นี้เป็นคำถามที่น่าสนใจเลยก็ว่าได้ เคยมีใครคิดกันบ้างไหมในเรื่องแบบนี้ บางคนก็คิดไว้ตั้งแต่เริ่มทำงาน บางคนก็พึ่งมาเริ่มคิดทีหลัง หรือบางคนก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย แต่อยากจะบอกว่าคิดไว้สักหน่อยก็ดีนะ บางคนอาจจะมีครอบครัวแล้วก็อาจจะไม่จำเป็นแต่สำหรับบางคนที่ไม่คิดที่จะแต่งงานหรือมีครอบครัว การคิดเรื่องนี้ก็ไม่เสียหายอะไรเลย เพราะเหตุการณ์ในอนาคตของเรานั้นไม่สามารถที่จะกำหนดไว้ได้ จริงการคิดถึงแบบนี้อาจจะดีด้วยซ้ำ เราจะได้มีเวลาที่จะคิดคำนวณเรื่องค่าใช้จ่าย คำนวณระยะเวลาในการทำงานเก็บเงิน เพราะถ้าเราอยากได้บ้านพักที่ดีแบบมากๆมันก็จะราคาสูงในระดับนึงแต่แรกมาด้วยการบริการที่ดีเลิศก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่นะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบ้านพักก็หลายเกรดเช่นกัน เราอาจจะศึกษาปัจจัยในการเลือกบ้านพักที่ดีไว้ก่อนก็ได้ การได้ศึกษาไว้ก็จะช่วยให้เรานั้นมีความรู้และสามารถเลือกบ้านพักในอนาคตได้อย่างดีอีกด้วย แต่เราจะรู้ได้อย่างไงว่าต้องมีเงินเท่าไร ขอให้เรามีรู้ในเรื่องของปัจจัยต่างๆกันก่อนแล้วหลังจากนั้นจะมีตัวอย่างบ้านพักคนชรา พร้อมกับจำนวนเงินที่เราต้องมีมาให้ บทความนี้จะช่วยให้คุณรู็ว่าตัวเองควรจะมีเงินเก็บเท่าไรถึงจะสามารถอยู่ที่บ้านพักคนชราได้อย่างสบายใจ

ปัจจัยหลักของบ้านพักคนชรา

ปัจจัยหลักของบ้านพักคนชรา

บ้านพักคนชราถูกสร้างหรือถูกออกแบบมาเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุทางด้านของที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ซึ่งโดยส่วนมากก็จะเป็นผู้สูงอายุที่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือ เหตุจากปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาในการขาดการดูแล หรือว่าปัญหาที่จะถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งและกลัวว่าจะไปเป็นภาระให้กับลูกหลานเมื่ออายุมากขึ้น สาเหตุพวกนี้ทำให้มีผู้สูงอายุหลายคนเข้ามารับเอาบริการ โดยที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการต้องคำนึงและให้ความสำคัญในเรื่องของปัจจัย 4 เป็นหลัก ซึ่งก็คือ สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุเพื่อให้ได้ฟื้นฟูพัฒนาและให้ความรู้ พยายามทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจด้วยกิจกรรมต่างๆ

ความหมายของบ้านนั้น เราอาจจะต้องคำนึงถึง 2 ประเด็นหลักด้วยกัน นั้นก็คือ House หมายถึงตัวอาคารที่พักอาศัยหรือสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไรก็ตามที่ถูกกำหนดไว้แล้ว มีความหมายทางกายภาพ และอีกอย่างนึงคือ Home ที่มีความหมายถึงบ้านหรือพื้นที่ของอาคารที่พักที่มีลักษณะของสังคมเกิดขึ้น มีการเชื่อมโยงทางด้านจิตใจและมีกิจกรรมระหว่างบุคคลเกิดขึ้น ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นมีความแตกต่างกันในแง่ของมิติของสภาพแวดล้อมทางกายภาพและมิติทางด้านจิตใจ ซึ่งถ้าพูดถึงบ้านพักคนชราจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมี2 อย่างนี้รวมกันจึงจะสามารถพูดได้ว่าเป็นบ้านพักคนชราที่มีความสมบูรณ์ทั้งในเรื่องของด้านจิตใจและด้านของร่างกาย

การออกแบบบ้านพักคนชราหรืออาคารที่พักอาศัยคล้ายกันคือการคำนึงถึงลักษณะและจุดประสงค์ของสิ่งปลูกสร้าง ผู้ใช้งานจริง และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้ใช้งาน ที่จะส่งผลให้เกิดปัจจัยการรับรู้สภาพแวดล้อมทางกายภาพของผู้ใช้งาน สิ่งที่เราควรคำนึงในการออกแบบบ้านพักแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยหลักๆเลย ก็คือ ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และปฏิสัมพันธ์ที่ดี ปัจจัยพวกนี้จะช่วยเราให้สามารถเลือกบ้านพักได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ผู้สูงอายุต้องการ หรือเราในอนาคตต้องการ

โดยปกติผู้สูงอายุมักจะชอบยึดติดกับความคิดและเหตุผลของตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว จึงทำให้การเรียนรู้อะไรใหม่ๆเป็นไปได้ยาก เพราะเกิดจากความไม่มั่นใจในการปรับตัว การแสดงออกทางด้านอารมณ์ แสดงออกในลักษณะของความท้อแท้ น้อยใจ หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย และซึมเศร้า สนใจสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวน้อยลง ผู้สูงอายุมักจะสนใจเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองมากกว่าเรื่องของคนอื่น และไม่ต้องการที่จะไปเป็นภาระให้กับใครก็ตาม เพราะอาจจะพึ่งพาตัวเองได้ยากนี้เลยเป็นเหตุผลนึงในการใช้บริการบ้านพักคนชรา

บ้านพักที่ดีนั้นจะต้องมีการคำนึงถึง 3 ปัจจัย อย่างแรกก็คือในเรื่องของความปลอดภัยของผู้สูงอายุก่อนเสมอนอกเหนือจากความสวยงาม ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุนั้นสามารถเดินได้อย่างสะดวกไหม พื้นแบบนี้อาจทำให้หกล้มง่ายไหม เก้าอี้ล้อสามารถที่จะใช้กับสภาพพื้นแบบนี้ได้ไหม หรือทางเดินมีแสงสว่างพอไหม นอกจากนั้นก็ควรมีการคำนึงถึงเรื่องการอยู่อย่างสบาย มีการใช้สอยที่เกิดประโยชน์สูงสุด มีกิจกรรมที่ดี มีอิสระ อาหารต้องมีคุณภาพ และอีกอย่างขององค์ประกอบที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำให้ผ้สูงอายุมีความรู็สึกเห็นคุณค่าของตัวเองและเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด

ปัจจัยที่สองที่ควรคำนึงคือความเป็นส่วนตัว ซึ่งหมายถึงการได้อยู่คนเดียวแต่อาจจะรวมถึงการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเพื่อที่จะทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม สภาวะความเป็นส่วนตัวนั้นถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างอาณาเขต เพื่อการพักผ่อนหรือได้นั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ เช่น มีการจัดพื้นที่สำหรับการพักผ่อน การทำกิจกรรมต่างๆ ที่มีการจำกัดจำนวนบุคคล โดยที่กิจกรรมต่างๆนี้ต้องไม่เป็นการบีบบังคับให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบมากจนเกินไป โดยที่อาจจะสามารถให้ทำกิจกรรมส่วนตัวได้อย่างอิสระ สามารถเลือกทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจได้

และอย่างสุดท้ายที่ควรคำนึงก็คือปฏิสัมพันธ์ สังคมของผู้สูงอายุและความต้องการในการใช้พื้นที่ในสังคงจะลดน้อยลงเนื่องจากร่างการที่เปลี่ยนไป การที่อายุมากขึ้น นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง 3 ด้านใหญ่ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ และการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม สังคมที่ดีนั้นจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและยังช่วยลดความต้องการความเป็นส่วนตัวได้ในบางครั้งอีกด้วย

จำนวนเงินที่ควรมี

จำนวนเงินที่ควรมี

ค่าใช้จ่ายสำหรับบ้านพักคนชรา มักจะแบ่งออกเป็น 2 ก้อนใหญ่ๆ โดยที่ก้อนแรก คือ เงินแรกเข้าไปอยู่ หรือเงินที่ใช้สำหรับการซื้อทรัพย์สิน พูดง่ายๆก็คือ หากเราจะเข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชรา เรานั้นจะต้องจ่ายเงินก้อนแรกก่อน มันจะคล้ายกับเป็นการเซ้งหรือซื้อทรัพย์นั้นก่อน ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ บ้านพักคนชราของภาคเอกชนที่จะมีการขายเป็นแบบยูนิต ดังนั้นเราจึงต้องซื้อก่อนที่เราเข้าไปอยู่อาศัย เงินตรงนี้ที่เรามีอยู่ก็ผันแปรไปตามคุณภาพบ้านพัก

และในส่วนของก้อนต่อมาก็คือ เงินที่เราจะต้องใช้จ่ายประจำรายเดือน ถึงแม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านพักคนชรา แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีการแบบเหมาครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดชีวิต ผู้เข้าพักหรืออยู่อาศัยก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องจ่ายค่ารายเดือนอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของค่าส่วนกลาง ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจิปาถะต่างๆ ซึ่งในส่วนของตรงนี้เราก็ควรจะเตรียมไว้อย่างน้อยเดือนละ 10,000 บาท หรือ 15,000 บาท

จากนี้จะเป็นตัวอย่างบ้านพักที่เราได้นำมาเป็นตัวอย่างในเรื่องของราคาบ้านพักคนชรา ค่าใช้จ่ายบ้านของบางแค บ้านบางแค คือ บ้านพักคนชราที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล โดยที่ห้องพักจะมี 2 แบบ คือ แบบหอพัก และแบบบังกะโล ราคาในส่วนของแบบหอพักค่าบริการจะอยู่ที่คนละ 1,500 บาทต่อเดือน แบบบังกะโลจะแพงขึ้นมาหน่อยเพราะจะมีค่าบำรุงแรกเข้า 300,000 บาท และค่าห้องจะจ่ายอยู่ที่เดือนละ 1,500 บาทต่อคน ส่วนค่าน้ำประปาคนละ 100 บาทต่อเดือน และค่าไฟฟ้านั้นจะจ่ายตามความจริงที่เราใช้

ต่อมาคือค่าใช้จ่ายของบ้านสวางคนิเวศ บ้านสวางคนิเวศ คือ บ้านพักคนชราที่อยู่ภายใต้การดูแลของ สภากาชาดไทย ซึ่งผู้ที่จะเข้าอยู่อาศัยต้องเสียเงินซื้อห้องพักตลอดชีพในราคาประมาณ 1.2 ล้านบาท นอกจากนั้นยังจะมีค่าใช้จ่ายรายเดือนอีกประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน

และสุดท้ายนี้คือค่าใช้จ่ายของบ้านพักคนชราเอกชน บ้านพักคนชราเอกชนส่วนใหญ่ จะมีลักษณะเป็นโครงการพักอาศัยที่เอื้ออำนวยต่อผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอำนายความสะดวกภายในบ้าน สถานพยาบาลในโครงการ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้อาศัยก็เหมือนอยู่ในหมู่บ้านหรือคอนโดมิเนียมตามปกติ ผู้อาศัยต้องเสียเงินค่าซื้อทรัพย์ก้อนแรก และมีค่ากินอยู่รายเดือนทั่วไปเหมือนปกติ เพียงแต่สภาพแวดล้อมในโครงการจะเอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุมากกว่า ราคาทรัพย์มีหลายระดับราคา ไล่ตั้งแต่ระดับ 1 ล้านเศษ ไปจนถึงหลัก 10 ล้าน อาจจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เอื้ออำนวยแล้วนั้น ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว

เงินเท่าไรถึงจะพอ

เงินเท่าไรถึงจะพอ

สรุปง่ายๆแล้วคือเราควรจะเตรียมไว้สำหรับเงินก้อนแรกเพื่อไว้ซื้อทรัพย์ประมาณ 1 – 10 ล้าน (ยกเว้นการอยู่ห้องพักบ้านบางแค) ต่อมาก็คือเงินก้อนที่ 2 เงินที่ไว้ใช้สำหรับในแต่ละเดือน ตกประมาณเดือนละ  10,000 บาท หากเราลงทุนได้ปีละ 5% ก็ต้องเตรียมเงินก้อนไว้สักประมาณ 2.4 ล้านบาทได้ ส่วนเงินก้อนสุดท้าย คือ เงินสำหรับดูแลรักษาพยายาลตัวเราเอง ในส่วนของตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับประกันชีวิตและประกันสุขภาพที่เราได้ทำไว้ แต่ถ้าพูดถึงโดยภาพรวมแล้ว หากเราอยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักคนชราระดับปานกลางได้แบบสบายๆ เราก็ควรที่จะมีเงินเตรียมเอาไว้อย่างน้อยสัก 5 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย และควรจะมีความรู้ด้านการลงทุนประกอบเอาไว้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็อยู่ที่เราแล้วว่าเรานั้นอยากที่จะอยู่บ้านพักในระดับไหน ถ้าอยากอยู่ดีๆหน่อยเราก็ต้องจ่ายแพง แต่ถ้าแลกกับความสะดวกสบายแล้วก็ถือว่าคุ้มอยู่พอสมควร แต่ถ้าเราอยากอยู่ในระดับราคาที่ไม่สูงมากนักก็ได้เหมือนกัน จะไม่ขอแนะนำในเลือกระดับความสบายเพราะในส่วนของตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้เข้าอาศัย จะไม่ขอเสนอแต่ถ้าพูดถึงเรา ตอนนี้เราถือว่าเราทำงานอย่างนักในตอนชราก็อยากจะอยู่บ้านแบบสบายๆ เราคงจะไม่เสียดายเงินที่เราเก็บหรอก เพราะก็เหมือนกับการได้เอาเงินไปพักผ่อนแบบระยะยาวนั้นเอง ถือว่าคุ้มค่ากับการเหนื่อยมาตลอดในชีวิตที่ยังแข็งแรงนี้