โลกของการลงทุนเริ่มถูกจับตามองอีกครั้ง หลังมีกระแส วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 กำลังเริ่มคืบหน้า! โดยวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา รัสเซียได้ประกาศความสำเร็จว่าเป็นชาติแรกของโลก ที่ทดลองผลิต Sputnik V หรือ วัคซีน COVID-19 เพื่อให้ประชาชนได้ใช้กันในวงกว้าง ตัดหน้าสหรัฐฯและจีน ที่กำลังคิดคค้นวัคซีนตัวนี้อยู่เช่นกัน
ซึ่งเมื่อข่าววัคซีนรัสเซียประกาศตัวออกมา ก็เริ่มส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างแน่นอน แม้จะเคยมีหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่ ที่ได้ผลกระทบจาก COVID-19 อย่างรุนแรง และถูกประกาศเทขายกันออกมาเยอะในช่วงก่อนหน้าที่เรารู้ๆกัน
จากการหนุนให้ตลาดกลับมาสดใส หุ้นที่เคยมีการปรับตัวลดลง หรือมีแนวโน้มน่าจะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ มีหุ้นกลุ่มไหนบ้างในบ้านเราที่น่าสนใจและกำลังถูกจับตามอง วันนี้ Money Duck ขอนำโพยหุ้นเด็ด มาฝากทุกท่านได้ลองติดตามกันดูค่ะ
หุ้น BEM
ใครสนใจการออมหุ้นให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ด้วยแนวโน้มของเมกะเทรนด์ หุ้น BEM หรือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด มหาชน ที่มีการเติบโตส่วนขยายในเส้นทางรถไฟฟ้าอยู่เรื่อยๆ ก็ตอบโจทย์
แม้ต้องเจอกับสถานการณ์ COVID-19 และการ Lockdown แต่ทางบริษัทก็มีการรักษากำไรในไตรมาสที่ 2 จากการออมหุ้นแบบ DCA ไว้ได้ดี เช่น สถิติการซื้อหุ้นย้อนหลังใน 5 ปี ด้วยจำนวนเงิน 5,000 บาทในทุกเดือน จากหุ้นในพอร์ตจำนวน 33,757 หุ้น จะมีมูลค่าพอร์ตในปัจจุบันคือ 302,125 บาท คิดเป็นกำไร 27,351 บาท หรือ 9.95 เปอร์เซ็นต์ และจะมีจำนวนเงินปันผลที่ได้รับตลอด 5 ปี คือ 11,601 บาท
ครึ่งปีแรก หุ้น BEM มีผลประการเติบโตอยู่ที่ 20 % และคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ก็ยังคงมีกำไรเติบโตที่เทียบเท่ากับครึ่งปีแรก หลังจากมีการเปิดเมืองอีกครั้ง ตามมาตรการ Downside Risk โดยมีจำนวนผู้ใช้ทางด่วนเฉลี่ยแล้ว 1.3 ล้านเที่ยวต่อวัน และ จำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าอยู่ที่ 3.4 แสนเที่ยวต่อวัน ตามสภาวะปกติ
หุ้น BEM จึงมีการฟื้นตัวและมีผลประกอบการที่ทำท่าว่าจะดีขึ้น โดยราคาพื้นฐานในปี 2564 ยังคงราคาพื้นฐานในปี 63 ที่ 10.20 บาทอยู่. ใครสนใจจะทยอยซื้อก็คงเริ่มต้นกันได้แล้วก่อนที่ราคาจะปรับตัวค่ะ
หุ้น WHA
บริษัทผู้นำในด้านการให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ทั้งด้านโลจิสติกส์ บริการจัดการอสังหาริมทรัพย์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน อย่างบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน ก็กำลังทำให้หุ้น WHA มาแรงแบบราคาดีดไปทำนิวไฮในรอบ 3 เดือน
ด้วยกระแสของการย้ายฐานผลิตของจีนและญี่ปุ่นเข้าไทยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับมาตรการ Business Bubble ที่ทำให้นักธุรกิจต่างชาติหันมาเล็งไทยเป็นเป้าหมายในการลงทุน เพราะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดีกว่าประเทศเวียดนามที่เริ่มระบาดอีกรอบ จึงทำให้หุ้น WHA ตัวนี้พุ่งทะลุแนวต้าน และมีราคาที่น่าจับตาค่ะ
หลังราคาหุ้นฟื้นตัว หุ้นของ WHA ก็ราคาฟื้นกลับมาได้เร็วที่สุดทันที และยังจัดเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ต่างเลือกให้ลงทุนกันมากที่สุดด้วย. โดยผลประกอบการในไตรมาสที่ 4/63 ยังจะมีการขายสินทรัพย์ก้อนใหญ่เข้ากองทรัสต์ นักลงทุนต่างชาติก็เริ่มเข้ามาจับจองที่ดินกันมากขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ ประกอบกับทีท่าของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จึงยิ่งทำให้ยอดขายที่ดินของ WHA พุ่งแรงมาก จนมีราคาเฉลี่ยที่ 3.58 % และมีอัพไซด์เหลือไม่มากนัก
ซึ่งจากดีมานด์ของนักธุรกิจที่จ่อเข้ามาลงทุนในไทยแบบเพิ่มขึ้นนี้ ก็ทำให้เราเห็นว่าความนิยมของหุ้นนิคมอุตสาหกรรมในไทยกลับมาฟื้นตัวแล้ว ผู้นำกลุ่มอย่างหุ้น WHA จึงน่าสนใจมาก แต่ปัญหาก็คือ มาตรการ Business Bubble ยังไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางไหน การซื้อหุ้นกลุ่มนี้ จึงเป็นเหมือนการซื้ออนาคตที่ไม่รู้จะมาเร็วมาช้า จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากอีกเช่นกัน
หุ้น AOT
ราคาหุ้น ของบมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ถึงมีการปรับตัวลดลงเกือบ 2.5 เท่า แต่หากเราย้อนดูราคาในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ก็ยังเห็นว่าเริ่มกลับมาไต่ระดับจาก 57บาท ขึ้นไปทำไฮที่ระดับ 67.5 บาทแล้ว ก่อนที่จะโดนแรงเทขายอีกครั้ง. แต่กลุ่มนักลงทุนก็ยังคงเล็งเห็นความหวังในหุ้นตัวนี้กันมาก เพราะมีแผนลดต้นทุนในการชดเชยยอดผู้โดยสารที่หายไปค่ะ
แม้แนวโน้มของผู้โดยสารจะยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ แต่แผนการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง และสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี กับ King Power ที่จะกลับมาจ่ายแบบ Minimum grarantee อีก ทำให้กลุ่มนักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่าหุ้น AOT ตัวนี้ยังสามารถกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อีกจากสถารการณ์ปัจจุบัน
จากการประเมินยอดตัวเลขจะเห็นว่า รายได้และกำไรจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในงบปี 2565 ส่วนบริการในด้านสนามบินจะกลับมาสู่สภาพการณ์ปกติในช่วง 2566 หากไม่มีการระบาดของ COVID-19 ในระลอกที่สอง
แต่ถึงแม้กำไรจะลดลง แต่หุ้น AOT ยังมีการจ่ายปันผลได้แบบต่อเนื่อง ในอัตรา 0.5 บาทต่อหุ้น เป้าหมายของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จึงแนะนำ จุดต่ำสุดของธุรกิจได้ผ่านไปแล้วในช่วงเดือน มี.ค. - พ.ค. 63 แต่ในไตรมาสที่ 4 ช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.63 บริษัทก็น่าจะกลับมามีกำไรอีก จึงเป็นหุ้นที่เหมาะสมในการถือปันผล รอการฟื้นตัวในระยะยาว ยิ่งมีการพัฒนาวัคซีนออกมาเรื่อยๆ ก็ทำให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของ หุ้น AOT ได้อีกครั้ง!
หุ้น MINT
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มหาชน เป็นผู้ดำเนินธุรกิจในด้านอุตสาหกรรมอาหาร ธุรกิจโรงแรม โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจบันเทิงและธุรกิจจัดจำหน่าย MINT จึงเป็นหุ้นอีกตัวที่เคยได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จนการให้บริการธุรกิจต้องปิดตัวไปชั่วคราวร่วม 2 เดือน
แต่หลังสถานการณ์ได้คลี่คลาย ราคาหุ้น MINT ได้ปิดการซื้อขายไปด้วยราคา 18.60 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 3.91 % หรือมีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้น 202% จาก 5 วันก่อนหน้า พร้อมการนำหุ้นเพิ่มทุนอีกจำนวน 563.29 ล้านหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ (ข้อมูล ณ 4.ส.ค.) จนปิดบวกได้แรงกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันอย่างเครือ CENTEL
โดยขณะนี้ MINT ได้กลับมาเปิดบริการโรงแรมในเครือแล้วกว่า 90% และธุรกิจร้านอาหารที่ 95% พร้อมคาดการณ์ว่าโรงแรมในยุโรปก็จะกลับมาเปิดให้บริการกว่า 70% อีกเช่นกัน แต่ก็ต้องรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 พร้อมการท่องเที่ยวในประเทศที่จะเป็นตัวกระตุ้นหลัก
สำหรับการคาดการร์ในโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ ยังคงความเห็นว่า เนื่องจาก หุ้น MINT เคยเจ็บหนัก จากการขาดทุนสุทธิติดต่อกันใน 3 ไตรมาส ถึงแม้จะมีการฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ได้ แต่ก็ไม่สามารถพลิกกลับมาชดเชยให้ปีนี้มีกำไรได้ จึงอาจมีผลดำเนินงานที่หดตัวแรงสุดในรอบหลายปี จึงมีการแนะนำให้ ‘ขาย’ หุ้นที่อยู่ในมือของนักลงทุน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก เพราะราคาซื้อขายในปัจจุบันเกินมูลค่าเป้าหมายไปแล้วราว 7%. จึงอยู่ที่ความเห็นของผู้ถือเองว่าจะรอการฟื้นตัวที่มีที่ท่าว่าจะสดใส หรือจะแบ่งพอร์ตให้กระจายความเสี่ยงออกไปให้ได้มากที่สุด!
ฐานการลงทุนที่เริ่มคืบคลาน หลังวัคซีน COVID-19 ได้เริ่มคืบหน้าแล้ว!
หลายๆประเทศที่เริ่มเอาด้วยกับวัคซีนที่คิดค้นขึ้นใหม่ ก็ได้เริ่มทยอยต่อแถวในการแก้ปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อฟื้นตัวและขยับตัวในการลงทุน ถึงแม้จะยังไม่มีการรับรองจาก WHO ว่าวัคซีนดังกล่าวนี้จะได้ผลจริงหรือไม่ แต่สหรัฐฯ เริ่มถูกกดดันให้พัฒนาวัคซีนให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด และพัฒนาข่าวในเชิงบวกในโลกของการลงทุนด้วยเพื่อทำคะแนนให้ได้
เมื่อหลายสายทยอยรับรู้ ก่อนช่วงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ วันที่ 3 พ.ย. สถานการณ์ในตลาดหุ้นจึงเริ่มคลายตัว และทยอยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบอีกต่อเนื่องไม่เว้นแม้แต่หุ้นในบ้านเราที่เคยถูกเทขาย ก็กำลังจะฟื้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับเป้าหมายในการลงทุนแบบระยะกลางขึ้นไป ทั้งกลุ่ม Unlock down & Bottom Out เรื่องการขนส่งอย่าง BEM, กลุ่มการท่องเที่ยวอย่าง AOT และ MINT ไปจนถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมอย่าง WHA แบบที่เราได้คุยกันมา
MoneyDuck ก็จะขอติดตามข่าวสารในโลกการเงินและการลงทุนต่อไป หากมีอะไรคืนหน้าเพิ่มเติม เราย่อมไม่พลาดที่จะนำมาฝากกันค่ะ!
แก้วใจ...
ถูกใจคนที่เล่นหุ้นอย่างแน่นอนเลยค่ะบทความนี้ เราไม่ได้เล่นหุ้นยังคิดอยู่เลยว่าสถานการณ์แบบนี้คนที่เล้นหุ้นเขาจะทำยังไงกันนะ เพราะว่าตลาดหุ้นน่าจะสั่นคลอนกันบ้างแหละ อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ หากเราเข้าใจอะไรผิดไปก็ขออภัยและขอแก้ไขด้วยค่ะ อย่างไรก็ตาม ขอให้คนที่เล่นหุ้นได้กำไรจากหุ้นกับแบบปังๆนะคะ
พีท
"หุ้น" คือการลงทุนที่ไม่มีความแน่นอน....เหมาะสำหรับคนที่มีเงินถุงเงินถัง....ไม่เหมาะกับพวกมือสมัครเล่นที่สายป่านสั้นอย่างผม....บทความนี้อ่านแล้วรุ้สึกดีนะว่าสถานการณ์มันคงจะดีขึ้นในเร็ววัน...แต่ไม่เหมาะจริงๆสำหรับคนที่หวังจะรวยด้วยการลงทุนแบบนี้ เพราะหุ้นขึ้นลงตามเศรษฐกิจ มันเสี่ยงมากครับถ้าคิดจะเอาเงินเราไปจมอยุ่ในนั้น....
ทวีลาภ
หุ้น MINT หรือที่เรียกกันว่าหุ้นการท่องเที่ยวหรือหุ้นโรงแรม หุ้นตัวนี้น่าสนใจนะ ช่วงนี้ราคาหุ้นที่อยู่ในกลุ่มแบบนี้ราคาไม่ค่อยแพงมากด้วย น่าซื้อเก็บเอาไว้นะ คิดว่าถ้าโควิด-19 เข้าสู่ปกติแล้วหุ้นพวกนี้น่าจะดีดตัวแล้วก็ทำกำไรให้เราหลายเท่าแน่นอน เพื่อนที่ยังลังเลอยู่ ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องรีบซื้อแล้วละครับ
ดาด้า
@ ทวีลาภ มันก็น่าสนใจอยู่หรอกนะ แต่ว่าก็ยังอย่าเพิ่งไว้ใจสถานการณ์เลย ขนาดตอนนี้ดูเหมือนโควิคจะกำลังดีขึ้นแต่อยู่ๆก็กลับแย่ลงกว่าเดิมอีก โรคนี้มันเป็นเหมือนขึ้นๆลงๆอ่ะ ตราบใดที่ยังไม่มียารักษาที่ตรงจุดที่รักษาเกี่ยวกับโรคนี้ได้ เราว่าการลงทุนอะไรๆก็มันคือเสี่ยงหมด ถ้าจะทำก็คือต้องมีความรู้พอสมควรเลยแล้วก็ต้องมีสายป่านยาวถึงจะไปต่อได้