เมื่อเราจะเอ่ยกันถึงเรื่อง ”ตัวลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี” หลายๆคนอาจนึกถึงการซื้อประกันชีวิตเป็นอันดับต้นๆกันขึ้นมาในทันทีเลยใช่ไหมคะ ซึ่งแท้จริงแล้วสิทธิ์ที่ได้รับในการลดหย่อนภาษีนั้นเป็นแค่เพียงผลพลอยได้จากการซื้อประกันชีวิตเท่านั้นเองล่ะค่ะ แต่ตัว ”ประกันชีวิต” ยังมีประโยชน์อีกมากมายหลายอย่างที่นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษีกับเราและครอบครัวของเราตั้งแต่วันแรกที่เราได้รับเล่มกรมธรรม์แล้วล่ะค่ะ การที่จะตัดสินใจซื้อประกันชีวิตเพียงเพื่อแค่ใช้เป็นตัวลดหย่อนภาษีนั้นจึงไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่มีของประกันชีวิต วันนี้เราจึงมีบทความที่จะทำให้เพื่อนๆได้ทำความรู้จักกับประกันชีวิตกันดีมากขึ้นก่อนคิดตัดสินใจซื้อมาฝากกันค่ะ กับ “10ความจริงที่ควรรู้ก่อนซื้อประกันลดหย่อนภาษี” มาติดตามไปพร้อมๆกันได้เลยค่ะ

1 ประกันชีวิต ไม่ใช่การฝากเงิน

1 ประกันชีวิต ไม่ใช่การฝากเงิน

“ประกันชีวิต ไม่ใช่การฝากเงิน” ประกันชีวิตแม้จะเป็นการออมประเภทหนึ่งก็จริงอยู่ แต่การออมเงินนั้นก็ไม่ได้มีความหมายเดียวกันกับการฝากเงินค่ะ เพราะการออมเงินเน้นการเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อให้เกิดเป็นเงินก้อนในอนาคต แต่การฝากเงินนั้นเป็นการพักเงินไว้ชั่วคราว ซึ่งสามารถถอนออกมาใช้ได้ครบตามจำนวนที่ฝากไว้ได้ในทันทีที่ต้องการค่ะ ในเมื่อประกันชีวิตเป็นทางเลือกของการออมเงินรูปแบบหนึ่ง เราจึงไม่สามารถที่จะถอนเงินนั้นออกมาได้ทันทีเหมือนกับการฝากเงินค่ะ แต่หากเราเกิดเหตุฉุกเฉินทางการเงินขึ้นในอนาคต ประกันชีวิต (ที่ไม่ใช่แบบประกันชั่วระยะเวลา) อาจมีมูลค่าเงินสดเกิดขึ้น (ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป) ซึ่งเราสามารถนำเงินส่วนนั้นออกมาได้ หรือที่เรียกว่า “การเวนคืน” กรมธรรม์ค่ะ ซึ่งมูลค่าเงินของการเวนคืนกรมธรรม์นั้นจะเพิ่มมากขึ้นในทุกๆรอบปีกรมธรรม์ แต่อย่างไรก็ตามเงินจำนวนนี้ก็จะไม่เท่ากับเงินที่เราได้ชำระเบี้ยไปแล้วอย่างแน่นอนซึ่งแตกต่างกับการฝากเงินอย่างสิ้นเชิง

2 นึกถึงประกันชีวิตเมื่อจะลดหย่อนภาษีอย่างเดียวไม่ได้

2 นึกถึงประกันชีวิตเมื่อจะลดหย่อนภาษีอย่างเดียวไม่ได้

การ “นึกถึงประกันชีวิตเมื่อจะลดหย่อนภาษีอย่างเดียวไม่ได้” นั้นนับว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องเลยล่ะค่ะ เพราะตัวลดหย่อนภาษีตามกฎหมายนั้นมีอยู่อีกมากมาย หากเราคิดเพียงแค่อยากจะใช้สิทธิ์การลดหย่อนให้เต็มทุกช่องแล้วนั้น การซื้อประกันชีวิตเพื่อใช้สิทธิ์นี้อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินในปัจจุบันให้กับเราได้ค่ะ ฉะนั้นก่อนคิดซื้อประกันชีวิตควรต้องเห็นประโยชน์ของประกันชีวิตที่นอกเหนือไปจากสิทธิ์การลดหย่อนภาษีที่มีให้กับเราเสียก่อน หลังจากนั้นก็พิจารณาถึงความสำคัญจากประโยชน์ที่ได้รับไปทีละข้อค่ะ หากคำตอบในใจของเพื่อนๆมองเห็นถึงความสำคัญของประโยชน์ที่ได้รับจากการซื้อประกันชีวิตก็ตัดสินใจซื้อไปได้เลยค่ะ

3 ประกันชีวิตที่เหมาะสำหรับลดหย่อนภาษีไม่ได้มีแค่เฉพาะประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

3 ประกันชีวิตที่เหมาะสำหรับลดหย่อนภาษีไม่ได้มีแค่เฉพาะประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

แม้ว่าปัจจุบันประกันชีวิตมีแบบต่างๆให้เลือกมากมาย แต่ประกันชีวิตที่แท้จริงแล้วแบ่งกันตามพื้นฐานได้อยู่ 4 แบบหลักๆค่ะ คือ แบบชั่วระยะเวลา แบบตลอดชีพ แบบสะสมทรัพย์ แบบบำนาญ แล้วเพื่อนๆทราบกันไหมคะว่าจริงๆแล้วนั้น “ประกันชีวิตที่เหมาะสำหรับลดหย่อนภาษีไม่ได้มีแค่เฉพาะประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์” เพราะแบบประกันชีวิตอื่นๆก็เหมาะในการลดหย่อนด้วยเช่นกันค่ะ ทั้งนี้เราจึงจำเป็นต้องสำรวจดูจุดประสงค์ที่แท้จริงในการซื้อประกันชีวิตของเราเสียก่อนว่า เราอยากได้อะไรในการซื้อประกันชีวิตนี้ระหว่างความคุ้มครอง กับการสะสมทรัพย์ค่ะ เพราะหากเน้นที่การสะสมทรัพย์ ผลตอบแทนที่ได้รับเยอะ แต่ทุนประกันที่ได้รับจากความคุ้มครองก็จะน้อย แต่หากเน้นความคุ้มครอง ผลตอบแทนที่ได้รับก็น้อยหรืออาจไม่มี แต่ทุนประกันที่ได้รับจากความคุ้มครองก็จะเยอะมากค่ะ ดังนั้นเมื่อตั้งใจจะซื้อประกันชีวิตทั้งทีแล้วจึงต้องสำรวจความต้องการของตัวเองให้ได้ก่อนค่ะว่าเราอยากได้อะไรจากประกันชีวิตกันแน่

4 ประกันสั้นๆ ไม่ได้ดีกว่าประกันยาวๆ

4 ประกันสั้นๆ ไม่ได้ดีกว่าประกันยาวๆ

คนส่วนใหญ่เวลาซื้อประกันชีวิตนั้นมักจะนิยมที่จะเลือกหาประกันชีวิตที่มีโครงการที่สั้นๆ เพราะหวังเพียงแค่ว่าอยากจะให้จบเร็วๆจะได้ไม่เป็นภาระผูกพันไปนาน แต่เพื่อนๆทราบไหมคะว่า “ประกันสั้นๆไม่ได้ดีไปกว่าประกันยาวๆ” เลยล่ะค่ะ อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกกับความคิดที่ว่าจะได้ไม่ต้องมีผลผูกพันกันยาวๆ แต่ก็ไม่ควรลืมค่ะว่าประกันหมดความคุ้มครองก็หมดลงไปด้วยเช่นกัน เพราะหากเราลองมาวิเคราะห์กันดีๆแล้ว ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ยืนอยู่ความไม่แน่นอน เหตุไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ การที่เรามีประกันชีวิตแบบยาวๆจึงเป็นการคุ้มครองที่ช่วยสร้างหลักประกันให้กับคนข้างหลังไปในตัวด้วยค่ะ ยิ่งหากสัญญาประกันชีวิตนั้นเป็นระยะยาวด้วยก็ยิ่งแสดงว่าเรามีความคุ้มครอง และหลักประกันที่สร้างไว้ให้กับคนข้างหลังก็ยาวนานตามไปด้วย การใช้ชีวิตในทุกๆวันของเราจึงให้ความรู้สึกอุ่นใจ และะสบายใจได้มากขึ้นกว่าประกันระยะสั้นๆค่ะ

5 จ่ายเบี้ยสั้นๆ ไม่ได้ดีกว่าจ่ายเบี้ยยาวๆ

5 จ่ายเบี้ยสั้นๆ ไม่ได้ดีกว่าจ่ายเบี้ยยาวๆ

หากเพื่อนๆเป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกว่าเลือกซื้อประกันชีวิตที่จ่ายเบี้ยสั้นๆจะได้ไม่เป็นภาระไปนานๆ ก็นับว่าเป็นการคิดผิดกันตั้งแต่ก่อนซื้อแล้วล่ะค่ะ เพราะการซื้อประกันชีวิตไม่ควรที่จะเกิดความรู้สึกว่าเป็นการสร้างภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้น เบี้ยประกันที่ชำระต่อปีจึงควรมีความเหมาะสม และไม่กระทบกับสภาพคล่องทางการเงินของเรา เพื่อที่เราจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นค่ะ ในทุนประกันประกันที่เท่ากัน แต่มีเวลาในการชำระเบี้ยที่ต่างกัน ก็จะมีผลกับค่าเบี้ยประกันต่อปี จึงทำให้การชำระเบี้ยแบบสั้นต้องชำระค่าเบี้ยที่แพงกว่ามากกับการชำระเบี้ยแบบระยะยาวค่ะ อาจทำให้เกิดผลกระทบทางการเงินของเพื่อนๆในช่วงเวลาของสัญญาประกันชีวิตขึ้นได้ การชำระเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ที่ไม่สร้างผลกระทบต่อการเงินของเราจึงย่อมเป็นการซื้อประกันชีวิตที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ได้มากกว่าค่ะ เพราะฉะนั้นการ ”จ่ายเบี้ยสั้นๆไม่ได้ดีกว่าจ่ายเบี้ยยาวๆ” เลยล่ะค่ะ

6 แบบที่มีเงินคืน ไม่ได้ดีกว่าแบบที่ไม่มีเงินคืน หรือจ่ายเบี้ยทิ้ง

6 แบบที่มีเงินคืน ไม่ได้ดีกว่าแบบที่ไม่มีเงินคืน หรือจ่ายเบี้ยทิ้ง

แบบประกันชีวิตที่เราเห็นโดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีทั้งแบบที่มีเงินคืนประจำปี แบบที่ไม่มีเงินคืนประจำปีแต่ได้รับเงินก้อนครั้งเดียวตอนครบสัญญา และอีกแบบคือไม่ได้รับคืนใดๆทั้งสิ้น เป็นการจ่ายเบี้ยทิ้งเหมือนกับการซื้อประกันอัคคีภัยหรือประกันรถยนต์ค่ะ ซึ่งแบบที่ได้รับเงินคืนประจำปีนั้นมักจะเป็นแบบประกันประเภทสะสมทรัพย์ค่ะ ส่วนแบบที่รับเงินครั้งเดียวตอนคนบสัญญาก็มักจะเป็นแบบตลอดชีพ และแบบจ่ายเบี้ยทิ้งนั้นก็มักจะเป็นชั่วระยะเวลา และอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า แบบประกันประเภทสะสมทรัพย์นั้นมักจะเน้นที่ผลตอบแทนมากกว่าความคุ้มครอง

ส่วนแบบตลอดชีพถึงแม้จะได้รับทุนคุ้มครองที่มากกว่าแบบสะสมทรัพย์ แต่เมื่อเทียบกับแบบชั่วระยะเวลาแล้วก็ยังได้รับน้อยกว่าค่ะ ดังนั้นการจะซื้อประกันชีวิตสักฉบับจึงมิใช่แค่ดูที่มีเงินคืนไหมเท่านั้นค่ะ แต่ควรพิจารณาไปถึงความจำเป็นของเราเป็นสำคัญค่ะ เพราะบางคนอาจมีภาระหนี้สินมาก ซึ่งจำเป็นที่ควรจะเลือกซื้อประกันชีวิตที่เน้นความความคุ้มครองมากกว่าแบบสะสมทรัพย์ เพื่อครอบคลุมหนี้สินทั้งหมด จะไม่ได้ตกภาระกับคนข้างหลังค่ะ การเลือกซื้อประกันชีวิตแบบที่มีเงินคืนจึงไม่ได้ดีกว่าแบบที่ไม่มีเงินคืน หรือจ่ายเบี้ยทิ้งค่ะ

7 ทำประกันชีวิตเท่าที่พอใจจะจ่ายเบี้ย อาจมีผลเสียมากกว่าดี

7 ทำประกันชีวิตเท่าที่พอใจจะจ่ายเบี้ย อาจมีผลเสียมากกว่าดี

การทำประกันชีวิตเท่าที่พอใจจะจ่ายเบี้ย อาจมีผลเสียมากกว่าดี เพราะหากเราชำระเบี้ยประกันตามความพอใจ ไม่ได้เกิดจากการพิจารณาถึงความจำเป็นที่แท้จริงแล้ว ก็จะส่งผลเสียกับเราเองได้มากกว่าการเกิดผลดีค่ะ เช่น หากเราชำระเบี้ยที่มากจนเกินไปก็อาจส่งผลกระทบกับการเงินของเราในปัจจุบัน ทำให้เราไม่มีเงินพอที่จะไปหาแหล่งลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยขึ้นมา เพราะประกันชีวิตเป็นเพียงเครื่องมือในการวางแผนการเงิน ไม่ใด้เป็นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนมากมายเหมือนการลงทุนรูปแบบอื่นๆค่ะ หรือหากเราเลือกชำระเบี้ยที่น้อยจนเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบในเรื่องของการแบกรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตเรา ซึ่งหากเรามีภาระหนี้สินที่มากด้วยแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนที่เรารักจะต้องมารับผิดชอบภาระที่มีแทนเราในวันข้างหน้าไปด้วยค่ะ ฉะนั้นการทำประกันชีวิตจึงไม่ควรเลือกจ่ายเบี้ยตามความพอใจ แต่ควรพิจารณาตามความจำเป็นของเราจึงจะส่งผลดีที่สุดกับเราค่ะ

8 ประกันสุขภาพถ้าไม่เคลม ก็ไม่คุ้ม

8 ประกันสุขภาพถ้าไม่เคลม ก็ไม่คุ้ม

บางคนอาจคิดว่าซื้อประกันสุขภาพถ้าไม่เคลม ก็ไม่คุ้ม สุขภาพยังแข็งแรงดีอยู่ เสียค่าเบี้ยประกันแต่ละปีสิ้นเปลืองเปล่าๆ เป็นความคิดที่ผิดอย่างร้ายแรงเลยล่ะค่ะ เพราะจุดประสงค์ในการทำประกันนั้น “ทำไว้เผื่อได้ใช้ ไม่ได้ทำไว้เพื่อจะใช้” ค่ะ คงไม่มีใครจะเอาสุขภาพของตัวเองเข้าแลกเพียงเพื่อหวังความคุ้มค่ากับค่าเบี้ยต่อปีกันหรอกจริงไหมคะ การซื้อประกันสุขภาพจึงไม่ควรมองเป็นเหมือนการลงทุนที่จะเอามาวัดหากำไรหรือขาดทุน คุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะการซื้อประกันสุขภาพนั้นเป็นการกระจายความเสี่ยงให้บริษัทประกันเป็นผู้แบกรับในเรื่องค่าใช้จ่ายของสุขภาพเรา การซื้อประกันสุขภาพแล้วไม่เคลมเลยนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด และคุ้มที่สุดค่ะ เพราะนั่นบ่งบอกได้ว่าเรามีสุขภาพที่แข็งแรงดีอยู่นั่นเอง

9 เงื่อนไขที่ว่า ไม่ต้องตรวจหรือตอบคำถามสุขภาพนั้นเป็นเรื่องจริง

9 เงื่อนไขที่ว่า ไม่ต้องตรวจหรือตอบคำถามสุขภาพนั้นเป็นเรื่องจริง

เราอาจเคยเห็นโฆษณาผ่านนากันบ้างกับเงื่อนไขที่ว่า ไม่ต้องตรวจหรือตอบคำถามสุขภาพ นั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ส่วนใหญ่ประกันชีวิตในลักษณะแบบนี้จะเป็นประกันชีวิตสำหรับผู้สูงวัย ที่มีเงื่อนไขการจ่ายทุนประกันตามเหตุที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น เช่น หากเสียชีวิตภายใน 2 ปีหลังจากที่กรมธรรม์มีผลบังคับจะได้รับค่าเบี้ยบวกเงินชดเชยบางส่วน ไม่ได้รับเงินตามทุนประกันที่ทำไว้ ซึ่งตรงนี้เราอาจศึกษารายละเอียดความคุ้มครองได้จากเล่มกรมธรรม์ที่ระบุไว้ชัดเจนค่ะ อย่าคิดตัดสินใจทำประกันชีวิตลักษณะนี้เพียงเพื่อแค่อยากจะบิดเบือนความเสี่ยงของโรคประจำตัวที่เราเป็นอยู่ เพราะอาจเกิดปัญหาในเรื่องความคุ้มครองที่ได้รับขึ้นภายหลังกันได้ค่ะ ดังนั้นหากตัดสินใจจะซื้อประกันชีวิตในแบบที่ไม่ต้องตรวจ ไม่ต้องตอบปัญหาสุขภาพนี้ ก็ควรอ่านเงื่อนไขความคุ้มครองที่ระบุในกรมธรรม์ให้ชัดเจนกันก่อนด้วยนะคะ

10 ยูนิตลิงค์ ไม่ใช่ประกันที่ดีที่สุด

10 ยูนิตลิงค์ ไม่ใช่ประกันที่ดีที่สุด

ยูนิตลิงค์ คือแบบประกันชีวิตรูปแบบใหม่ที่ให้ความคุ้มครองและเน้นการลงทุน (หุ้น) เพราะมีเรื่องของการลงทุนในหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงควรมองที่ความเสี่ยงของแบบประกันชีวิตประเภทนี้ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วยเช่นกันค่ะ ยูนิตลิงค์จึงไม่ใช่ประกันที่ดีที่สุดที่จะเหมาะกับทุกคน ดังนั้นจึงควรศึกษาและมีความรู้ในแบบประกันประเภทนี้ให้มาก ก่อนการตัดสินใจซื้อค่ะ

มองให้ออกก่อนแล้วใช้ประกันเป็นเป็นตัวช่วยคุณ

มองให้ออกก่อนแล้วใช้ประกันเป็นเป็นตัวช่วยคุณ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ “10 ความจริงที่ควรรู้ก่อนซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษี” มาถึงตรงนี้ หากเรามองว่าประกันชีวิตเป็นสิ่งจำเป็นของเรา ก็สามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที แถมยังได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีกด้วย แต่หากเพียงแค่จะหาตัวลดหย่อนภาษีเฉยๆการซื้อประกันชีวิตอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดของเพื่อนๆค่ะ