การตลาดเขาทำวิจัยกันไหม อย่างไร?

การตลาดทำวิจัยสิครับ มีแบบ การวิจัยปฐมภูมิ (Primary Research / Field Research) เป็นการวิจัยที่ควบคุมและการนำไปใช้สำหรับวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ และการวิจัยแบบทุติยภูมิ (Secondary Research/ Desk Research) เป็นการวิจัยเพื่อหาข้อมูลเพื่มเติม หรือเพื่อสนับสนุนข้อมูลอื่น ๆ จากนิยามการวิจัยทั้งสองแบบข้างต้น ตัวอย่างของวิจัยปฐมภูมิ ได้แก่ การวิจัยอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นการค้นหาความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพและใช้ในบริษัทที่ต้องการทำอาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น ส่วนตัวอย่างของวิจัยทุติยภูมิในตัวอย่างเดียวกัน คือการหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ใช้ในบริษัทที่ไม่ได้ต้องการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ ต้องการใช้ข้อมูลเพื่อนำมาอ้างอิงเท่านั้น

แน่นอนทำ ที่ผมรู้มาคือ การวิจัยปฐมภูมินั้นมักจะมีต้นทุนการทำค่อนข้างสูงในการเตรียม การเก็บ และการวิเคราะห์ข้อมูล ขณะที่การวิจัยทุติยภูมิจะมีราคาถูกกว่ามากแต่จะเป็นข้อมูลที่ไม่ทันสมัยและล้าหลัง ซึ่งเหมาะสมสำหรับเข้าใจในภาพกว้างหรือมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าใจตลาดโดยรวมมากกว่าการการเข้าใจถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด ส่วนการวิจัยปฐมภูมินั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งใช้เทคนิคการวิเคราะห์ได้ทั้งแบบเชิงตัวเลข (Numerical) และไม่ใช่เชิงตัวเลข (Non-numerical) ความเหมาะสมของการเลือกทำวิจัยแต่ละประเภทนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการข้อสรุปการวิจัย ว่าต้องการให้เป็นตัวเลขหรือต้องการเป็นแนวคิดเพื่อนำไปทำการตลาดต่อไปครับ

ต้องทำสิคะ ไม่งั้นธุรกิจจะไปรอดได้ยังงัย? การทำวิจัยตลาดเป็นการเก็บข้อมูลซึ่งจะช่วยให้เรารู้ว่า ผู้บริโภคต้องการอะไร ลูกค้ากลุ่มไหนเป็นกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเราและเป็นการทำนายทิศทางของการตลาดในอนาคต พูดง่ายๆว่าการวิจัยตลาดช่วยให้เราสามารถพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นได้ เพื่อให้มีแนวโน้มการขายที่ดียิ่งขึ้นต่อๆไปในอนาคต

ต้องถามแน่นอนครับ เพราะว่าจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากขึ้น แล้วจะได้รู้ความต้องการของผู้อุปโภคบริโภคด้วยว่าเขาต้องการอะไร คือดีนะครับที่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าดูเหมือนต้องใช้ระยะเวลาในการวิจัยใช้ทรัพยากรไปมาก แต่ผลออกมาก็คุ้มค่านะครับถ้าเพิ่มการบริการหรือว่าเพิ่มผลิตผลให้กับทางการซื้อขายได้

ขอตอบเลยนะคะว่าการจะทำธุรกิจทุกอย่างไม่ว่าจะลงทุนเล็กๆหรือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่โตต้องมีการทำวิจัยตลาดก่อนทุกครั้ง เพราะว่าการทำแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจของเรา อีกอย่างการทำวิจัยจะช่วยประเมินความเป็นไปได้ของธุรกิจของเราได้ด้วยว่าจะทำได้ยั่งยืนหรือไปไม่รอด ซึ่งคุณคงเคยเห็นกันบ่อยๆตามอินเตอร์เนตที่ให้ทำแบบทดสอบ นั่นก็คือการวิจัยการตลาดค่ะ

คิดว่าต้องเป็นการวิจัยที่มีฐานข้อมูลจากการหา ซัพพลายและดีมานด์ เพราะต้องรู้กลไกลของการตลาดว่าเป็นยังไง และการคาดการณ์กับการวิเคราะห์ ถึงจะนำข้อมูลมาทำการวิจัยได้ คิดส่าเป็นเรื่องพื้นฐานของงานวิจัยนะครับ แต่สมัยผมเรียนผมไม่ค่อยชอบการวิจัยการตลาดเท่าไหร่ เพราะข้อมูลเปลี่ยนไปเร็วมาก และควบคุมยากครับ ต้องวิจัยในเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

การวิจยการตลาดจำเป็นมากจริงๆสำหรับธุรกิจ เพราะเป็นกระบวนการที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่า อะไรคกุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสำเร็จ การวิจัยตลาดช่วยให้ผู้ประกอบการเรียนรู้ความเคลื่อนไหวในวงธุรกิจของตัวเอง ทำให้รู้แนวทางว่าลูกค้าชอบสินค้าประเภทไหนการบริการและการซื้ออย่างไร เพื่อที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

นักวิจัยการตลาดกับนักวิจัยด้านอื่นๆเขาเรียนเหมือนกันมั้ยอะ ที่พ่อของน้องสนับสนุนให้เรียนทางด้านวิจัยนี่ คือวิจัยเกี่ยวกับอะไรอะครับ พี่ว่านะ เพื่อที่พ่อกับแม่จะไม่หงุดหงิดใจและไม่คิดว่าลูกลำเอียงรักพ่อมากกว่าแม่หรือรักแม่มากกว่าพ่อ น้องเรียนวิจัยการตลาดไปเลย วิจัยเอง ลงทุนค้าขายทำธุรกิจเอง ครบ จบ ในคนเดียว 😄

ทำการตลาดแบบเดิมๆไปเรื่อยๆคงไม่ได้แล้วนะครับทุกวันนี้จะต้องรวบรวมข้อมูลอยู่เรื่อยๆอย่างเช่นได้เป็นบริษัทใหญ่ๆ ก็ต้องมีการจัดการประชุม สำหรับพนักงานที่ทำการตลาดอยู่ในเลยว่าลูกค้ามีความคิดเห็นหรือมีความต้องการที่เปลี่ยนไปยังไงบ้างเพื่อที่จะสร้างการตลาดแบบใหม่ๆให้ถูกใจลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อธุรกิจจะพัฒนาครับ

แบบนี้ก็สบายเลยสิคะ พ่อเป็นคนอยากให้เรียน แม่ อยากให้ลงทุนเรื่องค้าขาย แล้วคุณก็เป็นคนที่ชอบเรียนรู้เรื่อง ต่างๆด้วย แบบนี้ถือว่าครบถ้วนในเรื่องของการตลาดเลยคะ เอาว่าถ้าตอนนี้อยากวิจัยหรือว่าเรียนรู้เรื่องการตลาด อยากให้เน้นไปในเรื่องของตลอดออนไลน์นะคะ เพราะว่าช่วงนี้ธุรกิจแบบนี้กำลังไปได้ดีเลยคะ จะรอคอยติดตามผลงานวิจัยนะคะ

เรื่องที่น้องจขกท จะเอาเรื่องการค้าขายและการเรียนงานวิจัยมารวมกันนี้ก็เป็นเรื่องที่แปลกแล้วนะครับ ถ้าน้องทำได้นี่คือสุดยอดอัจฉริยะเลย แต่พี่อยากจะพูดถึงกับเรื่องที่พ่อสนับสนุนอีกเรื่อง แม่ก็สนับสนุนอีกเรื่อง แบบนี้ความลำบากก็ตกอยู่ที่ลูกอยู่ที่ตัวน้องเองเลยนะครับ ดูเหมือนว่าน้องไม่คิดมากนะพยายามจะเอาทั้งสองเรื่องมารวมกัน คิดในแง่บวกก็ดีครับ

ผมว่ามันน่าจะเข้ากันนะครับการตลาดกับงานวิจัย ขอยกตัวอย่างนะครับ การตลาดเราอยากขายสินค้าบางอย่างแต่เราไม่ทราบเลยว่าการตอบรับสินค้าที่เราจะขายเป็นยังไงบ้างเราก็ต้องทำการตลาดวิจัยแล้วละครับว่า คนที่ใช้สินค้าของเราเขารู้สึกยังไงบ้างกับสินค้าของเรา เพื่อเราจะได้พัฒนาตัวสินค้าของเราให้ถูกใจคนที่ใช้งานครับ

เรื่องแบบนี้ไม่ต้องเรียนสูงๆก็จำเป็นต้องทำอยู่แล้วครับ อย่างผมเป็นพ่อค้าขายของมือสองครับ ก่อนที่จะเอาอะไรมาขายผมต้องเชคก่อนครับ ว่าลูกค้าในที่ๆผมจะไปขายเขามีความสนใจในสินค้ามือสองแบบไหนครับ เพราะถ้าเกืดผมเอาของมั่วๆไปขาย บอกได้เลยครับ กำไรหาย ทุนไม่มี แถมยังต้องเสียค่าที่ฟรีๆแน่นอนครับ การสำรวจทำให้เรารู้ลูกค้าของเราต้องการอะไรจริงๆ

ชาวบ้านที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าเวลาที่จะขายของยังต้องทำการสำรวจเลยครับว่าสินค้าที่เขาจะขายเป็นที่ต้องการของเพื่อนบ้านไหม แล้วเขาก็ค่อยตัดสินใจที่จะซื้อมาลงทุน เรื่องแบบนี้มันต้องทำครับ ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนที่ใช้เงินเยอะๆยิ่งต้องทำการสำรวจเลยครับ แต่ถ้าเป็นเจ้าใหญ่ๆเขาก็จะจ้างพวกที่เรียนวิจัยกับการสำรวจแบบนี้เลย