หากพูดถึงยานต์ยนต์มีหลายค่ายออกมาเพื่อตีตลาดกันอย่างดุเดือดซึ่งในปัจจุบันไม่ได้มีแค่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเท่านั้น แต่ยังมีรถแบบกึ่งการใช้น้ำมันและใช้ระบบไฟฟ้า แต่ก็เริ่มถูกตีกลับอีกครั้งหลังตลาดรถไฟฟ้า EV เข้ามาแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันและลดปัญหาการเกิดมลพิษทำให้ได้รับความสนใจในตลาดรถยนต์ทั่วโลก

และคงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเจ้าแห่งรถยนต์ไฟฟ้าจากทางฝั่งตะวันตกคงหนีไม่พ้นเทสล่า (Tesla) ที่ได้มีการจดทะเบียนในสหรัฐฯ แต่ก็มีอีกเจ้าที่กำลังเป็นที่นิยมและมาแรงไม่แพ้จากประเทศจีนอย่าง “BYD” ซึ่งจะเผยให้เห็นข้อมูลว่าทำไม BYD ถึงได้ก้าวเป็นเจ้าพ่อรถไฟฟ้าแห่งวงการ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รถ EV คืออะไร นวัตกรรมความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนโลกใหม่ ที่นี่

BYD คืออะไร

https://img.moneyduck.com/article_attachment/1680596820-p-l-6C0CPEYI3T0-unsplash.jpg

เริ่มกันที่ข้อมูลบริษัทฯ BYD ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของจีนที่การันตีด้วย Market Cap สูงที่สุดในธุรกิจ EV ในประเทศจีน รวมถึงยังถูกจัดเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลกที่ผลิตทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ทั่วไป (NON - EV) ที่สร้างความฮือฮาจากการเข้าถือหุ้นจากนักลงทุนชื่อดังอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์โดยเข้าถือหุ้น BYD ทั้งหมดราว ๆ 20.49% คิดเป็น1 ใน 5 ของมูลค่าธุรกิจ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ราคารถ BYD แต่ละรุ่น ที่นี่

โครงสร้างรายได้ของ BYD

โครงสร้างรายได้ของ BYD

นอกจากธุรกิจรถยนต์แล้ว BYD ยังมีการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแบตเตอรี่และชิ้นส่วน Electronic ที่นำไปใช้เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า (Electronic Device) ทำให้โครงสร้างรายได้หลักของ BYD มาจาก 3 ส่วน ดังนี้

  1. รายได้จากการขายรถและอะไหล่รถซึ่งทำรายได้สูงสุดอยู่ที่ 53.6%
  2. รายได้จากการจำหน่ายชิ้นส่วน Electronic (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ) ซึ่งมีรายได้รองลงมาอยู่ที่ 38.8%
  3. รายได้จากธุรกิจแบตเตอร์รี่ซึ่งมีส่วนแบ่งรายได้จากทั้งหมดอยู่ที่ 7.6%

3 เหตุผลที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเร็ว

ต่อมาจะเป็น 3 เหตุผลที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้นสามารถเติบโตได้รวดเร็วขึ้น ดังนี้

  1. การผลักดันจากภาครัฐเนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีส่วนช่วยในการควบคุมราคารถยนต์ไฟฟ้า
  2. มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดเนื่องจากเล็งเห็นถึงผลกระทบที่มากขึ้นส่งผลให้ผู้ผลิตแบบ OEM จำเป็นต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ทันได้ตามเป้า
  3. ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นและราคาถูกลงนำมาซึ่งความพึงพอใจของผู้บริโภคที่ในอดีตราคาแบตเตอรี่ค่อนข้างแพง

แนวโน้มเทรนด์รถไฟฟ้าในไทย

แนวโน้มเทรนด์รถไฟฟ้าในไทย

หากมาย้อนดูผลการสำรวจการขายรถยนต์ไฟฟ้าจากทั่วโลกในปี 2022 จะยิ่งสะท้อนให้เห็นแนวโน้มของกระแสการตอบรับที่ดีทั้งรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) โดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) รวมทั้งสิ้น 10.5 ล้านคันที่มีการส่งมอบโดยเพิ่มขึ้นมากถึง 55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและย้ำด้วยรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ที่ได้ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 13% จากยอดขายทั้งหมดอีกด้วย

ส่วนการคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2020 ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่คาดการณ์การขายรถยนต์ทั้งประเภทรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) จะอยู่ที่ประมาณ 46.8 ล้านคันและคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ที่ได้ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 34% ของยอดขายรถไฟฟ้าทั้งหมดจากการคาดการณ์ตามเงื่อนไขของแผนการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Scenario) ซึ่งยังคาดการณ์ว่ายอดขายรถไฟฟ้าสูงสุดจะอยู่ยุโรป รองลงมาประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา รวมถึงโอกาสที่จะเกิดตลาดใหม่ ๆ อาทิ แคนาดา นิวซีแลนด์ เม็กซิโก ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย รวมถึงไทย

ข้อมูลราคาล่าสุดของหุ้น BYD

ทิ้งท้ายด้วยราคาข้อมูลล่าสุดของราคาหุ้น BYD ในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยอิงจากราคาล่าสุดเมื่อวันที่ 3 เดือน เมษายน พ.ศ. 2566 ที่ราคาปิดตลาดเมื่อช่วง 15.08 น. จะเห็นได้ว่าราคาหุ้น BYD ขยับขึ้นเป็นบวกที่ + 1.60 (0.70)

จะเห็นได้ชัดว่าเทรนด์รถไฟฟ้ายังคงเป็นกระแสนิยม แต่สำหรับประเทศไทยสำหรับตลาดรถไฟฟ้า (EV) ยังอาจจะเป็นเรื่องใหม่อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาและผู้คนยังต้องการความมั่นใจในความเสถียรของระบบรถไฟฟ้าว่าเหมาะสมที่จะนำมาใช้งานในประเทศไทยจริงหรือไม่

ส่วนในกลุ่มตลาดรถไฟฟ้าในไทยก็ได้มีการเข้ามาของรถยนต์ฝั่งตะวันตกอย่าง Tesla ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในส่วนของ BYD ก็เป็นอีกกลุ่มตลาดรถยนต์ที่คนไทยหลายคนต่างให้ความสนใจและยังเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นที่หลายคนอยากลงทุนเพราะมองเห็นโอกาสในการเข้าทำกำไรเนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นเทรนด์ธุรกิจที่ยังคงมาแรงในและจากการคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจก็ยังเป็นเชิงบวก

โดยถ้าหากใครที่กำลังสนใจลงทุนในกลุ่มเทรนด์หุ้นรถไฟฟ้า แต่ยังกังวลถึงปัจจัยต่าง ๆ โดยรอบที่อาจส่งผลกระทบและอาจทำให้ไม่กล้าลงทุนก็สามารถทักเข้ามาขอรับคำปรึกษากับทาง MoneyDuck Thailand ได้แบบฟรี ๆ เพราะที่นี่เรามีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินที่พร้อมจะตอบทุกปัญหาทางการเงิน มีส่วนร่มในการวางแผนทางการเงินและการลงทุนให้คุณลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ