คืออะไร? เป็นมาอย่างไร? ใครเป็นผู้คิดค้น? เล่นบิทคอยน์รวยจริงหรือ? ทำไมถึงมีความสำคัญกับระบบการเงินโลก? นี่เป็นหลายๆในคำถามหลักๆที่คนอยากรู้มากที่สุดเกี่ยวกับ “บิทคอยน์” ความที่มีการพูดอย่างเป็นที่นิยมนี้จึงทำให้นักลงทุนที่ชื่นชอบ ได้ทำการศึกษาข้อมูลเหล่านี้กันอย่างกว้างขวาง เพื่อจะไม่ตกเทรนด์เราก็ควรมาเริ่มทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กันว่่า บิทคอยน์ คืออะไร
บิทคอยน์ คืออะไร
บิทคอยน์ (อังกฤษ: Bitcoin) เป็นเงินตราแบบดิจิทัล ถือเป็นสกุลเงินแรกของโลกที่ถูกเรียกว่าคริปโตเคอเรนซี (cryptocurrency) และเป็นระบบการชำระเงินที่ใช้กันทั่วโลก ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ จึงไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะบิทคอยน์ไม่มีรูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้เหมือนธนบัตรหรือเงินเหรียญ. บิทคอยน์ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกลุ่มนักพัฒนาเล็กๆกลุ่มหนึ่งตลอดจนบริษัทใหญ่ๆทั่วโลก โดยระบบของ บิทคอยน์จะ ถูกรันโดยคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานทั่วโลก โดยใช้ระบบซอฟต์แวร์ในการถอดสมการคณิตศาสตร์
บิตคอยน์จึงเป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกที่ใช้ระบบกระจายอำนาจ โดยไม่มีธนาคารกลางหรือแม้แต่ผู้คุมระบบแม้แต่คนเดียว. เครือข่ายเป็นแบบเพียร์ทูเพียร์ และการซื้อขายเกิดขึ้นระหว่างจุดต่อเครือข่าย (network node)โดยตรง ผ่านการใช้วิทยาการเข้ารหัสลับและไม่มีสื่อกลาง.โดยบิทคอยน์มีหน่วยเงินตราเป็น BTC เหมือน ๆ กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ใช้หน่วยเงินตราเป็น USD, สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นที่ใช้ JPY หรือสกุลเงินบาทไทยที่ใช้เป็น THB นั่นเอง. ทั้งนี้ บิทคอยน์ถือว่าเป็นเงินตราอิเล็กทรอนิกส์ (Cryptocurrency) สกุลหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีสกลุเงินอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกคิดค้นขึ้นมา อาทิเช่น สกุลเงิน Ethereum ที่ใช้ตัวย่อว่า ETH, สกุลเงิน Ripple ที่ใช้ตัวย่อว่า XRP และสกุลเงิน Litecoin ที่ใช้ตัวย่อว่า LTC. แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ บิทคอยน์ยังคงเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุดนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ลงทุนคริปโต คืออะไร ที่นี่
บิทคอยน์เกิดขึ้นมาอย่างไร?
บิทคอยน์เกิดจากแนวคิดที่ว่ามีคนต้องการระบบเงินใหม่ที่ไม่ถูกตรวจสอบขึ้นมา จากเดิมที่มีระบบธนาคารกลางเป็นผู้ดูแล และมีหน้าที่กำหนดมาตรฐาน รวมถึงมูลค่าของเงิน ทำให้ธุรกรรมทางการเงินทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของธนาคารกลางนั้นเอง แต่กระบวนการเหล่านี้อาจจะไม่ค่อยถูกใจบรรดาธุรกิจใต้ดิน เพราะต้องระบุตัวตน เวลาโอนเงินก็ต้องผ่านตัวกลาง ทำให้ถูกตรวจสอบได้ง่าย. จึงมีการสร้างสกุลเงินใหม่ที่ไม่ผ่านระบบธนาคารกลาง และเป็นที่ยอมรับใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีโปรแกรมเมอร์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโต้ ได้สร้างระบบที่เรียกว่า "Blockchain" ออกมา
Blockchain เป็นระบบเพื่อป้องกันการเกิดภาวะเงินเฟ้อและเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็วของสกุลเงินดิจิทัล. จากการปั๊มเงินออกมาเรื่อย ๆ ได้ตามใจชอบ โดยนำระบบการทำงานของอัลกอริทึมมาใช้ แล้วกำหนดปริมาณเงินในระบบไว้ไม่ให้เกิน 21 ล้านหน่วย ทำให้บิทคอยน์เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากมีระบบป้องกันเงินเฟ้อ ต่อมาถูกเผยแพร่ในรูปแบบซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซในปี พ.ศ. 2552. ซึ่งเป็นระบบจ่ายเงินที่อ้างอิงอยู่บนการถอดสมการคณิตศาสตร์ โดยจุดประสงค์ของเขาคือการสร้างสกุลเงินที่เป็นอิสระจากรัฐบาลและธนาคาร, สามารถส่งหากันผ่านระบบอินเทอร์เนตและมีค่าธรรมเนียมที่ถูกมากๆ.
ที่มาของชื่อคำว่า บิตคอยน์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกและถูกให้ความหมายในสมุดปกขาว (white paper) ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2541] เป็นการรวมคำว่า บิต และ คอยน์ เข้าด้วยกัน.บิทคอยน์แตกต่างจากสกุลเงินทั่วๆไป เพราะ สามารถใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าออนไลน์ อาจคล้ายกับระบบซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตทั่วๆไปที่ใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต
อย่างไรก็ตาม ความพิเศษของ บิทคอยน์ ที่เป็นตัวช่วยให้มันเป็นที่นิยมคือมันถูกควบคุมแบบกระจาย (decentralize) กล่าวคือไม่มีสถาบันการเงินไหนสามารถควบคุมบิทคอยน์ได้ ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนที่เลือกใช้ บิทคอยน์ ส่วนใหญ่สบายใจเนื่องจากแม้แต่ธนาคารก็ไม่สามารถควบคุม บิทคอยน์ได้, ไม่มีใครสามารถพิมพ์ Bitcoin ได้ เพราะมันเป็นสกุลเงินที่ไม่สามารถจับต้องได้เหมือนกับธนบัตรที่ถูกพิมพ์โดยรัฐบาล, ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้สอดคล้องกับจำนวนประชากร และมันมีกฏเกณฑ์ในตัวของมันเอง ในขณะที่ธนาคารกลางบางประเทศสามารถที่จะพิมพ์เงินได้เองเพื่อกู้วิกฤติหนี้แห่งชาติ หรือประกาศอ่อนค่าเงินของตัวเอง
แต่ บิทคอยน์ ถูกสร้างขึ้นโดยเป็นเหมือนกับไฟล์คอมพิวเตอร์ โดยกลุ่มนักพัฒนาอิสระที่ใครๆก็สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้.บิตคอยน์ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วย 'การขุด' (mining, การทำเหมือง) และสามารถแลกเป็นสกุลเงินอื่นได้ ซื้อสินค้า และบริการ ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 มีร้านค้ากว่า 100,000 ร้านยอมรับการจ่ายเงินด้วยบิตคอยน์. งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประมาณว่าใน พ.ศ. 2560 มีผู้ใช้เงินตราแบบดิจิทัล 2.9 ถึง 5.8 ล้านคน โดยส่วนใหญ่แล้วใช้บิตคอยน์
การจะผลิต บิทคอยน์ ขึ้นมาได้นั้นต้องใช้วิธีการ “ขุด” โดยการใช้คอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนเครือข่ายที่จัดวางไว้ให้เท่านั้นโดยเครือข่ายนี้ยังสามารถที่จะใช้เพื่อช่วยในการจัดการการโอนส่ง บิทคอยน์ ให้กันได้ ซึ่งหากจะเรียกแล้ว มันก็คือเครือข่ายส่วนตัวของ บิทคอยน์ นั่นเอง ดังนั้น บิทคอยน์ ก็สามารถถูกสร้างขึ้นมาแบบมีจำกัด ด้วยการมีอยู่ของระบบ บิทคอยน์ โพรโตคอล ซึ่งเปรียบเสมือนกับผู้คุมกฏแห่งเครือข่าย บิทคอยน์
ได้กล่าวไว้ว่า บิทคอยน์ จะสามารถที่จะถูกผลิตขึ้นมาได้เพียงแค่ 21 ล้าน บิทคอยน์ เท่านั้น. อย่างไรก็ตาม สามารถที่จะถูกแบ่งออกเป็นจำนวนย่อยๆได้ (โดยหน่วยที่เล็กที่สุดของ บิทคอยน์ คิดเป็นหนึ่งร้อยล้านต่อ 1 บิทคอยน์ โดยหน่วยนี้ถูกเรียกว่า “ซาโตชิ” เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้สร้าง บิทคอยน์ )ซึ่งราคา บิทคอยน์ จะถูกอ้างอิงจากด้วยสมการทางคณิตศาสตร์
ลักษณะเด่นของบิทคอยน์
ใช้เทคโนโลยีการกระจาย เครือข่าย ไม่ได้ถูกควบคุมโดยศูนย์กลางที่ไหนหรือใครคนใดคนหนึ่ง โดยเครื่องขุด บิทคอยน์ ทุกๆเครื่องมีส่วนช่วยในการทำธุรกรรมในการจ่ายเงินของ บิทคอยน์ และเครื่องขุดเหล่านี้ทำงานด้วยกันทั่วโลก ซึ่งแปลว่าในทางทฏษฎีแล้ว ทางรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจไม่สามารถที่จะเข้ามายึดหรือสั่งทำลายเครื่องขุด บิทคอยน์ เพียงแค่เครื่องใดเครื่องหนึ่งเพื่อหวังให้ระบบเครือข่ายของ บิทคอยน์นั้น ล่มสลายได้ หรือแม้แต่พยายามที่จะยึดเอา บิทคอยน์ มาเป็นของตัวเองแบบที่ธนาคารกลางแห่งยุโรปเคยพยายามลองทำมาแล้วที่ Cyprus ในปี 2013 แต่ก็ล้มเหลว หากอยากจะทำลาย บิทคอยน์ ให้หมดไปจากโลกนี้ ทางรัฐบาลอาจต้องไล่ทำลายเครื่องขุด บิทคอยน์ ที่มีกระจายไปอยู่ทั่วโลกนั่นเอง.
ง่ายต่อการติดตั้ง ธนาคารส่วนใหญ่มักจะพยายามหลอกล่อและเชิญให้คุณมาเปิดบัญชีธนาคารที่มีขั้นตอนการเปิดที่ยุ่งยาก ลืมเรื่องการเปิดบัญชีธนาคารเพื่อการค้าขายแบบง่ายๆไปได้เลย ในขณะเดียวกันการเปิดใช้งานกระเป๋า บิทคอยน์สามารถที่จะทำได้ให้เสร็จได้ง่ายในระดับวินาที ไม่มีคำถามมาถามให้กวนใจ และไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น.
ผู้ใช้งานสามารถที่จะถือบัญชี บิทคอยน์ ได้ทีละหลายๆบัญชี และบัญชีเหล่านั้นก็ไม่ได้มีชื่อหรือข้อมูลส่วนตัวของคุณมาเชื่อมกับมัน แต่มันโปร่งใสแบบ 100% รายละเอียดการเก็บ บิทคอยน์ นั้นละเอียดในระดับถึงขั้นที่สามารถตรวจจับไปจนถึงการโอนครั้งแรกตั้งแต่มี บิทคอยน์ มาเลยทีเดียว โดยสมุดบัญชีการโอนของ บิทคอยน์ นั้นเราจะเรียกมันว่าบล็อกเชน (Blockchain) โดยบล็อกเชนที่ว่านี้จะเปรียบเสมือนสมุดบัญชีธนาคารกลางที่สามารถบอกการเคลื่อนไหวของบัญชี บิทคอยน์ ทั่วโลก มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก เพราะธนาคารอาจจะคิดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินกับประมาณ 35-500 บาท แต่ Bitcoin ไม่มีเลย. การโอนที่รวดเร็วมาก สามารถที่จะส่ง บิทคอยน์ ไปหาใครก็ได้บนโลกนี้โดย บิทคอยน์ ที่ส่งข้ามโลกไปหาอีกคนนั้น จะไปปรากฏที่กระเป๋าเงินของในระดับนาที. มูลค่าของบิทคอยน์ และการยอมรับทางกฎหมาย
อัปเดตความเปลี่ยนแปลงมูลค่าบิตคอยน์
ในส่วนของมูลค่าบิทคอยน์นั้น จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเหมือนสกุลเงินอื่น ๆ ตามกลไกตลาด หรือที่เราเรียกว่าหลัก Demand Supply คือ ช่วงไหนที่ความต้องการบิทคอยน์ มีมากกว่าปริมาณบิทคอยน์ที่มีในระบบ ก็จะส่งผลให้มูลค่าบิทคอยน์เพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงที่มัลแวร์เรียกค่าไถ่ด้วยเงินบิทคอยน์ กลับกันหากบิทคอยน์ในระบบมีมากเกินความต้องก็จะทำให้มูลค่าลดลง. โดยเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2560 บิทคอยน์ได้สร้างสถิติสูงสุดใหม่ คือ มีมูลค่าทะลุไปถึง 18,900 USD ต่อ 1 BTC หรือกว่า 600,000 บาทเลยทีเดียว จากการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุน แม้จะมีกระแสคำเตือนต่าง ๆ จากนักวิเคราะห์ว่าอาจเกิด "ภาวะฟองสบู่" กับตลาดบิทคอยน์
ปัจจุบันนี้ (ณ เดือนสิงหาคม 2561) 1 BTC มีค่าเท่ากับ 6,466 USD หรือคิดเป็นเงินประมาณ 207,000 บาท ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2560. ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนแรกของบิทคอยน์ ถูกกำหนดขึ้นในเดือนตุลาคม 2552 ไว้ที่ 1 BTC เท่ากับ 0.000764 USD กระทั่งในเดือนพฤศจิกายน 2553 บิทคอยน์สามารถเพิ่มมูลค่าอย่างรวดเร็วเป็น 1 BTC เท่ากับ 0.50 USD และค่อย ๆ มีมูลค่าขึ้นเป็นหลักหมื่นหลักพันเหรียญสหรัฐเหมือนในปัจจุบัน
ด้วยความนิยมที่สูงขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย ทำให้เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ได้ออกมาให้ความชัดเจนแล้วว่า สามารถซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยได้อย่างถูกกฎหมาย ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยต้องผ่าน 7 สกุลเงินดิจิทัลที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งบิทคอยน์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงของบิตคอยน์ ที่นี่
อย่างไรก็ดี จากที่กล่าวมาทั้งหมด คงรู้แล้วว่า บิตคอยน์ คืออะไร ถือเป็นสกุลเงินที่มีความเฉพาะตัว น่าสนใจในส่วนของนักลงทุน แต่ก็มีความใหม่หรือผันผวนอยู่ โดยเฉลี่ยแล้วในหนึ่งวันมูลค่าของบิทคอยน์จะเปลี่ยนแปลงประมาณ 5% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลปกติหรือการลงทุนในหุ้นที่เฉลี่ยต่อวันจะเปลี่ยนแปลงไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ. ดังนั้น ผู้ที่สนใจเข้ามาลงทุนหรือเก็งกำไร ควรจะต้องศึกษาข้อมูลและหาความรู้เพิ่มเติมอย่างละเอียด เพื่อจะได้เพิ่มมาซึ่งกำไร ไม่เช่นนั้นอาจจะหมดตัวได้ง่าย ๆ เช่นกัน เริ่มต้นการลงทุนของคุณให้มั่นคงยิ่งขึ้นด้วยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จาก MoneyDuck ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย รับรองว่าคุณจะลงทุนได้อย่างมั่งคั่งและมั่นใจได้อย่างแน่นอน
Ying
มีอีกหลายคนที่มองว่า bitcoin เป็นอะไรที่น่าค้นหา และไม่ได้เป็นแค่ตลาดเก็งกำไร หรือเป็นแค่แชร์ลูกโซ่ พวกเค้าติดตามอุดมคติและมองว่าเทคโนโลยีจะมาเปลี่ยนโลกของเรา เพราะสามารถทำธุรกรรมได้เร็วและง่าย ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆฟรีๆเสมอไป ก่อนที่จะลงทุนอะไรก็ต้องตรวจสอบกันให้ดีก่อน เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ
Jirawat
มันน่าสนใจตรงไหนนะเจ้าสกุลเงินดิจิทัลเนี่ย จับต้องไม่ได้ ความผันผวนก็สูง คงเป็นที่สนใจของนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงสูงละมั้ง แต่บ้านเราถ้าลงทุนกับบิทคอยน์นี่มันมีความปลอดภัยและมั่นคงแค่ไหน ใครรู้บ้างครับ อ้อ!เดี๋ยวจะมีคนมาต่อว่า ว่าถ้าไม่ชอบแล้วเข้ามาอ่านทำไม ไม่ใช่ไม่ชอบคร้าบ แต่อยากรู้ข้อมูลเลยเข้ามาอ่าน จึงสงสัยว่าทำไมบางคนถึงสนใจบิทคอยน์
สมหมาย
bitcoin เป็นอีกสกุลเงินหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะว่าเป็นเหมือนกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยให้เราสามารถทำกำไรจาก bitcoin รายการทำการเปลี่ยนสกุลเงินแลกเปลี่ยน ในโทรศัพท์มือถือหรือ application ของเราเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปธนาคารเพื่อเปลี่ยนแปลงสกุลเงิน เพื่อเพิ่มยอดมูลค่าเงินของเราให้มากขึ้นได้
Surasak
ตอนนี้ในบ้านเรามีคนสนใจเล่นบิทคอยน์กันมากมั้ยครับ? ผมได้ยินมานานแล้วล่ะ แต่ผมไม่ใช่นักลงทุนน่ะเลยไม่รู้ว่าตอนนี้ที่บ้านเราเค้าสนใจการลงทุนตัวไหนกันมากที่สุด อย่างบิทคอยน์เนี่ย ถึงจะเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่จับต้องไม่ได้ ดูท่าความเสี่ยงน่าจะสูง ก็ยังมีคนสนใจอยากลงทุนด้วย ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะดีจริงๆมั้ย
Nan
อ่านๆไปแล้วดูไม่น่าใช้เลย ดูไม่ปลอดภัยมากกว่าถึงจะแม้จะดูเหมือนสะดวกดี แต่มันเป็นเงินแบบที่ตรวจสอบไม่ได้จับต้องไม่ได้ น่าจะเป็นช่องทางของมิจฉาชีพได้ดีเลยนะคะ แต่ถ้าในอนาคตมีการสร้างความน่าเชื่อถือและพัฒนาความปลอดภัยมากกว่านี้ก็คงน่าใช้อยู่เหมือนกัน พูดถึงในอนาคตค่ะ แต่ตอนนี้ขอไม่ใช่ก่อน ตอนนี้สกุลเงินดิจิตอลก็มีมากขึ้นนะจากที่เคยอ่านๆมาค่ะ
สารวัตร
ถ้าหาก บิทคอยน์ ได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วคนต่างก็หันไปใช้ บิทคอยน์ กันมากขึ้น เราว่ามันไม่น่าส่งผลดีกับทางภาครัฐได้นะครับ เพราะว่า ตอนนี้ทางภาครัฐยังสามารถกำหนดกลไกลทางการเงินผ่านทางธนาคารได้ง่าย แต่ถ้าคนเราหันมาใช้ บิทคอยน์ กันมากขึ้น ทางภาครัฐของต้องขาดเงินทุนต่างๆแน่นอนครับ คงเป้นเพียงแค่นโยบายเท่านั้น เพราะว่าไม่สามารถกำหนดค่าเงินได้เอง
น้ำตาล
เป็นระบบการเงินที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวคะ เพราะว่าใครที่ทำธุรกิจหรือมีเงินเยอะ สามารถที่จะเปลี่ยนเงินมือไปให้คนอื่นๆได้ง่ายๆไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกและมีค่าบริการที่ถูกด้วย ให้นึกถึงการเปิดบัญชีใช้กับ bitcoin เลยค่ะ นอกจากจะช่วยให้เราสามารถที่จะเก็งกำไรและได้รับการเปลี่ยนแปลงค่าเงินแล้ว ยังช่วยให้เราสามารถที่จะได้รับเงินเพิ่มขึ้นได้ด้วยค่ะ
ฟิว
น่าสนใจตรงที่ bitcoin ไม่มีใครที่จะสามารถควบคุมค่าของมันได้ เป็นระบบรูปแบบเงินดิจิตอลที่มีการขึ้นหรือลงได้อิสระ ตรงนี้แหละดีครับตรงที่เราไปเลือกใช้บริการและเราสามารถทำการที่จะคาดเดาโดยการเลือกได้ว่า จะเปลี่ยนค่าเงินดิจิตอลแบบนี้เป็นแบบอื่นและเอามาแลกคืนเพื่อให้ได้รับส่วนต่างหรือผลกำไรตรงนั้น ถ้ารัฐบาลควบคุมไม่ได้ก็ดีสิครับ
(●'◡'●)ตาณ
เราว่าไม่น่าดีนะคะ คุณ ฟิว มันมีความเสี่ยงสูงเลยนะ ที่ได้ได้รับความเสียหายได้ ตรงที่บอกว่าไม่สามารถควบคุมการขึ้นหรือลงของราคาเงินดิจิตอลได้ อันนี้น่ากลัวสุดแล้ว ลองคิดเล่นๆดูไหมคะ ถ้า คุณฟิว ลงทุนในเงินสกุลนี้ ตอนเล่น ซื้อมา 10บาท ต่อ1บิท แล้วถ้า อยู่ๆ เกิดราคา ตกไปที่ 8บาทต่อ1บิค แล้วกินระยะเวลาแบบนี้ไปเป็นปีๆ เงินเสียหายไหมคะ
บอย
ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณตาณ คิดดูสิค้าว่าถ้าค่าเงิน bitcoin สามารถถูกควบคุมได้โดยทางรัฐบาล ผลจะเป็นอย่างไร เราก็จะถูกทางรัฐบาลชักจูงนั่นสิคะ และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็จะได้กับรัฐบาล ส่งผลทำให้ผู้ที่ทำการลงทุนขาดทุนและเสียผลประโยชน์ ถ้าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถควบคุมสกุลเงินบิทคอยน์ได้ ก็ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับกำไรครับ