บัตรเดบิต คืออะไร

บัตรเดบิต คืออะไร

บัตรเดบิตคือ บัตรที่ใช้ทำธุรกรรมการเงินต่างๆจากบัญชีเงินฝาก อย่างเช่นการ กดเงินสดจากตู้ ATM การโอนเงิน การฝากเงิน ทั้งจากจากตู้ ATM และ Internet Banking และบัตรเดบิตยังสามารถนำไปรูดซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้า หรือซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ด้วยวิธีการหักเงินจากบัญชีที่ผูกกับบัตรเดบิตใบนั้น ซึ่งบัตรเดบิตนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในทุกวันนี้ เนื่องจากสามารถนำมาทำธุรกรรมการเงินได้หลากหลาย ใช้งานสะดวก และรวดเร็ว ธนาคารต่างๆจึงนิยมออกบัตรเดบิตให้ลูกค้าที่มาเปิดบัญชีเป็นส่วนใหญ่ เพื่อความสะดวกทางด้านการเงินต่างๆ

ห้างร้านที่สามารถใช้บัตรเดบิตรูดซื้อสินค้าได้คือ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังต่างๆ อย่างเช่น ฺBig C / Tesco Lotus / Central Festival เป็นต้น หรือตามร้านอาหาร ร้านต่างในห้างสรรพสินค้าที่มีสัญลักรับบัตร Visa และ Mastercard ดังนั้นก่อนใช้งานบัตรเดบิตรูดซื้อสินค้าหรือบริการควรตรวจดูให้แน่ใจว่าบัตรที่ถืออยู่นั้นเป็นบัตรเดบิตรูปแบบไหน

บัตรเดบิต มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง

ทุกวันนี้หลายคนก็ใช้บัตรเดบิตเมื่อ โอนเงิน ถอนเงิน หรือซื้อสินค้าไม่ว่าที่ร้านค้าหรือทางออนไลน์ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนไทยแล้ว แต่บัตรเดบิตนี่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้อย่างไร และมีข้อเสียอะไรบ้างไหม? ทาง MoneyDuck จะอธิบายเรื่องนี้ ให้เรามารู้จักบัตรเดบิตมากขึ้น

ข้อดีและข้อเสียของบัตรเดบิต

ข้อดีของบัตรเดบิต คือ สร้างความสะดวกสบายและรวดเร็วในการทำรายการด้านการเงินต่างๆ อย่างการถอนเงิน การโอนเงิน การฝากเงิน บัตรเดบิตสามารถทำธุรกรรมการเงินได้หลากหลายโดยที่ไม่ต้องเบิกเงินสด สามารถใช้เงินที่มีอยู่ในบัญชีธนาคารได้หลายช่องทางโดยที่ไม่ต้องกดเงินออกมา เช่น เมื่อซื้อสินค้าอะไรก็ตาม โดยใช้วิธีรูดผ่านเครื่องรูดบัตรตามร้านค้า หรือ การผูกบัตรเดบิตกับร้านค้าออนไลน์ต่างๆ หรือ การผูกบัตรเดบิตกับบัญชี และ Application ของธนาคารจะสามารถหักเงินจากบัญชีได้ทันทีโดยไม่ต้องกดเงินสดออกมา

เวลาจำเป็นต้องกดเงินสดก็สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะใช้กับตู้ ATM ของธนาคารต่างสาขาได้ทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แล้วสำหรับธนาคารในจังหวัดเดียวกัน แต่จะมีค่าธรรมเนียมถ้าเป็นบัญชีจากต่างจังหวัดเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับธนาคารนั้นๆได้กำหนดเอาไว้

ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินสดก็สะดวกมากแค่มีบัตรเดบิต ยิ่งกว่านั้นคือ บัตรเดบิตไม่มีทางทำให้เป็นหนี้ได้เลย เพราะเป็นการใช้เงินในบัญชีเจ้าของบัญชีเท่านั้น ไม่เหมือนบัตรเครดิตที่ใช้เงินจากวงเงินของธนาคาร การมีบัตรเดบิตจึงสร้างความสบายใจให้มากกว่า ค่าธรรมเนียมรายปีไม่เป็นภาระหนัก เมื่อมีบัญชีธนาคารจึงควรมีบัตรเดบิตด้วยเป็นทางเลือกที่ดีมาก ธุรกรรมการเงินจะกลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อเทียบกับบัญชีที่ไม่มีบัตรเดบิตแน่นอน

ข้อดีของบัตรเดบิตนั้นมีมากมายจริงๆ แม้ทุกวันนี้มีการนิยมใช้บัตรเครดิตมากกว่าในหลายๆเรื่อง แต่บัตรเดบิตก็สามารถใช้บริการหลายอย่างได้เหมือนบัตรเครดิตด้วย อย่างเรื่องของการชำระเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ไม่ใช่เพียงแต่บัตรเครดิตเท่านั้นที่ทำได้ บัตรเดบิตก็สามารถทำได้ด้วย หรือจะเป็นเรื่องของการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ และการชำระค่าบริการเครือข่ายมือถือก็สามารถทำได้ผ่านบัตรเดบิตเพียงแค่ผูกบัตรเดบิตเท่านั้น สะดวกไม่ต้องเดินทางไปไหน ที่จริงแล้วบัตรเดบิตก็มีส่วนลดให้ด้วยแม้ไม่มากมายเหมือนบัตรเครดิต แต่บัตรเดบิตก็ทำให้การใช้จ่ายปลอดภัยและควบคุมได้ง่ายกว่าบัตรเครดิตอยู่มาก

ข้อเสียของบัตรเดบิตก็มาพร้อมกับความสะดวกสบายได้ อย่างเช่น การผูกบัตรเดบิตกับร้านค้าออนไลน์ และ Application อาจจะทำให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือเกิดความไม่ปลอดภัยได้ถ้าร้านค้าออนไลน์นั้นเป็นมิจฉาชีพ ดังนั้นต้องระวังให้ดีก่อนจะให้ข้อมูลของบัตรเดบิต

บัตรเดบิตมีระบบอะไร

บัตรเดบิตมีระบบการทำงานคล้ายกับบัตร ATM และบัตรเคดิต ส่วนที่คล้ายกับบัตร ATM คือ สามารถนำไปกดเงินสด หรือโอนเงิน ฝากเงินได้ที่ตู้ ATM แต่บัตรเดบิตทำได้มากกว่านั้นคือสามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ในต่างประเทศได้ แต่บัตร ATM ใช้ได้แค่ในประเทศเท่านั้น ส่วนที่คล้ายกับบัตรเครดิตคือ บัตรเดบิตสามารถนำไปรูดซื้อสินค้าได้ และ ชำระสินค้าออนไลน์ได้ แต่วงเงินที่ใช้ในการซื้อนั้นมาจากวงเงินในบัญชีธนาคารที่ผูกกับบัตรเดบิตเมื่อมีการซื้อสินค้าจะหักเงินทันที ไม่เหมือนบัตรเครดิตที่ใช้วงเงินกู้จากธนาคารและมาผ่อนชำระภายหลังไม่มีการหักเงินจากบัญชีธนาคารโดยตรง ดังนั้นบัตรเดบิตจึงทำให้ผู้ใช้ไม่เป็นหนี้และคงบคุมการใช้จ่ายได้ดีกว่า แต่ในทุกๆการทำรายการต่างๆทางการเงินจะมีดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมเกิดขึ้นด้วย และจะแตกต่างกันไปในแต่ละรายการ จะว่าไปบัตรเดบิตมีระบคล้ายๆกับบัตรเครดิต แต่ต่างในเรื่องของที่มาของเงินที่ถูกหักจากการซื้อสินค้า หรือบริการนั้นๆ ซึ่งส่วนสำคัญของบัตรเดบิต และบัตรเครดิตอยู่ที่ หมายเลขบัตรด้านหน้า กับ หมายเลข CVV ด้านหลัง เหมือนกัน ข้อมูลเหล่านี้สำคัญในการนำไปใช้ทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆได้เหมือนกันทั้งบัตรเดบิตและบัตรเครดิต

บัตรเดบิตมีระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อทดแทนการใช้เงินสดโดยเฉพาะ จึงทำให้บัตรเดบิตมีคุณสมบัติที่ค่อนข้างจะครอบคลุมการทำธุรกรรมทางการเงินในหลายรูปแบบไม่แพ้เงินสด ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกแบบบัตรเดบิตออกมาให้มีคุณสมบัติเพื่อทดแทนเงินสดอย่างมากคงเพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่บัตรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์จะมีให้ได้ซึ่งในการใช้เงินสดนั้นไม่สามารถทำได้

ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของบัตรเดบิตก็กำลังพัฒนาไปเรื่อยเพื่อลดความผิดพลาดในการชำระเงินผ่านระบบด้วยเช่นกัน มาดูรายละเอียดเกี่ยวการใช้ระบบชำระเงินผ่านบัตรเดบิตระหว่างประเทศซึ่งมีขั้นตอนที่ต้องเรียนรู้ และทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง เมื่อต้องการชำระเงินข้ามประเทศ ต้องเริ่มจากการเปิดใช้งานระบบบริการการชำระเงินออนไลน์ก่อนไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นไปได้ที่จะไม่สามารถทำธุรกรรมการชำระเงินสำเร็จเพราะระบบไม่สามารถตรวจพบบัตรเดบิตของคุณ ดังนั้นถ้าต้องการใช้บริการชำระเงินะรหว่างประเทศควรจะเปิดระบบบริการชำระเงินออนไลน์เสียก่อน ซึ่งแต่ละธนาคารก็มีข้อกำหนด และเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป

ค่าธรรมเนียม บัตรเดบิตมีค่าธรรมเนียมในการใช้งานในหลายรายการด้วย เริ่มตั้งแต่ค่าธรรมเนียมรายปีที่จะต้องรู้ตั้งแต่แรกเมื่อเปิดใช้งานบัตรเดบิต บัตรเดบิตบางใบมีค่าธรรมเนียมแรกเข้าด้วย คือต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียมตั้งแต่วันแรกที่เปิดใช้งานนั่นเอง

ส่วนการใช้บัตรเดบิตสำหรับธุรกรรมการเงินต่างๆก็มีค่าธรรมเนียมด้วย ธุรกรรมทางการเงินอย่างเช่น การโอนเงิน การถอนเงิน การฝากเงิน แต่ปัจจุบันน้หลายๆธนาคารก็ได้ตัดค่าธรรมเนียมเหล่านี้ออกไปถ้ามีการทำธุรกรรมผ่านทางธนาคารที่เป็นเจ้าของบัตร แต่จะเสียค่าธรรมเนียมก็ต่อเมื่อทำธุรกรรม ฝาก โอน ถอน กับตู้ ATM ต่างธนาคารเท่านั้น และข้อมูลล่าสุดยิ่งกว่านั้นบัตรเดบิตบางใบสามารถ ฝาก โอน ถอน ต่างธนาคารได้แล้วดดยไม่มีค่าธรรมเนียมซึ่งมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นธนาคารในพื้นที่เดียวกันเท่านั้น หรือในจังหวัดเดียวกันเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ใช้บัตรเดบิตที่มีธนาคาร ก. เป็นเจ้าของ ไปกดเงินสดจากตู้ ATM ของธนาคาร ข. แต่อยู่ในจังหวัดเดียวกันแบบนี้ไม่เสียค่าธรรมเนียม ซึ่งเมื่อก่อนต้องเสียค่าธรรมเนียม 15-30 บาท

แต่ด้วยการพัฒนาของระบบธนาคารที่มากขึ้นเข้าใจลูกค้ามากขึ้นทำให้ค่าธรรมเนียมบางอย่างถูกยกเลิกออกไป และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้นผู้คนไม่ค่อยใช้บริการบัตรเดบิตโดยตรง แต่ใช้งานบัตรเดบิตผ่านทาง Application และ Internet Banking ของธนาคารมากขึ้นทำให้ค่าธรรมเนียมโยกย้ายไปอยู่ในระบบเหล่านั้นแทน อย่างเช่นการโอนเงินผ่าน Application ของธนาคารแต่ต่างธนาคารก็จะมีการคิดค่าธรรมเนียม 15-30 บาท แต่ก็ไม่ใช่ทุกธนาคารมีค่าธรรมเนียม บางธนาคารก็มีการยกเว้นในกรณีต่างๆ

ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นๆที่ต้องจ่ายเมื่อใช้งานบัตรเดบิต คือ การชำระค่าบริการต่างๆ การซื้อสินค้าออนไลน์ต่างๆ การชำระค่าที่พัก การชำระค่าตั๋วเครื่องบิน การชำระค่ารถโดยสาร ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีค่าธรรมเนียมด้วยกันทั้งนั้นเมื่อชำระผ่านบัตรเดบิต สำหรับบางคนอาจจะไม่เคยสนใจเรื่องของค่าธรรมเนียมมาก่อนเพราะถือว่าเป็นเงินเล็กน้อย แต่เมื่อการใช้งานบัตรเดบิตมีค่าธรรมเนียมเกือบจะทุกรายการแบบนี้คงต้องสนใจกันบ้าง เพราะการใช้งานผ่านบัตรเดบิตเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน และชำระผ่านระบบต่างๆในแบบที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม หรือเสียค่าธรรมเนียมน้อยลงก็มี อย่างเช่น การทำธุรกรรมผ่านธนาคารที่เป็นเจ้าของบัตรหมือนกัน และอยู่ในพื้นที่เดียวกัน การใช้ส่วนลดค่าธรรมเนียมต่างๆ การชำระเงินซื้อสินค้า ตั๋วเครื่องบินผ่านบัตรเดบิตในช่องทางที่มีค่าธรรมเนียมถูกที่สุด ทั้งหมดนี้คุณเลือกได้แต่ต้องศึกษาให้ดีอย่าประมาทกับค่าธรรมเนียม

บัตรเดบิตกับบัตรเครดิตต่างกันอย่างไร?

บัตรเดบิต กับบัตรเครดิตต่างกันตรงที่มาของเงินที่ใช้ผ่านบัตรทั้งสองใบนี้ สรุปง่ายๆคือ บัตรเครดิตใช้เงินที่มาจากอนาคต แต่บัตรเดบิตใช้เงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน รายละเอียดมีดังนี้ บัตรเครดิตใช้เงินจากอนาคตอย่างไร?

บัตรเครดิตเป็นบัตรที่มีวงเงินจำกัดตามที่ธนาคารผู้ออกบัตรกำหนดให้เท่านั้น เงินที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจึงเป็นเงินที่ไม่ใช่ของคุณเองแต่เป็นเงินของธนาคารผู้ออกบัตรซึ่งเมื่อถึงระยะเวลากำหนดคุณต้องชำระคืนเงินที่ใช้ผ่านบัตรเครดิตใบนั้นให้แก่ธนาคารผู้ออกบัตรตามที่ธนาคารแจ้งมา ทั้งทางจดหมาย และบิลเรียกเก็บแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือพูดอีกอย่างบัตรเครดิตก็คล้ายกับการกู้เงินแต่เป็นการกู้เงินที่มาในรูปแบบบัตรไม่ใช่เงินสด

ส่วนบัตรเดบิตไม่มีวงเงินจำกัด และไม่มีวงเงินที่อยู่ในบัตรแต่เป็นการใช้เงินที่ดึงมาจากบัญชีธนาคารของคุณ แทนที่จะกดออมาเป็นเงินสดก็เป็นการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตแทน จึงสามารถใช้เงินได้เท่าที่ต้องการตามจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีธนาคาร และไม่มีการชำระเงินคืนเมื่อถึงระยะเวลากำหนดแต่อย่างใด และไม่เรียกว่าการกู้เงิน แต่เป็นการใช้จ่ายเงินของคุณเองตามปกติ

ในเรื่องของค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยก็ต่างกันมาก บัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมหลายรายการมากกว่าบัตรเดบิตมากนักเพราะสามารถใช้จ่ายได้มากกว่าในรูปแบบการรูดซื้อสินค้า หรือการผูกบัตรกับระบบออนไลน์ต่างๆ ทำให้ทุกๆการใช้งานทุกๆรายการมีค่าธรรมเนียม และบัตรเครดิตยังมีดอกเบี้ยด้วยเพราะเป็นเสมือนเงินกู้ ถ้ามีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเกินวงเงินก็มีดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย ทำให้บัตรเครดิตมีโอกาสทำให้ผู้ใช้งานเป็นหนี้มากขึ้นได้ง่ายๆ บัตรเดบิตนั้นมีค่าธรรมเนียมเช่นกันแต่จะน้อยกว่ามากเพราะการใช้งานที่ทำธุรกรรมน้อยกว่าบัตรเครดิตและจำกัดมากกว่า โดยเฉพาะการซื้อสินค้าจะครอบคลุมเท่ากับบัตรเครดิต จึงมีค่าธรรมเนียมหลักๆอยู่ที่การฝากเงิน ถอนเงินและโอนเงิน เป็นต้น บัตรเดบิตไม่ก่อให้เกิดหนี้ หรือไม่เรียกผู้ใช้บัตรว่าเป็นหนี้เพราะใช้จ่ายเงินของตัวเองไม่ใช่เงินที่กู้มาจากธนาคารเหมือนบัตรเครดิต

สรุปแล้วว่าบัตรเดบิตมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานบัตรที่น้อยกว่าบัตรเครดิต เหมาะกับการทำธุรกรรมการเงินทางธนคารในรายการต่างๆ และเป็นการใช้เงินปัจจุบันของผู้ถือบัตรเองตามจำนวนเงินที่มีในบัญชีธนาคารนั้นๆ ส่วนบัตรเครดิตสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระมากกว่า และเหมาะกับการใช้จ่ายที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่มีค่าใช้จ่ายที่มากับบัตรเครดิตมากกว่า ถ้าไม่ระวังอาจจะเป็นหนี้ค้างชำระได้ง่ายๆเพราะความสะดวกสบายในการใช้จ่ายที่ไร้ขีดจำกัด ดังนั้นถึงแม้บัตรทั้งสองใบจะมีความคล้ายกันมาก แต่ก็ไม่เหมือนกันเลย คุณสมบัติในการใช้งานก็ไม่เหมือนกัน เงินที่ใช้ผ่านบัตรก็มีที่มาที่ไปต่างกัน

ใช้บัตรเดบิตอย่างไร

บัตรเดบิตใช้งานไม่ยาก และเป็ที่คุ้นเคยดีของใครหลายๆคนที่มีบัญชเงินฝากออมทรัพย์ทั่วๆไป เพราะการมีบัญชีเงินใากอย่างเดียวโดยที่ไม่การสมัครบัตรเดบิตนั้นทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินนั้นไม่ค่อยสะดวกมากเท่าไหร่นัก และเสียเวลามากกว่าการทำธุรกรรมทางการเงินที่ทำผ่านบัตรเดบิต ดังนั้นบัตรเดบิตจึงมีคุณสมบัติที่เหมาะกับการทำธุรกรรมทางการเงินมากที่สุด เช่น การฝากเงิน การถอนเงิน การโอนเงิน เมื่อมีบัตรเดบิตจะสามารถทำรายการต่างๆเหล่านี้ได้ง่ายๆผ่านตู้ ATM ของธนาคารทุกๆสาขา บัตรเดบิตมีรูปแบบการใช้งานไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก มีวิธีการใช้งาน 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้

การใช้งานผ่านตู้ ATM

นี่เป็นการธุรกรรมทางการเงินที่ปกติถ้าไม่มีบัตรเดบิตจะต้องเดินทางไปที่ธนาคารที่เป็นเจ้าของบัตรเท่านั้นเพื่อทำรายการทางการเงินอย่างเช่น การฝากเงิน / การถอนเงิน / การโอนเงิน เป็นต้น

การใช้งานผ่านเครื่องรูดบัตร

การใช้งานวิธีนี้มักใช้เมื่อต้องการชำระค่าสินค้าตามร้านที่มีเครื่องรูดบัตร ซึ่งสำหรับบัตรเดบิตนั้นไม่มีตัวเลือกให้มากนัก เพราะร้านค้าที่รับรูดบัตรเดบิตนั้นถือว่ามีน้อยอยู่มาก

การใช้งานผูกบัตรกับระบบออนไลน์

เป็นวิธีการใช้งานที่นิยมกันมากในทุกวันนี้ เพราะมีการนิยมใช้ Application บนมือถือเพื่อชำระค่าบริการต่างๆผ่านช่องทางนี้ อย่างเช่น การผูกบัตรเดบิตกับร้านค้าออนไลน์ อย่าง Shopee Lazada / การผูกบัตรเดบิตกับ App เกมส์ออนไลน์ / การผูกบัตรเดบิตกับ App ดูหนัง ดูซีรี่ย์ และฟังเพลง / การผูกบัตรเดบิตกับ App เครื่อข่ายโทรสัพท์มือถือเพื่อชำระค่าบริการออนไลน์ / การผูกบัตรเดบิตกับ Application ของธนาคารเพื่อชำระค่าบริการต่างๆอีกมากมาย เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต และสามารถเติมเงินในโทรศัพท์มือถือได้ด้วย / การผูกบัตรเดบิตกับ App สั่งอาหาร และร้านอาหารต่างๆที่มีบริการออนไลน์ เป็นต้น สรุปแล้วบัตรเดบิตมีวิธีการใช้งานที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และใช้ทำรายการต่างเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายได้มากมาย

คุณสมบัติของผู้สมัครบัตรเดบิด

ผู้ที่ต้องการสมัครบัตรเดบิตนั้นไม่มีคุณสมบัติอะไรที่พิเศษนัก เพียงแค่มีการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารในรูปแบบบัญชีธรรมดาๆ อย่างบัญชีออมทรัพย์ก็สามารถสมัครเพื่อเปิดใช้งานบัตรเดบิตได้แล้ว ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเมื่อสมัครบัตรเดบิตอยู่สองอย่างหลักๆคือ

ค่าธรรมเนียมแรกเข้าประมาณ 150-250 บาท ค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 250 - 550 บาท ค่าธรรมเนียมหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับธนาคารนั้นๆ บางธนาคารก็ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าที่เรียกเก็บจากคุณ ดังนั้น บัตรเดบิตสมัครง่ายยุ่งยาก แค่เพียงมีบัญชีธนาคารก็สมัครได้ ไม่ต่องรออนุมัติ หรือเช็คประวัติทางการเงินใดๆทั้งสิ้น

รักษาความปลอดภัย

บัตรเดบิตมีข้อมูลที่สำคัญอยู่หลายๆจุดที่ผู้ถือบัตรต้องระมัดระวังเมื่อใช้งาน แต่ตัวบัตรเดบิตเองก็มีการรักษาความปลอดภัยในตัวเองด้วย อย่างเช่นถ้าบัตรเดบิตตกอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดีและพยายามใช้บัตรเดบิตของคุณแต่ไม่ทราบรหัสของบัตร เมื่อมีการใช้งานบัตรเดบิต และใส่รหัสบัตรเดบิต 6 หลักผิดซ้ำสามครั้งบัตรเดบิตจะไม่สามารถใช้งานได้ระยะเวลาหนึ่ง บัตรเดบิตบางใบจะถูกระงับเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ส่วนบัตรเดบิตบางใบจะถูกระงับไปจนกว่าเจ้าของบัตรจะแจ้งแก่ธนาคารเพื่อขอยกเลิกการระงับบัตร และความปลอดภัยอย่างหนึ่งเมื่อมีการใช้งานบัตรเดบิตผ่านตู้ ATM คือเมื่อมีการทำธุรกรรมต่างๆแล้วลืมหยิบบัตรออกมาจากตู้ ตู้ ATM จะกลืนบัตรเข้าไปในเวลาไม่นานเพื่อเป็นการป้องกันคนอื่นจะมาเอาบัตรใบนั้นไปใช้ แต่บัตรเดบิตจะปลอดภัยมากที่สุดเมื่อผู้ใช้บัตรระมัดระวังในการใช้งานด้วยตัวเองโดยเแพาะข้อมูลสำคัญอย่างเช่น หมายเลขหน้าบัตร / รหัสบัตร 6 หลัก / หมายเลข CVV หลังบัตร / หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลเหล่านี้ต้องระวังให้ดีอย่างให้คนอื่นรู้เด็ดขาด แต่ถ้าบัตรเกิดหายขึ้นมาก็สามารถทำการอายัติบัตรได้โดยโทรไปแจ้งแก่ธนาคารผู้ออกบัตรให้เร็วที่สุด

หากต้องการสมัครบัตรเดบิตดี ๆ สักใบแต่ยังมีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สามารถพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญจาก MoneyDuck ได้ฟรี ที่ลิงก์ด้านล่าง