หากจะเอ่ยถึงเรื่องของ “การวางแผนการเกษียณ” สำหรับบางคนอาจจะให้ความสำคัญ และเริ่มลงมือทำอย่างต่อเนื่องกันมาช่วงเวลาหนึ่งกันแล้ว ในส่วนที่บางคนอาจเพิ่งเริ่มต้น หรือเริ่มกันมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในขณะที่หลายๆคนอาจมองเป็นเรื่องไกลตัว จึงมองข้ามไปและยังไม่ได้คิดที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลย

ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนนั้น ล้วนก็มีเหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามาให้เป็นข้อท้าทายกันในแต่ละวัน ปัญหาต่างๆที่ถาโถมเข้ามาและคอยสร้างแรงกดดันในชีวิตไม่เว้นแต่ละวันนั้น ทำให้บางคนมุ่งที่จะให้ความสำคัญแต่การแก้ไขสถานการณ์ในปัจจุบันมากเสียจนเกินไป จนหลงลืมที่จะคิดถึงสถานการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นกับตัวเองในอนาคตค่ะ และด้วยการที่แต่ละคนจะยกให้เรื่องไหนเป็นเรื่องสำคัญของตัวเองนั้น ก็ล้วนเกิดขึ้นจากความคิด และทัศนคติภายในของแต่ละบุคคลนั่นเองค่ะ ว่าจะให้เรื่องใดเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตเรา นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้คนเรามีการวางแผนการเกษียณของตัวเองที่แตกต่างกันออกไปค่ะ

ในปัจจุบันมีถึง 54% ที่ยังต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นหลังเกษียณอายุกันอยู่ นับว่าเป็นจำนวนตัวเลขที่สูงกันเลยทีเดียวนะคะ สำหรับชีวิตเกษียณของคนเราที่ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ในวันนี้เรามีบทความดีๆมาให้เพื่อนๆได้ติดตามกันค่ะว่า มีอะไรบ้างที่เป็นทัศนคติที่เป็นพิษต่อแผนเกษียณของคนเรา ที่พาให้คนเรานั้นครั้นถึงเวลาเกษียณจริงๆแล้วจำต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่

ไม่สำคัญนะ

ไม่สำคัญนะ

การจัดลำดับความสำคัญและให้ความสำคัญแต่กับสิ่งปัจจุบัน สิ่งที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่เคยคิดโฟกัสไปที่เรื่องอนาคตไว้บ้างเลยนั้น เป็นด่านแรกที่คนเราส่วนใหญ่มักจะติดกับดักนี้ เป็นกับดักที่ถูกสร้างขึ้นจากความคิดของตัวเองที่สร้างพิษจนพาให้แผนการเกษียณเพื่ออนาคตของคุณพังลง เพราะความคิดที่เป็นพิษว่า วันนี้ต้องซื้อบ้านก่อน ซื้อรถก่อน ซื้อโน่นซื้อนี่ก่อน ซึ่งทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นเป้าหมายแค่ระยะสั้น พาให้คุณคิดและทำแต่เป้าหมายระยะสั้นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับในตอนนี้ก่อนเสมอ  มันจึงเป็นเป็นเหตุให้คนเราส่วนใหญ่หมดเงินที่จะไปเก็บให้กับสิ่งสำคัญยิ่งในอนาคตของตนเองค่ะ

ความเป็นจริงนั้น “การวางแผนทางการเงินเรื่องการเกษียณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และเป็นเป้าหมายแรกที่คุณควรเริ่มทำตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการทำงานและต้องทำอย่างต่อเนื่องจนถึงวันเกษียณ เพราะชีวิตเกษียณเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ และเป็นช่วงชีวิตที่มีแต่ค่าใช้จ่าย แต่กลับหารายรับได้ยากยิ่งไปตราบเท่าที่คุณหายใจอยู่“

ไม่เห็นต้องรีบร้อน

ไม่เห็นต้องรีบร้อน

คนเราส่วนใหญ่ในทุกๆวันนี้ มักมีความคิดในการออมเงินเพื่อวางแผนการเกษียณแบบไม่ถูกต้อง นั่นคือรอจนอายุ 45-50 ปีแล้วค่อยเริ่ม หรือคิดแต่เพียงว่าไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย ใกล้ๆแล้วค่อยเริ่มก็ยังทัน ซึ่งความคิดแบบนี้นั่นเองที่ทำให้เป็นพิษต่อการวางแผนเกษียณของตัวเอง เมื่อคุณเกิดความคิดที่มันเป็นพิษ การตัดสินใจที่จะลงมือทำจึงไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที ผลัดวันประกันพรุ่งในการออมเรื่อยไป จนท้ายสุดแล้วจึงเป็นเหตุให้ยามเกษียณจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น เพราะเนื่องจากระยะเวลาการออมของคุณนั้นสั้นมากจนเกินไป พาให้เงินที่ออมนั้นมีไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่หลังเกษียณอายุค่ะ

ความเป็นจริงนั้น “การออมอย่างสม่ำเสมอและมีวินัยควรเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย จะทำให้คุณมีเวลาในการออมที่มาก และยิ่งคุณให้ระยะเวลาในการออมได้มากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งใช้จำนวนเงินน้อยในการออม ทำให้ไม่เกิดความกดดันในการออมทั้งในวันนี้และในอนาคต”

ยังทำงานอีกนาน กลัวอะไร

ยังทำงานอีกนาน กลัวอะไร

ในอดีตคนที่ทำงานประจำไม่ว่าจะทั้งภาครัฐหรือเอกชนนั้น มักรู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน ซึ่งมักทำให้ไม่ค่อยกลัวเรื่องชีวิตหลังเกษียณกันสักเท่าไหร่ เพราะในสมัยนั้นมีการกำหนดการเกษียณอายุไว้ที่อายุ 60 ปี แต่ในปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป การเกษียณอายุของคนที่ทำงานในสมัยก่อนที่เคยกำหนดไว้ที่อายุ 60 ปีนั้นในปัจจุบันนั้นก็กลับกลายเป็นอยู่เพียงแค่อายุ 50-55 ปี

อีกทั้งเรื่องของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น จึงเป็นเหตุให้องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนนั้นลดจำนวนแรงงานลงและหันมาใช้เทคโลยีกันแทน เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายขององค์กร ชีวิตผู้คนในเรื่องความมั่นคงในการทำงานทุกวันนี้จึงต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ความไม่แน่นอนในงานที่ทำอยู่มีมากขึ้นกว่าคนในสมัยก่อน การมีความคิดที่เป็นพิษที่ว่า “ยังทำงานอีกนาน ไม่เห็นต้องกลัวอะไร” จึงเป็นความคิดที่เป็นพิษ ที่จะทำลายแผนเกษียณของคุณที่สวนทางกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียวค่ะ

ความเป็นจริงนั้น “ไม่มีองค์กรไหนรับประกันได้ว่าจะเลี้ยงคุณให้ทำงานอยู่จนถึง 60 ปี เพราะเด็กรุ่นใหม่นั้นทำงานได้หนักกว่า ดีกว่า พัฒนาศักยภาพได้ง่ายกว่า แถมเงินเงินเดือนยังถูกกว่าเกิดขึ้นในทุกๆวัน”

ค่าเล่าเรียนลูกสำคัญสุด เรื่องตัวเองค่อยมาคิด

ค่าเล่าเรียนลูกสำคัญสุด เรื่องตัวเองค่อยมาคิด

“ลูก” คือดวงใจสำหรับคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคน หลายๆคนเชื่อว่า “การศึกษา” เป็นการลงทุนที่พ่อแม่สามารถมอบให้ลูกแล้วจะติดกับตัวลูกไปได้ตลอดชีวิตของเขาใช่ไหมคะ พ่อแม่บางคนยอมทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาดีที่สุด มีชีวิตที่เติบโตอยู่ในโรงเรียนที่คิดว่ามีสังคมที่ดี ยอมทุ่มเทเงินทอง เงินเก็บที่มีทั้งหมดของตัวเองเพียงเพื่อจะยอมซื้อสังคมดีๆให้กับลูก ให้ลูกได้เติบโตและได้รับการศึกษาอยู่ในรั้วโรงเรียนดังๆที่มีชื่อเสียงถึงแม้จะหมดตัวก็ยอม ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกสำหรับหัวอกของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ค่ะ ที่จะยอมเสียสละทุกสิ่งได้เพื่อลูก แต่เชื่อไหมคะว่าการคิดที่จะให้ลูกได้รับการศึกษาดีๆ โดยที่ไม่ได้นึกถึงสภาพความเป็นจริงทางการเงินในปัจจุบันของคุณเองนั้น จัดได้ว่าเป็นความคิดที่เป็นพิษ ที่จะพาให้แผนเกษียณของคุณพังลงได้ในพริบตา เพราะคุณจะนำเงินเก็บที่มีค่อยๆทะยอยออกมาจนหมดเพื่อมาจ่ายค่าเล่าเรียนของลูกๆในแต่ละเทอมค่ะ

ความเป็นจริงนั้น ”การศึกษาของลูกเป็นสิ่งสำคัญที่คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นควรมอบให้แก่ลูกๆก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่าให้คิดถึงตัวคุณเองในอนาคตซึ่งก็ต้องแก่ตัวลงด้วยเช่นกัน “

ให้ลูกเลี้ยงสิ กลัวอะไร

ให้ลูกเลี้ยงสิ กลัวอะไร

นี่เป็นความคิดของคนในสมัยก่อน ที่หวังว่าลูกๆจะมาเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชราลง ซึ่งความเป็นจริงในยุคปัจจุบันด้วยสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ครอบครัวของคนในยุคนี้โดยส่วนมากจะเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว สภาพเศรษฐกิจที่บีบรัด และค่าครองชีพที่พุ่งสูงขี้นในทุกๆวันนี้ ทำให้ลักษณะการใช้ชีวิตแต่ละคนต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อเอาตัวรอด การใช้ชีวิตโดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ คนที่เป็นลูกเองก็มีภาระมากมาย ไหนต้องหาเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกตัวเอง หากคุณเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ยอมคิดวางแผนเกษียณตัวเองด้วยเหตุผลนี้ ก็เท่ากับว่าคุณมีความคิดที่เป็นพิษในตัวเองอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะก่อผลเสียที่เกิดขึ้นในอนาคตทั้งกับตัวคุณเอง และลูกๆของคุณ เพราะตัวคุณนั้นต้องตกภาระของลูกๆในอนาคตค่ะ

ความเป็นจริงนั้น “หากคุณเป็นพ่อเป็นแม่ที่รักลูกจริงๆ การวางแผนเกษียณของตัวเองนับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดจะช่วยทั้งตัวคุณเอง และลูกๆของคุณในวันข้างหน้า เพราะคุณสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ได้ไปสร้างภาระเพิ่มให้กับลูกๆของคุณนั่นเองค่ะ”

ลงทุนแล้วขาดทุนนะ

ลงทุนแล้วขาดทุนนะ

สิ่งที่คุณจะต้องเผชิญในการออมเงินเพื่อวันข้างหน้านั้นนั่นคือ “ภาวะเงินเฟ้อ” จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องหาแนวทางเอาชนะภาวะเงินเฟ้อนี้ควบคู่ไปกับการเก็บออมเพื่ออนาคต หลายๆคนมักกลัวกับการลงทุน เพราะกลัวการขาดทุน จึงเป็นเหตุให้เงินออมของคุณที่เก็บออมมานานก็ไม่มีความคืบหน้า หรืองอกเงยไปได้เท่าที่ควรจะเป็น แม้ว่าการลงทุนอาจจะมีบ้างที่ต้องเจอภาวะขาดทุน แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่คุณต้องกลัวจนไม่กล้าที่จะไปเลือกการลงทุนใดๆเลย เพราะฉะนั้นการที่เรากลัวการขาดทุนมากจนเกินไปนี้จึงเป็นความคิดที่เป็นพิษอีกอย่างหนึ่ง ที่ถึงแม้ว่าพิษจากข้อนี้อาจจะไม่ได้ทำให้แผนการเกษียณของคุณต้องพังลง แต่คุณจะมีไม่เพียงพอตลอดชีวิตหลังเกษียณ จนสุดท้ายแล้วคุณก็ไม่แคล้วที่จะต้องไปพึ่งพาคนอื่นอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ

ความเป็นจริงนั้น “อย่ากลัวที่จะลงทุนเพราะแค่กลัวการขาดทุน คุณควรทำการศึกษาด้านการลงทุนเอาไว้บ้าง และเลือกการลงทุนในแบบที่คุณยอมรับความเสี่ยงได้ เพราะการเก็บออมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งขึ้นได้ แต่การเลือกแหล่งลงทุนที่ดีต่างหากล่ะ ที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งในอนาคตได้ดีแบบที่คุณไม่ต้องอดออมอะไรให้มากมาย”

แก่แล้วไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเยอะหรอก

แก่แล้วไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเยอะหรอก

คนส่วนใหญ่มักมองขีวิตของคนในวัยเกษียณว่า “แก่แล้ว ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเยอะหรอก” กินก็น้อย วันๆก็ใช้ชีวิตอยู่บ้าน ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตเรียบง่าย ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ สบายๆไปวันๆ ถ้าเรามองเผินๆแล้วมุมมองชีวิตของคนเกษียณดังที่กล่าวมานี้ก็อาจจะเป็นจริงอย่างนั้น แต่นั่นเป็นเพียงการมองแบบผิวเผินค่ะ แถมการมองในลักษณะแบบนี้นั้น ยังจะพาให้คุณมีความคิดที่เป็นพิษต่อตัวคุณเองอีกด้วย เพราะทำให้คุณไม่เกิดความกระตือรืนร้นที่คิดจะวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณเลย ซึ่งหากคุณมองให้ลึกลงไป คุณจะรู้ว่าจริงๆแล้วนั้น คนเรายิ่งแก่ลงมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานั่นคือ ค่ารักษาพยาบาล นั่นเอง ซึ่งหากคุณไม่ได้คิดวางแผนเกษียณมาเลย หรือวางแผนมาได้ไม่ดีพอ ค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาลตรงนี้ จะตกเป็นภาระให้กับคนที่คุณรักในทันที โดยที่พวกเขามิอาจจะบ่ายเบี่ยงกันได้เลยล่ะค่ะ

ความเป็นจริงนั้น “สิ่งจำเป็นของชีวิตในยามชราตัวคุณเองรู้ดีอยู่แล้วว่าจำต้องมีอะไรบ้าง  การเตรียมพร้อมจะรับมือกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองในอนาคตเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ อย่าประเมินค่าใช้จ่ายของช่วงชีวิตยามชรานั้นต่ำจนเกินไป เพราะยิ่งคุณประเมินไว้ต่ำมากเท่าไร ภาระที่เหลือจะตกอยู่กับคนข้างหลังคุณมากขึ้นเท่านั้นค่ะ”

เปลี่ยนความความคิด สู่ชีวิตเกษียณสุข

เปลี่ยนความความคิด สู่ชีวิตเกษียณสุข

การเรียนรู้ชีวิตจริงจากคนที่เกษียณแล้วสุข กับคนที่เกษียณแล้วทุกข์มีให้เราได้เลือกที่จะเรียนรู้กันอย่างมากมาย ซึ่งหากเรานำประสบการณ์ของพวกเขาเก็บนำมาคิดเป็นบทเรียนให้กับเรา มันจะสามารถช่วยให้เราเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองในการวางแผนเกษียณของเราให้ดีมากขึ้น เพราะชีวิตในวัยเกษียณนั้นเราทุกคนไม่สามารถเลี่ยงได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะกำหนดชีวิตเราในวันข้างหน้าได้ว่าเราอยากเป็นคนหนึ่งที่เกษียณแล้วมีสุข หรือเป็นคนหนึ่งที่เกษียณแล้วมีทุกข์ค่ะ