนั้นบานปลายไปในหลายทางนอกจากเรื่องของคดีฆาตรกรรมนั้นแล้ว ผู้ประท้วงในฮ่องกงพยายามชูประเด็นเรื่อง สิทธิพลเรือนขั้นพื้นฐาน พร้อมกับเรียกร้องให้ สภาคองเกรสของ สหรัฐ ผ่านร่างกฎหมายว่าด้วย การปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ซึ่งไม่ต่างจากการเขี่ยบอลให้คนอื่นยิงประตูตัวเอง และก็เป็นไปตามคาด เพราะปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐ ลงมติรับรองร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกง (Hong Kong Human Rights and Democracy Act) เพื่อแสดงการสนับสนุนผู้ประท้วงในฮ่องกง กฎหมายดังกล่าวที่สหรัฐ ออกมาเป็นการมอบอำนาจแก่รัฐบาลสหรัฐ ในการออกมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ฮ่องกงและรัฐบาลจีนที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของฮ่องกง รวมถึงการอายัดทรัพย์สินของบุคคลเหล่านั้นในสหรัฐ หรือปฏิเสธการออกวีซ่าให้กับบุคคลที่ต้องการเดินทางไปสหรัฐ
นอกจากนี้ สภาล่างของสหรัฐ ยังผ่านร่างกฎหมาย Protect Hong Kong Act ซึ่งเป็นอีกมาตรการที่จะปกป้องฮ่องกง โดยมีข้อบัญญัติห้ามการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในกองทัพ รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมฝูงชนให้กับรัฐบาลฮ่องกง แน่นอนว่า ร่างกฎหมายเหล่านี้ ย่อมสร้างความไม่พอใจกับรัฐบาลจีน โดยทันทีที่สภาผู้แทนสหรัฐผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว รัฐบาลจีนออกมาตอบโต้แบบทันควัน โดยระบุว่าถ้าร่างกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย จีนก็จะออกมาตรการตอบโต้ที่ทัดเทียมกัน เพื่อปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ของจีน ไม่มีใครรู้ว่าพัฒนาการของเรื่องนี้จะไปทางใด แต่การผ่านร่างกฎหมายเหล่านี้ของสภาสหรัฐ ไม่ต่างจากการพัดไฟร้าวฉานระหว่าง สหรัฐ และ จีน ที่ดูเหมือนจะเบาลงจากสงครามการค้าให้กลับมา “ลุกโชน” ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งงานนี้จีนประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้ใครมาแยกฮ่องกงออกจากจีน โดย ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ถึงกับเอ่ยปากเองว่า ใครก็ตามที่พยายามจะแยกจีนออกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศ จะต้องพบจุดจบด้วยการกลายเป็นซากศพที่แหลกเหลวและกระดูกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ...น้อยครั้งที่ สีจิ้นผิง จะพูดในลักษณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า คราวนี้จีนเอาจริงและคงไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงง่ายๆ ดังนั้นหากสหรัฐยังกระตุกหนวดมังกรแรงๆ แบบนี้ คงไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิกฤติในฮ่องกงส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมากค่ะ
ไทยเตรียมแผนต้นรับนักลงทุน
ความขัดแย้งในฮ่อกงที่ยาวนานกว่า 4 เดือน ทำให้มีนักธุรกิจในฮ่องกงหลายรายมองการย้ายฐานธุรกิจไปประเทศอื่น โดยไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมาย และล่าสุดสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง (ทูตพาณิชย์ฮ่องกง) ได้ประสานงานมาขอให้ไปหารือกับกลุ่มนักธุรกิจฮ่องกงเรื่องการย้ายฐาน ความรุนแรงในฮ่องกงเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้นักธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในจีนและฮ่องกงตัดสินใจมาลงทุนในไทยเร็วขึ้น ซึ่งนักธุรกิจกลุ่มนี้ต้องการย้ายมาอาเซียน คือ ไทยและเวียดนาม หากเป็นนักลงทุนสัญชาติจีนและฮ่องกง ส่วนใหญ่จะเลือกมาลงทุนไทยเพราะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า และไม่มีปัญหาด้านการเมืองหรือประวัติศาสตร์กับจีน ขณะที่นักลงทุนชาติอื่นในจีนและฮ่องกงอาจเลือกเวียดนามมากกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงเพราะต้นทุนแรงงานไทยสู้ไม่ได้ รวมทั้งไทยมีมาตรการดึงดูดลงทุนที่เน้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง
ดังนั้น ไทยจึงเตรียมรับมืออย่างนี้บีโอไอได้เตรียมแผนโรดโชว์บุกดึงการลงทุนจากจีนและฮ่องกงอีกกว่า 10 ครั้งในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ ทั้งระดับที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรีและระดับสำนักงาน ซึ่งจะชูจุดขายที่ไทยที่อยู่ศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่ม CLMVT ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตสูง ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคมขนส่ง และพื้นที่รองรับการลงทุน โดยเฉพาะอีอีซีและการมีฐานอุตสาหกรรมสนับสนุนที่สมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งอยู่ในจุดที่เชื่อมโยงนโยบาย Belt and Road (BRI) ของจีน รวมทั้งเชื่อมโยงพื้นที่ที่เศรษฐกิจเติบโตสูง Greater Bay Area (GBA) ซึ่งครอบคลุมมณฑลกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ขณะที่อุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่ได้รับผลจากสงครามการค้าโดยตรง เช่น กิจการดิจิทัลและเทคโนโลยีชีวภาพ เริ่มมาลงทุนในไทยมากขึ้น เพราะเห็นโอกาสการลงทุนในไทย เช่น ศักยภาพของไทย และนโยบาย Belt and Road รวมทั้งต้นทุนการผลิตในจีนที่เพิ่มสูงขึ้น มั่นใจแพ็คเก็จไทยแลนด์พลัส
มาตรการไอโอบี
ประเทศไทยต้นนี้มีความมั่นใจมาตรการบีโอไอหนุนการลงทุน ไทยมีจุดเด่นเรื่องกฎหมายที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย นโยบายการลงทุนมีความต่อเนื่อง และคนไทยคุยง่ายกว่า รวมทั้งล่าสุดบีโอไอปรับสิทธิประโยชน์ภายใต้ไทยแลนด์พลัส เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนจีนสนใจมากขึ้น ส่วนเวียดนามมีจุดเด่นเรื่องค่าจ้างแรงงานและต้นทุนการผลิต ซึ่งการที่อมตะมีนิคมอุตสาหกรรมทั้งไทยและเวียดนาม พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทยและเวียดนามพอๆกัน นายวิบูลย์ กล่าวว่า ปี 2562 มีนักลงทุนจากฮ่องกง 20-30 รายจากอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์ มาเจรจาลงทุนในนิคมอุตสาหการรมอมตะในอีอีซี จากเดิมที่แทบจะไม่มีนักลงทุนจากฮ่องกงเลย นอกจากนี้ นักลงทุนจีนมาลงทุนในอมตะสูงมาก โดยปี 2561 มีสัดส่วนสูงถึง 80% ของนักลงทุนทั้งหมด และในรอบ 9 เดือน ของปีนี้ มีสัดส่วนถึง 70% ในขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมั่นใจว่านักลงทุนจีนยังคงเข้ามาจำนวนมากต่อเนื่อง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ไทยเตรียมตัวรับมือกับนักลงทุนที่จะเข้ามาค่ะ
ประเทศไทยยังต้องทำงานหนักเมื่อนักลงทุนทยอยเข้ามา
ถึงแม้เศรษฐกิจของทั่วโลกจะแย่ลงแต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีดีเรื่องหนึ่งของประเทไทยเราที่ยังคงเป็นทางเอก้เหล่านักลงทุนชาวต่างชาติโยกย้ายมาลงในประเทสไทยที่สถานการณ์ทางการมืองตอนนี้ยังคงถือว่าสงบอยู่ถึงแม้จะยังคงมความเสี่ยง โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศฮ่องกงที่หนีมาอย่างหัวซุกหัวซุนเพราะเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยจนไม่สามารถจะทำมาค้าขายอะไรได้เลยก็ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องค่ะ ดังนั้นในฐานะคนไทยเราก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนกับเราค่ะ
น้ำฝน
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีก็น่ายินดีอยู่นะคะ เนื่องจากเกิดเหตุความไม่สงบที่ฮ่องกง ทำให้นักลงทุนแห่กันมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศไทย บทความนี้ทำให้เห็นว่าทางประเทศไทยก็จำเป็นต้องมีการเตรียมตัว เพื่อที่จะเชิญชวนนักธุรกิจที่มาประเทศไทยให้ทำการลงทุนในประเทศไทย วิธีช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
นิรัช
ใครจะไปคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ที่ฮ่องกงวุ่นวายน่าดู อย่างนี้ที่ผ่านมาบ้านเรารับมือได้ดีแค่ไหนกับการที่นักลงทุนจากฮ่องกงหนีมาอยู่ที่บ้านเราครับ แต่เขามาแบบที่เหมือนกับสถานการณ์บังคับแล้วเขาจะมาลงทุนแบบจริงจังมั่นคงที่บ้านเราเหรอครับ ดูเหมือนจะมีข้อดีอยู่บ้างแล้วในส่วนของข้อเสียล่ะครับมีบ้างมั้ย ต้องรับมือยังไง
จิรติกาล
มันเป็นบทความที่ย้อนแย้งหรือเปล่า เรื่องนี้ถ้าย้อนไปสักห้าปีเราว่ามันน่าจะใช้นะที่ นักลงทุนไม่ใช่แค่ฮ่องกงเท่านั้น เมื่อก่อนประเทศไทยเป็นที่จับตามองของเหล่านักลงทุนเลยทีเดียว แต่ ถ้าเราติดตามข่าวสารตอนนี้ นักลงทุนมองประเทศไทยในทางกลับกันแล้ว เขามองว่าไทยไม่น่าเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนแล้ว แล้วเราเห็นหลายเจ้าแล้วที่ย้ายฐานการผลิตออกจากไทย
NCT
ก็น่าจะเป็นข่าวเก่าเรื่องเก่านะ ในตอนนี้ที่ฮ่องกงเขามีประท้วงกันจนเศรษฐกิจพังยับเยินตอนนั้น แต่ตอนนี้โควิดมาอะไรๆก็หายหมด เศรษฐกิจพังยับเยินทุกหย่อมหญ้าครับ เหลือแต่หย่อมหญ้าหน้าบ้านผมที่ยังสวยงามดีอยู่เพราะอยู่บ้านดูแลทุกวันตามประสานคน Work From Home ขอนอกเรื่องนิดนึงให้คลายเครียดครับ กลับมาที่เรื่องเดิมตอนนี้นอกจากจะไม่มีใครมาลงทุนในไทย แล้วยังย้ายหนี้ด้วยซ้ำนะเท่าที่อ่านข่าวมา
ทิพย์
ที่จริงที่สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ในทุกวันนี้ที่มาจากเรื่องการเมืองหรือว่าการประท้วงก็ไม่ได้มีแค่ที่ในฮ่องกงนะคะ ในสหรัฐ ในประเทศจีน หรือแม้กระทั่งในญี่ปุ่น ขนาดในประเทศไทยเราการประท้วงนิดๆหน่อยๆก็ยังส่งผลกับสภาพเศรษฐกิจเลย นับประสาอะไรกับประเทศใหญ่ๆที่คนแทบครึ่งประเทศชอบประท้วงกัน แล้วมันไม่ได้ส่งผลกับสภาพเศรษฐกิจในประเทศตัวเองนะคะ บางครั้งมันส่งผลกับประเทศรอบนอกด้วย
Jitthima.
เราว่าเป็นอะไรที่ดีเหมือนกันนะ ประเทศเราจะมีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามา จะได้มีธุรกิจอะไรใหม่ๆกะเค้าบ้าง ถ้ามีฐานการผลิตในประเทศไทย ก็จะมีการจ้างงานมากขึ้นในประเทศของเรา คนก็จะไม่ตกงานแล้วเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นนะเราว่า แต่บางคนก็อาจจะมองว่า ถ้าให้ต่างชาติมาลงทุนในประเทศ เดี๋ยวในที่สุดก็จะแย่งงานคนในประเทศกันหมดแต่เรากลับมองว่า ถ้าคุณมีศักยภาพพอยังไงก็ไม่ตกงานแน่นอน
ดีเจ🤯
เรื่องที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในบ้านเรา ตอนนี้หลายเจ้าเปลี่ยนใจกันหมดแล้วครับ เป็นเพราะว่า บ้านเรายังคงมีปัญหาเรื่องการเมืองอยู่ นักลงทุนเลยไม่กล้าเสี่ยงที่จะเข้ามาลงทุนเท่าไรครับ แถมไม่ใช่แค่ไม่กล้ามาลงทุนเท่านั้นนะครับ คนที่ลงทุนในบ้านเราบางเจ้าก็ย้ายฐานการผลิตออกจากบ้านเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ
บัน
วิกฤตทางการเมืองเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นต้องคิดถึง เราคิดถึงเกี่ยวกับตอนที่มีสงครามกลางเมืองที่ประเทศไทย ตอนนั้นนักลงทุนในประเทศไทยก็ยังต้องหนีไปลงทุนที่ต่างประเทศ และเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นที่ฮ่องกง ก็คงต้องไปหาประเทศอื่นๆเพื่อลงทำการลงทุนต่อไป ตอนนี้ประเทศไทยก็เข้าข่ายมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเมืองอีกแล้ว