ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราทุกคนต้องมีชีวิตอยู่กับการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นทุกวัน บทความนี้จะมาให้ข้อมูลของเทคดนโลยีทางการเงินเรื่องหนึ่ง คือ Blockchain ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นมาตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยที่ก้าวกระโดด ซึ่งจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อระบบธนาคารที่คุณทุกคนใช้บริการกันอยู่ ผู้ก่อตั้งหรือให้กำเนิด Blockchain นั้นก็คือบุคคลที่ไม่เปิดเผยตัวที่ใช้นามว่า Satoshi nakamoto หรือที่ใครหลายคนอาจจะเคยได้ยินว่าเขาผุ้นี้เป้นพ่อหรือบิดาแห่งเหรียญคริปดตเคอร์เรนนามว่า Bitcoin ที่เป็นเหรียญหรือเป็นอีกหนึ่งชื่อของสกุลเงินดิจิตอลที่หลายคนรู้จักกันดีและเคยได้ยินมาบ้าง แต่เรื่องของ Blockchain คืออะไร นี้จะเชื่อมโยงกับเรื่องอะไรอีกบ้างที่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตของคุณเรามาเริ่มดูกันว่า Blockchain คืออะไร? มีคุณสมบัติอย่างไร? ดีและไม่ดีอย่างไรบ้าง?

Blockchain คืออะไร?

Blockchain คืออะไร?

มีการเปรียบเทียบ Blockchain เป็นเหมือนโซ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลไว้และกระจายออกไปตามห่วงโซ่นั้นๆที่มีการนำมาต่อๆกันแต่จะไม่มีใครสามารถจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงข้อมูลเหล่านั้นได้ และเจ้า Blockchain ตัวนี้นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เงินดิจิตอล อย่างเช่น Bitcoin เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับสกุลเงินพวกเงินดิจิตอลเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ เพราะใรวงการการงเนและวงการอุตสหกรรมอื่นๆก็ได้ทำเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้งานด้วยเพื่อทำประโยชน์มากขึ้นให้กับสถาบันและธุรกิจของตนและตอนนี้ก็กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นทุกๆวัน ยังมีการเรียก Blockchain ว่าเป็นเสมือน ทองคำดิจิตอล ซึ่งคุณทราบกันมั้ยคะว่าทำไมถึงมีการพูดถึง Blockchain แบบนั้นก็เพราะว่าปัจจุบันนี้ Blockchain มีมูลค่ามากมายถึง 1.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมีความรู้เอาไว้บ้างเพื่อพร้อมกับบริการต่างๆที่จะเข้ามาพร้อมกับเจ้า Blockchain ตัวนี้

Blockchain ไม่ใช่ Bitcoin แต่เป็น Technical Termคือเป็นรูปแบบการเก็บข้อมูล Database แบบหนึ่งที่ไม่มีระบบศูนย์กลางแต่น่าเชื่อถือและเข้ามาโกงได้ยาก ในเรื่องของ Blockchain นั้นถึงแม้จะอธิบายอย่างไรก็ดูว่าจะลึกลับซับซ้อนเข้าใจยาก นอกจากว่าคุณจะมีดอกาสได้ใช้งานมันนั่นเอง เพราะไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ซับซ้อนอยู่ดีไม่ว่าจะพูดสั้นหรือยาวๆก็ตามแต่ถ้าคุณไม่รู้ข้อมูลชัดเจนก็สามารถใช้งานเจ้า Blockchain ตัวนี้ได้นะคะซึ่งจะเหมาะมากกับผู้ประกอบการ นักธุรกิจ แต่อันดับแรกก็ต้องแย Blockchain ออกจาก Bitcoin ก่อนนะคะเพราะไม่ใช่อันเดียวกันเพื่อจะเข้าใจและแยกออกก็ต้องอธิบายสั้นๆก่อนว่า Bitcoin คืออะไร

Bitcoin ก็คือ สกุลเงินดิจิตอลเปรียบเหมือนเหรียญทองคำ เป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายได้มีราคาขึ้นและลงตามราคาตลาด

Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin หรือเปรียบเทียบเหมือน ปลั๊กไฟเป็นเทคโนลยีที่อยู่เบื้องหลังหลอดไฟนั่นเอง

คราวนี้คงพอจะแยกออกกันแล้วนะคะว่าต่างกันอย่างไร?

แต่ถึงแม้ Bitcoin จะถูกยร้างมาให้ใช้เทคโนโลยี Blockchain แต่ Blockchain ก็สามารถนำไปใช้กับอย่างอื่นได้อีกด้วยไม่จำเป็นต้องใช้กับเหรียญ Bitcoin เท่านั้นถ้าจะกลับไปเปรียบเทียบกับปลั๊กไฟอีกก็เมือนว่าเราสามารถเอาหัวปล๊กตัวนี้ไปเสียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นได้อีกให้เกิดการใช้งานที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นปลั๊กที่เสียบกับหลอดไฟเท่านั้น

Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่เป็นเหมือนบัญชีเก็บข้อมูลดิจิตอลที่มีอิสระมากสามารถเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินได้ในวงกว้างและสามารถเก็บข้อมูลอื่นได้อีก

เพราะอะไรถึงบอกได้แบบนั้น ก็เพราะว่า Blockchain สามารถเข้าถึงข้อมูลของทุกคนได้เป็นข้อมูลที่เป็นสาธารณะที่สามารถเข้ามาทำการตรวจสอบได้ อาจจะฟังดูเหมือนไม่ค่อยปลอดภัยแต่จริงแล้วมีความปลอดภัย เพราะข้อมูลตรงนี้จะไม่มีส่วนกลางมาควบคุมหรือปกป้อง นักแอ็คข้อมูลทั้งหลายตะทำงานยากกว่าเพราะไม่มีจุดที่จะเข้ามาเริ่มโจมตีข้อมูลได้ เพราะเมื่อมีนักแฮ็คเข้ามาสิ่งต่างในข้อมูลเลห่านี้ก็จะมีต้องเป็นการเข้าถึงข้อมูลที่กว้างทำให้และในขอบเขตที่กว้างใหญ่จึงสามารถทำได้ยากเพราะข้อมูลทุกอย่างส่งถึงกันไปทั่ว ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับข้อมูลก็จะสามารถหาตัวนักแฮ็คได้ง่ายกว่า

Blockchain สามารถตรวจสอบได้

ในเรื่องของการตรวจสอบข้อมูลนั้นบอกเลยว่า เป็นการตรวจสอบที่ตรวจสอบได้ง่ายแต่ก็คงไว้ซึ่งความปลอดภับ มีการยกตัวอย่างการใช้ Blockchain ดังนี้ เปรียบเทียบเหมือนกับการเข้าไปใช้งาน Microsoft Word บน Google Document เมื่อเราทำงานหรือใส่ข้อมูลลงไปใน Word เราสามารถแชร์เอกสารไปถึงผู้อื่นได้เพื่อให้เขาได้อ่านและสามารถแกไขได้ แต่คนอื่นจะสามารถเข้าถึงได้ก็ต้องได้รับการส่งจากเราก่อน และจะไม่มีการเข้ามาทำอะไรกับข้อมูลได้ในเวลาเดียวกันทั้งสองฝ่าย นี้ก็คล้ายกับระบบของธนาคารในทุกวันนี้ทางออนไลน์ ธนาคารจะมีการล็อคการเข้าถึงไว้และเมื่อมีการทำธุรกรรมทางการเงินก็จะเปิดข้อมูลให้คนที่เป็นเข้าของบัญชีเท่านั้นสามารถทำได้

การตวรจสอบข้อมูลของ Blockchain มีการใช้เครือข่ายโหนด ( Node ) มาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Blockchain โดยใช้ Client เพื่อเข้ามาทำการตรวจสอบความถูกต้องและส่งต่อข้อมูลการทำธุรกรรม node จะได้รับสำเนาของ Blockchain ที่ดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติเมื่อมันเข้าไปอยู่บนเครือข่าย Blockchain และ Node นี่แหละจะเป็นผู้ดุแล Blockchain โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับส่วนกลาง

อย่างที่บอกมาแล้วว่า เทคโนโลยี Blockchain นี้เป็นการกระจายข้อมูลที่ไม่ขึ้นอยู่กับส่วนกลางอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบน Blockchain นั้นคือการทำงานของเครือข่ายโดยรวมซึ่งนอกจากการใช้ระบบนี้เพื่อการเงินส่วนตัวแล้วยังเป็นการใช้ระบบนี้เพื่อข้อมูลในการทำธุรกิจด้วยเพื่อจะมีการตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นเป็นการกระจายข้อมูลรูปแบบใหม่ เช่น จะทำให้การซื้อขาออนไลนืต่างๆหรือแม้แต่การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สามารถทำพร้อมกัยได้ทั้งหมด

มีความปลอดภัยที่มากกว่า

มีการเปรียบเทียบอีกว่า Blockchain เป็นเหมือนกับระบบอินเติร์เน็ตที่มีความทนทานสูงมากเพราะข้อมูลที่อยู่ใน Blockchain จะไม่ถูกควบคุมโดยใครคนใดคนหนึ่ง และมีข้อผิดพลาดจุดใดจุดหนึ่งก็จะไม่ส่งผลต้อระบบทั้งหมด ตั้งแต่มีการเริ่มต้นการใช้ Blockchain ของ Bitcoin ในปี 2008 ก็ไม่เคยจะมีรายงานว่าเกิดข้อผิดพลาดที่ทำให้ระบบล้มเหลวเลย แต่ในปัจจุบันนั้นก็จะมีเรื่องเดียวที่มีปัญหาก็คือ Human error หรือเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากฝีมือของคนใดคนหนึ่ง เช่น การแฮ้คเว็บไซด์ของผู้ที่ให้บริการซื้อขายเหรียยดิจิตอล แต่ไม่ใช่การเจาะระบบ Blockchain นะคะ

Blockchain มีความโปร่งใสทางเทคโนโลยีอย่างมากจึงเป็นที่นิยมในการนำมาใช้งานมีส่วนดีดังนี้

  • มีความโปร่งใสของข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ในที่สาธารณะ

  • แต่ข้อมูลจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้เพราะถ้าจะเปลี่ยนแปลงต้องใช้พลังงานประมวลที่มหาศาลเพื่อจะไบลล้างข้อมูลในที่อื่นๆในเครืองข่ายที่กว้างด้วย

ถ้าการทำแบบนี้เป็นไปในทางทฤษฎีก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการแฮ็คเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลแต่ถ้าเป็นในทางปฏิบัตินั้นทำได้ยากมาก เพราะการเข้าไปในข้อมูล Blockchain เพื่อทำการขโมยเหรียญ Bitcoin นั้นต้องใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าที่จะเข้าไปประมวลผลคอมพิเตอร์ที่มากกว่าหนึ่งประเทศอีก ดังนั้นจึงมีความปลอดภัยอย่างมาก

เทคโนโลยี Blockchain มีความปลอดภัยที่มากขึ้นอยู่เรื่อยๆ การกระจาข้อมูลที่อยู่บนเครือข่ายทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าจะไม่มีความเสี่ยง เพราะข้อมูลไม่มีจุดส่วนกลางทำให้นักแฮ็คเกอร์ไม่มีฐานข้องมูลที่เข้ามาถึงได้ง่ายๆ ปกติบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะมีการใช้ Password หรือ Username เพื่อช่วยป้องกันข้อมูลไม่ให้รั่วไหล แต่ระบบ Blockchain จะมาเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้นไปอีกเพราะการรักษาความปลอดภับของ Blockchain นั้นใช้เทคโนโลยีที่ต้องเข้ารหัส Encryption technology หรือที่เรียกว่า Key ตัว Public Key ที่จะระบุ address ของผู้ใช้ที่อยู่บน Blockchain และ Bitcoin

เลเวลที่สอง คือ Blockchain นี้จะทำให้เว็บไวด์มรเลเยอร์มากขึ้นโดยมีฟังก์ชั่นการทำงานตัวใหม่เกิดขึ้นมา ปัจจุบันนี้ผู้ใช้งาน Bitcoin สามารถส่งเงินไปมาหากัยเองดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง แต่ Blockchain ทำให้การทำธุรกิจทางอินเตอร์เน็ตนั้นพึ่งพาสถาบันการเงินและระบบเก่านั้นน้อยลงไป เทคโนโลยี Blockchain ทำให้ผู้ที่ใช้บริการสามารถสร้างมูลค่าของเงินและธุรกิจได้ เพราะสามารถตั้งโปรแกรมการทำงานที่ทำตามเป้าหมายได้ เช่น ทำให้การสั่งจ่ายตราสารเป็นไปแบบอัตโนมัติ

เมื่ออ่านมาแล้วก็ดูดีไม่ใช่น้อยกับเทคโนโลยีใหม่นี้ ที่วัหนึ่งทุกคนจะมีศูนย์กลางข้อมูลที่อยู่ในมือได้โดยที่ไม่ผ่านศูนย์กลาง เพราะการที่เราฝากเงินทั้งชีวิไว้ในระบบธนาคารอย่างเดียวทุกวันนี้ก็ไม่ปอดภัยสักเท่าไหร่แล้วหลายคนคงจะเห็นด้วยแน่ๆ เพราะเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้นแต่การมี ดังนั้นการเลือกใช้เทคโนโลยี Blockchain จึงเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก และทุกวันนี้ใครๆก็อยากได้ความปลอดภัยกันทั้งนั้นโดนเฉพาะทางการเงิน ด้วยความที่ Blockchain มีความปลอดภัยที่สูงข้อมูลต่างๆที่อยู่ที่นั่นก็ปลอดภัยจึงเหมาะมากที่จะนำไปใช้ในงานด้านอุตสหกรรมใครสนใจก็ลองหาข้อมูเพื่อใช้บริการได้นะคะ