หากพูดถึงการลงทุนในปัจจุบันนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินกับธนาคารเพื่อเอาดอกเบี้ย การซื้อพันธบัตร หรือตราสารหนี้ หรือการเทรดหุ้น รวมถึงการลงทุนพวกบิทคอยน์ เทรดเหรียญคลิปโต หรือ NFT ก็ถือเป็นการลงทุนซึ่งแต่ละรูปแบบมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไปซึ่งในวันนี้ MoneyDuck! จะแนะนำเกี่ยวกับการกองทุนรวม (Mutual Fund) ซึ่งจะมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรและควรเลือกกองทุนตัวไหน วันนี้มีคำตอบ

https://img.moneyduck.com/article_attachment/1658125778-Untitled%20%281%29.png

กองทุนรวม คืออะไร

กองทุนรวม คืออะไร

กองทุนรวม (Mutual Fund) จะเป็นการระดมเงินจากนักลงทุนหลาย ๆ รายมารวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการทุน หรือ บลจ. ที่เราคุ้นหูกันนั้นจะเป็นผู้ทำหน้าที่ระดมเงินไปเข้ากองทุนเพื่อจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและนำเงินทุนทั้งหมดที่ได้มาจากการระดมทุนนั้นไปลงทุนตามนโยบายที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน

นักลงทุนก็จะได้รับการจัดสรรตาม “หน่วยลงทุน” เพื่อแสดงฐานะความเป็นเจ้าของเงินนั้นจึงจะถูกเรียกว่า ผู้ถือหน่วยทุน

โดยการกองทุนรวมที่เสนอขายครั้งแรกจะให้ราคา IPO : Initial Public Offering ซึ่งจะมีราคาตามที่กำหนดยกตัวอย่างเช่นที่หน่วยลงทุนละ 10 บาท ซึ่งถ้าเราซื้อกองทุนที่ 100,000 บาท จะได้รับหน่วยลงทุนอยู่ที่ 10,000 หน่วยซึ่งก่อนจะลงทุนบลจ. จะมีหนังสือชี้ชวนให้ผู้ลงทุนศึกษาเงื่อนไขและบริการก่อนตัดสินใจ

ประเภทของกองทุนรวม

กองทุนรวมนั้นมีหลายประเภท ผู้ลงทุนจึงจำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจแต่ละกองทุนซึ่งเราได้แบ่งย่อยออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้

  1. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) จะเป็นการลงทุนในตลาดเงินฝาก หรือลงทุนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีซึ่งจัดเป็นกองทุนที่มีความผันผวนต่ำสุดเมื่อเทียบกับผลตอบแทนระยะยาวในกองทุนแบบอื่น ๆ จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการรับความผันผวนในการลงทุน
  2. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) จะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตั๋วคลังเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้ของเอกชนซึ่งมีความเสี่ยงและผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าเงินฝากประจำซึ่งเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ
  3. กองทุนรวมผสม (Balanced Fund) จะมีนโยบายการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงเพื่อสร้างโอกาสและผลการตอบแทน แต่จำกัดความเสี่ยงให้น้อยลง โดยทั่วไปจะกำหนดให้ลงทุนตราสารทุนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 35% แต่ไม่เกิน 65% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิจึงเหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
  4. กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) จะเป็นการลงทุนในตราสารทุนต่าง ๆ เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบแสดงสำคัญในการซื้อขายหลักทรัพย์ (warranty) รวมถึงหน่วยลงทุนอื่น ๆ ตามที่กลต. กำหนดซึ่งเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจึงเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง
  5. กองทุนหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) มีนโยบายในการลงทุนในหุ้นสามัญจดทะเบียนในหลักทรัพย์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาวซึ่งในอดีตเคยได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี แต่สิ้นสุดลงเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา
  6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) จะเป็นกองทุนที่เน้นสะสมเงินไว้ใช้ยามเกษียณโดยมีนโยบายในการลงทุนหลากหลายตั้งแต่ความเสี่ยงอย่าง ตลาดเงิน ตราสารหนี้ ไปจนถึงความเสี่ยงที่ค่อนข้าง อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ

หากเรียงลำดับกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงไปยังต่ำจะได้แก่ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม กองทุนรวมตราสารทุนและจะเป็นรูปแบบกองทุนเน้นลงทุนระยะยาว LMF และ RMF

ลงทุนครึ่งปีหลัง 2565 เลือกกองทุนรวมตัวไหนดี

ทิ้งท้ายกันด้วยการเลือกกองทุนสำหรับลงทุนในครึ่งปีหลัง 65 จากการจัดลำดับ 4 ธีมการลงทุนเพื่อโอกาสการเติบโตจาก SCB ดังนี้

  1. กลุ่มเมกะเทรนด์ (Megatrend) คือ กลุ่มที่มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ วัฒนธรรม หรือความเป็นอยู่ของผู้คน โดยกองทุนเปิดที่แนะนำในกลุ่มนี้จาก SCB คือ SCBMEGA(A) ซึ่งมีระดับความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ระดับ 6
  2. กลุ่มรักษ์โลก (Sustainable) คือ ธีมการลงทุนในหุ้นที่ยั่งยืนที่มีการดำเนินการเชิงบวกทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม SCBGEESGA หรือกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่เราคุ้นหูกันในกลุ่มรถ EV ที่คาดว่าจะมีการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลกระยะยาว SCBEV(A) และในกลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทนที่มีโอกาสเติบโตสูงและยั่งยืน SCBCLEANA ซึ่งทั้ง 3 กองทุนมีระดับความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ระดับ 6
  3. กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) คือกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจเทคโนโลยีบลอกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นระบบธุรกิจที่พึ่งรู้จักกันมาไม่นานแต่ให้ผลการตอบแทนที่น่าจับตามอง แต่ความเสี่ยงก็ค่อนข้างสูงในระดับ 6 SCBBLOC(A) หรือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Semiconductor คือส่วนประกอบสำคัญของนวัตกรรมยุคใหม่ อาทิ ยานยนต์ หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เครือข่าย 5G หรือ IoT ที่มีระดับความเสี่ยง 7 SCBSEMI(A)
  4. กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสุุขภาพกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างมากหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย SCBIHEALTH(A) จะเน้นลงทุนในนวัตกรรมสุขภาพ Health innovation ที่แตกต่างจากทางการแพทย์แบบดั้งเดิม หรือ SCBGHC & SCBGHCA จะเน้นลงทุนทั้งกลุ่ม Pharmaceuticals, Biotechnology และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ซึ่งทั้ง 2 กองทุนนั่นค่อนข้างมีความใหม่เนื่องจากใช้นวัตกรรมเป็นหลักทำให้มีระดับความเสี่ยงค่อนข้างสูงโดยอยู่ที่ระดับ 7

https://img.moneyduck.com/article_attachment/1658125772-Untitled%20%282%29.png

ทั้ง 4 ธีมสำคัญ ได้แก่ กลุ่มเมกะเทรนด์ กลุ่มรักษ์โลก กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสุขภาพล้วนเป็นกลุ่มเทรนด์ที่มองเห็นโอกาสในการลงทุนแบบระยะยาวในอนาคตซึ่งจะมีการแยกย่อยกองทุนในแต่ละธีมออกมาตามความต้องการของผู้ลงทุน โดย SCB เปิดให้มีจำนวนซื้อขายขั้นต่ำที่ 1,000 บาท

กองทุนรวม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่สามารถเลือกผลตอบแทนและรับระดับความเสี่ยงได้ตั้งแต่ระดับต่ำ - สูง แต่ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าผลิตภัณฑ์จากหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุนและท่านสามารถรับคำปรึกษากับ MoneyDuck! ฟรี เพื่อช่วยลดการสูญเสียเงินต้น สร้างกำไรหากได้รับการวางแผนที่ดีจากทีมผู้เชี่ยวชาญ