เรามักจะได้ยินคำว่า “หุ้น” บ่อยๆ เมื่อได้ยินคำนี้นึกถึงอะไร? “เงินๆ รวยๆ” หรือ “หมดตัว เจ๊ง ล้มละลาย หุ้นตก!” ไม่ว่าจะได้ยินประโยคไหน ผู้คนก็ยังอยากเสี่ยง!! เข้าไปเล่นหุ้น เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า “หุ้น” ก่อนดีกว่าก่อนที่จะกระโดดไปเล่นหุ้น หลายคนงงกับคำว่า “หุ้น” เราชาวบ้านคนธรรมดาทั่วไป ถ้านึกถึงคำว่า “หุ้น” เราเข้าใจได้ว่า คือการที่กลุ่มคนหรือคนมากกว่าหนึ่งมีการลงขันกัน ลงเงินเท่านั้นเท่านี้ กลายเป็นหุ้นส่วน เมื่อลงทุนอาจจะค้าขายได้กำไร ก็เอามาแบ่งกัน มากบ้างน้อยบ้างตามจำนวนหุ้นที่ลงไป แล้วในทางตรงกันข้ามถ้าขาดทุน หุ้นส่วนก็ต้องร่วมกันขาดทุนไปด้วย แต่ “หุ้น”ที่เราจะพูดถึง คือหุ้นที่รูปแบบที่ใหญ่กว่า มีการซื้อขายที่เราได้ยินบ่อยๆว่า “ตลาดหลักทรัพย์” ตลาดหุ้น อาจบอกได้ว่าเป็นเหมือนตลาดใหญ่ตลาดกลาง

โดยมีบริษัทหลายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ควบคุมดูแลดำเนินงานโดยตลาดหลักทรัพย์) “หุ้น”ในตลาดหลักทรัพย์มีอยู่มากมาย การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีอยู่ 2 ตลาด คือตลาดแรกและตลาดรองแต่ผู้คนทั่วไปมักคุ้นกับตลาดรองมากกว่า ส่วนใหญ่แล้วผู้คนได้ยินเรื่องหุ้นคือ รวยเร็ว! ได้เงินเร็ว! แต่บางคนก็ยังกล้าๆ กลัวๆไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี แล้วถ้าเราสนใจล่ะ อยากเล่นหุ้นจะทำอย่างไร ก่อนอื่น…เราต้องเข้าใจว่าแล้วการเล่นหุ้นหมายความว่าอะไร?

ทำความรู้จัก หุ้น คืออะไร

ทำความรู้จัก หุ้น คืออะไร

การที่เราเอาเงินไปลงทุนด้วยการซื้อหุ้นในบริษัทที่เราสนใจ(หมายความว่าเราใช้เวลาและสมองตรวจสอบดีแล้ว) และขายไป หรือที่หลายคนเคยได้ยินว่า เก็งกำไร ไม่ว่าจะลงทุนอะไร…เราก็หวังกำไร ถ้าไม่หวังกำไรจะลงทุนทำไม จริงไหม? ก่อนจะเล่นหุ้น (แน่นอนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ) ต้องมีการศึกษา เข้าใจสิ่งที่เรากำลังจะเล่นอยู่ ว่ามันคืออะไร เล่นยังไง ข้อดีข้อเสีย ถ้าเราไม่รู้หรือไม่มีความรู้ (มากพอ) ก็เห็นมานักต่อนัก หมดตัวหรือล้มละลาย อย่าเป็นอย่างนั้นเลย! ร้านหนังสือมีให้เลือกหลากหลายหัวข้อเกี่ยวกับการเล่นหุ้น ไม่ว่าจะมือใหม่หัดเล่นหุ้น หรือใครที่อยากเล่นหุ้นแล้วรวยเร็ว เมื่อศึกษาเข้าใจแล้ว ค่อยๆประเมินตัวเองว่า อยากเล่นหุ้นจริงไหม? มีทุนเท่าไหร่ ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน? และสนใจตัวไหน? ขอบอกว่า...ถ้าศึกษาไม่เข้าใจ หรือไม่มีความรู้ อย่าเสี่ยง!!

หาข้อมูลเรื่องหุ้นที่ไหนได้บ้าง

  1. ร้านหนังสือ ไปซื้อมาอ่าน! การลงทุนด้านความรู้เป็นสิ่งแรกที่นักลงทุนต้องทำ อันที่จริงแล้วไม่ว่างานสายอาชีพไหน สิ่งสำคัญคือความรู้ รู้แล้วเข้าใจแล้วทำได้ ทำเป็นก็จะสามารถพลิกแพลง ต่อยอดงานนั้นๆได้ 2. มีLink เกี่ยวกับหุ้นมากมาย เช่น ห้องเรียนนักลงทุน เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ https://www.set.or.th หรือ http://stockmonday.blogspot.com/p/blog-page.html หรือ http://www.toro.in.th/ หรือจะค้นคว้าจากเว็บไซต์ต่างๆ เรียนรู้จนมั่นใจว่า ไม่ใช่แมงเม่าบินเข้ากองไฟ ให้หุ้นเผาตาย ค่อยๆลงทุนก็ยังไม่สาย. บางคนยังไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถเล่นหุ้นได้ไหมก่อนจะลงสนามจริง ซื้อขายหุ้นจริงๆ ลองทดสอบตัวเองก่อนก็ได้ สนามหุ้นหรือตลาดหุ้นจำลองเสมือนจริง Click2win ลองเล่นไปก่อนลองสังเกตลองซื้อและขายไม่ต้องเสี่ยงเสียเงินแต่จะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจหุ้นดีแค่ไหน. ใจร้อนก็ลงไปเรียนคอร์สอบรมสั้นๆ อยากรู้เร็วอยากเก่งเร็วก็ไปเรียนกับช่างเทคนิคที่เขาอาบน้ำร้อนมาก่อนแต่ก็ขอบอกว่าค่าคอร์สพื้นฐานอย่างต่ำก็ 5,000 บาท แต่ถ้าใจ…ยังเย็นๆ เรียนอบรมสัมมนาฟรี เรียนทางอินเตอร์เน็ตก็มีเยอะแยะ แล้วแต่ว่าทางใคร ถนัดอันไหน หาหนังสือมาอ่านเสียตังค์ให้น้อยที่สุด แล้วแต่สะดวกพร้อมเมื่อไหร่ค่อยลงสนามจริง.

หลักการเล่นหุ้นหรือวิธีการเล่นหุ้น

หลักการเล่นหุ้นหรือวิธีการเล่นหุ้น

สำหรับมือใหม่หรือใครที่ตัดสินใจว่า เล่นหุ้นแน่แล้ว มีความรู้ที่จะเล่น ทำความเข้าใจระบบการเล่นในตลาดหุ้นระเบียบต่างๆ และรู้ว่าตัวเองควรไปทิศทางไหน แบบไหนที่เหมาะกับการลงทุนและสำคัญต้องมีเงิน และสิ่งที่ต้องทำขั้นตอนแรกๆคือ

“เปิดบัญชีหลักทรัพย์หรือเปิดพอร์ต เปิดบัญชีหุ้น” จะไปเปิดกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฏหมายด้วยตัวเองเพื่อแจ้งความต้องการกับเจ้าหน้าที่ หรือโทรศัพท์สอบถามกับเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ที่เราต้องการเล่นหุ้นก็ได้เลือกตามสะดวก (โดยดูรายชื่ออ้างอิงตามเว็บไซต์ของ กลต.) สำหรับการเลือกบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ต้องทำให้แน่ใจว่าค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการเทรดแต่ละครั้งเป็นอย่างไร ••เจ้าหน้าที่จะให้กรอกแบบเอกสารการสมัคร

  • เอกสารที่ใช้สมัคร
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือหนังสือเดินทาง
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สำเนาหน้าแรกของบัญชีธนาคาร และหลักฐานทางการเงินย้อนหลัง 6 เดือน
  • กรณีชาวต่างชาติใช้หนังสือเดินทางหรือใบอนุญาติทำงาน
  • ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท

••ควรติดต่อสอบถามจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ต้องการสมัครอีกครั้งเพราะแต่ละที่แต่ละแห่งใช้เอกสารไม่เหมือนกัน คนที่จะเปิดบัญชีหุ้นได้ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปีต้องได้รับการอนุญาตหรือการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน

••หลังจากสมัครแล้ว ต้องได้รับรหัสการซื้อขายหลักทรัพย์จากทางบริษัทหลักทรัพย์ที่จะส่งไปยังที่อยู่ที่เราระบุไว้ในใบสมัคร หรือส่งทางอีเมล์ •• เมื่อได้รับรหัสแล้ว โหลดโปรแกรม Streaming สำหรับเล่นหุ้น (สามารถดาวน์โหลดได้จาก Google Play หรือ App Store) เพื่อเรียนรู้วิธีคีย์คำสั่งซื้อขายหุ้นหรือเล่นหุ้นผ่านโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ได้เลย (จริงๆ มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลายตัวที่เราต้องเรียนรู้ซึ่งเป็นคำศัพท์สำคัญ) จะซื้อหรือขายหุ้นที่ไหนก็ได้ ขั้นต่ำการซื้อขายหุ้นคือ 100 หุ้น แต่จะเป็นเงินเท่าไหร่ ก็ต้องไปคำนวณดูเพราะหุ้นแต่ละตัวราคาสูงต่ำไม่เท่ากัน

บัญชีหุ้นมี 2 ประเภท คือ

บัญชีหุ้นมี 2 ประเภท คือ

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าัญชีหุ้นมีกี่ประเภท ใช้งานแตกต่างกันยังไง ไปดูกันเลย

Cash Balance

บัญชีนี้เราต้องเอาเงินไปฝากไว้ในพอร์ตหุ้นก่อน จะซื้อหุ้นได้เท่ากับจำนวนเงินที่ฝากไว้ในพอร์ตเท่านั้น

บัญชี Credit Balance

Account บัญชีนี้ต้องวางเงินประกันค่อนข้างสูง ข้อดีคือมีสิทธิซื้อหุ้นก่อนแล้วโอนเงินจ่ายทีหลัง(ตามเวลาที่กำหนด) เพราะฉะนั้นเลือกให้ดีว่าจะเปิดบัญชีแบบไหน

การเล่นหุ้นซื้อขายหุ้นผ่านโบรกเกอร์ หรือตัวแทนนายหน้าที่บริษัทหลักทรัพย์อนุญาตก็ทำได้(ถ้าไม่แน่ใจว่าเก๋าพอ) โบรกเกอร์จะให้ความสะดวกในการให้ข้อมูลที่อัพเดทหรือข้อมูลพื้นฐานที่จะทำให้นักลงทุนสามารถประเมินมูลค่าของหุ้น โบรกเกอร์ปัจจุบันมีบทวิเคราะห์หุ้นให้กับนักลงทุนด้วย ก็สะดวกไปอีกแบบ เนื่องจากโบรกเกอร์เป็นคนกลางในการจัดการโอนเงินโอนหุ้นระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย การซื้อขายผ่านโบรกเกอร์จึงมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าการสั่งซื้อออนไลน์ด้วยตัวเอง

ปัจจุบันการซื้อขายหุ้นสามารถซื้อขายหุ้นออนไลน์ได้ด้วย สั่งซื้อขายหุ้นผ่านทางเว็บไซต์ได้ด้วยตัวเองก็สะดวกรวดเร็วไม่ต้องผ่านโบรกเกอร์ ข้อดีก็คือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับโบรกเกอร์ จะบอกได้ไหมว่าหุ้นตัวไหนควรซื้อหรือควรเล่น? เอาจริงก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญและจังหวะในการซื้อขายของผู้เล่นหุ้นด้วย ว่าหาข้อมูลหรือวิเคราะห์ได้เก่งแค่ไหน แต่อาจบอกได้คร่าวๆ สำหรับมือใหม่หรือคนไม่รู้ว่าถ้าจะเล่นหุ้น ต้องตอบและถามตัวเองให้ได้ว่าซื้อหุ้นตัวนี้ทำไม? แล้วจะขายเมื่อไหร่? ถึงมีความรู้พร้อม เงินถึงแล้ว เริ่มต้นก็ต้องสำรวจอะไรๆไว้บ้าง เช่น ราคาหุ้นในอดีต ข้อมูลพื้นฐานบริษัทที่เราอยากจะซื้อ เช่น ทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีผลการดำเนินงานที่ผ่านๆ มาเป็นอย่างไร มีเป้าหมายในอนาคตอย่างไร อะไรเป็นจุดอ่อนอะไรเป็นจุดแข็งของธุรกิจบริษัทนี้ งบการเงิน คณะกรรมการบริหาร ใครเป็นผู้บริหาร หุ้นมีปันผลไหม แนวโน้มการเติบโตในอนาคตเป็นอย่างไร ก็เป็นตัวช่วยดูและตัดสินใจว่าอยากซื้อหุ้นตัวไหนไว้ให้ทำเงิน หรือดูรายชื่อหุ้นได้จาก www.set.or.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (มีลิสต์รายชื่อให้ดูมากมายและแบ่งเป็นหมวดหมู่อุตสาหกรรมให้ด้วยดูง่ายเข้าใจง่าย) ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์มีหุ้นให้เลือกประมาณ 700 ตัวหรือเลือกศึกษาหุ้นที่เราคุ้นหูก่อน เช่น AOT ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย, CPALL ร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น, CPN ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, KBANKธนาคารกสิกรไทย, ADVANCเครือข่ายโทรศัพท์เอไอเอส, ITD รับเหมาก่อสร้างอิตาเลียนไทย, SPALI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมศุภาลัย, WORK ช่องโทรทัศน์เวิร์พอยท์ทีวี, SCCปูนซิเมนต์ไทย, PTTบริษัทปั๊มน้ำมัน, ICHI เครื่องดื่มอิชิตัน, CBG เครื่องดื่มคาราบาวแดง หรือ BDMS เจ้าของเครือโรงพยาบาล เป็นต้น (หุ้นแต่ละตัวมีชื่อย่อ นักลงทุนหรือใครคิดจะเล่นหุ้นก็ต้องแบ่งสมองเรียนรู้ชื่อย่อของแต่ละบริษัทหรือกิจการนั้นด้วยเพราะตัวย่อเต็มไปหมด)

แนวทางการเล่นหุ้นมี 2 แนวหลัก ที่เราต้องถามตัวเองว่าเป้าหมายและระยะเวลาในการลงทุนที่เราต้องการเป็นแบบไหน?

  • การลงทุนระยะสั้น เน้นกำไรจากราคาหุ้น เหมือนซื้อมาขายไป เห็นว่าราคาซื้อได้ซื้อ(ดูข้อมูลแล้ว) เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นก็ขายออกไป จะได้เงินตอบแทนก็คือส่วนต่างของราคา การเล่นหุ้นแบบนี้นิยมดูจากกราฟเทคนิค รวมถึงการอ่านค่าตัวเลขจากการซื้อขายหุ้น
  • การลงทุนระยะยาว หรือที่เรามักได้ยินเกี่ยวกับเงินปันผลก็มาจากเจ้าหุ้นการลงทุนแบบนี้แหละ จะซื้อหรือลงทุนหุ้น ก็ต้องมีการวิเคราะห์แนวโน้มของบริษัทว่าจะไปทิศทางไหน ต้องตรวจสอบงบการเงินของ

บริษัท คณะกรรมการบริหารจัดการของบริษัทนั้นๆ นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผลเป็นประจำทุกปี จัดพอร์ต ทำไมสำคัญ? เพราะถ้าเรารู้ว่าเราซื้อ ลงทุนตัวไหน หมวดหมู่ไหนอย่างน้อยลงทุนหุ้น 3-5 ตัว ถ้าคนละหมวดก็เป็นการกระจายความเสี่ยงได้ดี และถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งล้มก็ไม่ต้องเจ็บจนหมดตัว. ติดตามผลการลงทุนสม่ำเสมอ พูดง่ายๆ ก็คือมีการประเมินทั้งหุ้นและตัวเองเป็นระยะๆหุ้นตัวไหนไม่ดีขาย ตัวไหนดีหรือมีแนวโน้มที่ดีก็ซื้อ ••ไม่ว่าจะลงทุนเล่นหุ้นตัวไหนเเนวทางไหน ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเองความถนัดของตัวเองและ ก็จำเป็นต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจ “ทุกการลงทุน…มีความเสี่ยง!!” จึงต้องมีการประยุกต์ใช้ความรู้ความชำนาญในการเล่นหุ้นและจำเป็นต้องมีการสะสมเรียนความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ และติดตามข่าวสารทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ว่าจะเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่อาจกระทบต่อราคาหุ้นเพราะตลาดหุ้นผันผวนได้ตลอดเวลา.

ประโยชน์ของการเล่นหุ้น

  • มีอิสระ ไม่ต้องรอคำสั่งจากใคร สามารถจัดสรรเวลา ซื้อขายหุ้นได้ด้วยตัวเอง
  • ให้ผลตอบแทนสูง ถ้าลงทุนหรือเล่นหุ้นอย่างถูกวิธี รู้จักหุ้นที่ลงทุน ให้ดอกผลที่โตเร็วกว่าเงินเดือนมนุษย์เงินเดือนโดยไม่ต้องบุกเบิกเปิดธุรกิจเอง
  • ดูแลจัดการได้ ถ้าคุณมีความรู้เรื่องหุ้น สามารถลงทุนซื้อขายได้ด้วยตัวเองไม่ต้องง้อลูกน้อง
  • ไม่ต้องลงทุนเยอะ ใครบอกว่าเล่นหุ้นต้องใช้เงินเยอะ เงินหลักร้อยหลักพันเราก็สามารถเล่นหุ้นได้และสามารถเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทได้
  • ไม่ต้องเจอกับปัญหาหลายอย่าง ที่เจ้าของกิจการเจอ เช่น ลูกน้องไม่มาทำงาน พนักงานบัญชีดีๆไม่มี เพราะเราไม่ได้บริหารงานเอง เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัทฯลฯ

ถึงจะมีข้อดีหรือประโยชน์หลายข้อ แต่การเล่นหุ้นก็มีข้อเสียที่ต้องระวังด้วย ข้อเสีย

  • ราคาหุ้นผันผวนไปตามสภาวะตลาด เป็นสิ่งที่นักลงทุนไม่สามารถควบคุมได้ นี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายคนเครียด
  • ไม่สามารถกำหนดทิศทางหรือบริหารธุรกิจเองได้เพราะไม่ใช่เจ้าของกิจการ
  • เมื่อเข้าสู่ตลาดหุ้น หลายคนมักอยากได้กำไรมากๆเลยโลภมากไม่รู้ตัว (และอาจหมดตัว)

รู้เกี่ยวกับหุ้นบ้างแล้ว ถ้าคิดอย่างรอบคอบไม่เข้าข้างตัวเองเกินไปและคิดว่า มีความรู้เรื่องหุ้นยอมรับความเสี่ยงได้ ลุยเลย หากใครมีข้อสงสัยสามารถสอบถามผู้เชี่ยวชาญจาก MoneyDuck ได้ฟรี ที่ลิงก์ด้านล่าง