การลงทุนในหุ้นประเภทหุ้นปันผลกำไรนั้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงที่ต่ำแต่แลกมาด้วยเวลาในการถือหุ้นที่นานเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ตั้งใจจะลงทุนในระยะยาวและรับความเสี่ยงได้ไม่ค่อยสูง และ สำหรับคนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะลงทุนในหุ้นประเภทหุ้นที่มีการปันผลกำไร ในบทความนี้มีคำแนะนำและวิธีในการเลือกหุ้นปันผลที่ดีในตลาดเพื่อการลงทุนที่ฉลาดมาฝาก ซึ่งคำแนะนำในบทความนี้ที่นำมาฝากกันนั้นเป็นของ บล.เอเชีย พลัส เป็นวิธีการกรองหาหุ้นปันผลดีๆ สัก 2-3 ตัวเข้ามาในพอร์ตการลงทุนกัน ซึ่งฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ของ บล.เอเชีย พลัส นั้นมีเงื่อนไขในการค้นหาหุ้นปันผลในตลาดทั้งหมด 5 เงื่อนไข จะเป็นยังไงแล้วมีเงื่อนไขแบบไหนบ้างให้เราไปดูด้วยกัน

มีประวัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 ปี

มีประวัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 ปี

เงื่อนไขที่ 1 คือ เป็นหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 ปี แต่การจะหาหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 7 ปี คงจะทำไม่ได้เพราะข้อจำกัดของบริการ SETSMART ของตลาดหลักทรัพย์ ทำให้สามารถหาย้อนหลังได้แค่ 3-5 ปี ก็เอาเป็นใน 3-5 ปีนี้มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตลอดก็น่าจะพอไหวเพื่อให้ความมั่นใจทางบริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยสิ่งต่อไปที่เราต้องดู คือ อัตราการจ่ายเงินปันผลก็ต้องไม่น้อยกว่า 30% เพราะหุ้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม Growth Stock นั้นไม่ได้นำผลกำไรทั้งหมดมาจ่ายเป็นเงินปันผล แต่จะมีการจัดสรรปันส่วนหนึ่งไว้เพื่อใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกิจการของตัวเอง และนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะคาดหวังกำไรที่มาจากการปล่อยขายหุ้นมากกว่าเงินที่ได้มาจากการปันผล เพราะแบบนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำการจ่ายเงินปันผลสูงๆ แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่มาแล้วหรือเป็นหุ้นที่กิจการธุรกิจนั้นมีความคงที่แล้วอัตราการจ่ายเงินปันผลก็สามารถจ่ายได้มากกว่า 50% ก็มี

เป็นหุ้นบริษัทที่มีการซื้อขายในราคาไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท

เป็นหุ้นบริษัทที่มีการซื้อขายในราคาไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท

เงื่อนไขที่ 2 คือ เป็นหุ้นบริษัทที่มีการซื้อขายในราคาไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท ที่ต้องดูว่าเป็นหุ้นที่มีการซื้อ 15,000 ล้านบาทนั้นก็เพื่อความมั่นใจว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องทางการซื้อขายในตลาดที่มากพอ สมควรที่จะซื้อ เพื่อช่วยลดในเรื่องของความเสี่ยงในกรณีที่เราไม่อยากจะถือหุ้นตัวนี้ไว้อีกแล้วจะได้สามารถปล่อยขายได้ง่ายไม่เหตุการณ์ที่ขายไม่ออก หรือ ขายได้ในราคาที่ไม่โอเคไม่ได้กำไร และ อีกทางที่ให้ดูหุ้นที่มีการซื้อขาย 15,000 ล้านบาทนั้นก็เพราะหนึ่งในหุ้นที่มีการซื้อขายสูงนั้นเป็นตัวบอกว่าหุ้นนี้นั้นเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆด้วย

เป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำกว่า 1%

เป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำกว่า 1%

เงื่อนไขที่ 3 คือ เป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำกว่า 1%  แล้วค่าเบต้าคืออะไร ?  ค่าเบต้า คือ ตัวที่ใช้สำหรับวัดค่าความผันผวนของหุ้นซึ่งจะเทียบกับ SET Index  ซึ่งถ้าหุ้นที่มีค่าเบต้าสูงกว่า 1% แสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีความผันผวนมากในตลาด และ ถ้าหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำกว่า 1%  แบบที่บอก แสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีความผันผวนน้อยในตลาดหุ้น เช่น ถ้าหุ้นที่ถืออยู่มีค่าเบต้าเท่ากับ 0.5% นั้น ก็หมายความได้ว่า ถ้า SET Index  มีการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้นที่เราถืออยู่ก็มีโอกาศเปลี่ยนแปลงไปได้เพียงแค่ 0.5% เท่านั้น เพราะฉะนั้นการเลือกหุ้นก็ควรใช้เงื่อนไขที่ 3 นี้ในการเลือกด้วยคือต้องเป็น หุ้นที่มีค่าเบต้า ต่ำกว่า 1%  เสมอๆ

เป็นหุ้นที่มีค่า PER ต่ำกว่า 12 เท่า

เป็นหุ้นที่มีค่า PER ต่ำกว่า 12 เท่า

เงื่อนไขที่ 4 คือ ต้องหุ้นที่มีค่า PER ต่ำกว่า 12 เท่า ค่า PER นั้นย่อมาจากคำว่า Price to Earning  ที่ต้องมีค่า Price to Earning (PER) ก็เพื่อที่จะช่วยเราในการเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาไม่สูงเกินไป แต่ถ้าเราซื้อขายหุ้นบนค่า Price to Earning (PER) ที่ต่ำเกินไปก็จะทำให้มีค่า Dividend Yield ที่ต่ำไปด้วย แล้วเหตุผลที่กำหนดให้ค่า Price to Earning (PER) ไว้ที่ 12 เท่า หรือต่ำกว่า 12 เท่า นั้นก็เพราะเป็นค่าเฉลี่ยที่มีการคำนวณขึ้นมาและใช้กันโดยทั่วไป แต่เอาจริงๆค่า Price to Earning (PER) เราไม่จำเป็นที่จะต้องปรับให้เป็น 12 เท่าหรือต่ำกว่า 12 เท่าก็ได่ เพราะค่า Price to Earning (PER) สามารถปรับได้ตามระดับความเสี่ยงที่ตัวเราสามารถรับได้ หากสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้สูงอาจจะปรับค่า Price to Earning (PER) สูงกว่า 12 เท่า ก็ได้ แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยก็ปรับให้ค่า Price to Earning (PER) เป็น ต่ำกว่า 12 เท่า ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เขาปรับกันก็ 12 เท่านี้แหละ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวนักลงทุนในเรื่องของการรับความเสี่ยงแต่ถ้าคำแนะนำและคนส่วนใหญ่ใช้ก็จะเป็น 12 เท่า หรือต่ำกว่า 12 เท่า

เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5% ต่อปี

เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5% ต่อปี

เงื่อนไขสุดท้าย เงื่อนไขที่ 5 คือ ต้องเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5% ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผลตอบแทนที่ได้จากเงินปันผล (Dividend Yield) จริงๆจะมากกว่า 5% หรือจะน้อยกว่า 5% ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของนักลงทุนที่จะเลือกลงทุน แต่ถ้าตามคำแนะนำก็คือเลือกหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผล 5% ต่อปี จะทำให้นักลงทุนหรือเราเองนั้นมีตัวเลือกหุ้นที่น้อยลงและเลือกง่ายขึ้น

วิธีหาหุ้นปันผลที่ดีมี 5 เงื่อนไข

วิธีหาหุ้นปันผลที่ดีมี 5 เงื่อนไข

สำหรับคนที่ตั้งใจจะลงทุนในหุ้นที่ตั้งใจจะถือหุ้นไว้ในระยะยาวตั้งใจจะลงทุนระยะยาวไม่ใช่ระยะสั้นและรับความเสี่ยงได้ไม่มากหุ้นอย่างหุ้นปันผลก็เรียกว่าเหมาะมากและถ้านำเงื่อนที่เรานำมาฝากในวันนี้ทั้ง 5 เงื่อนไขไปกรองหุ้นที่จะซื้อขายรับรองว่คุณจะได้หุ้นปันผลที่ดีเข้ามาในพอร์ตการลงทุนของคุณแน่นอน แล้วก็มีคำแนะนำอีกเล็กน้อย เกี่ยวกับเงื่อนไขแรกที่บอกให้ใช้โปรแกรม SETSMART  ของตลาดหลักทรัพย์หาหุ้นปันผลเช็คประวัติหุ้นปันผลว่ามีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องมามากกว่า 7 ปี แต่ในโปรแกรมอย่างที่บอกคือดูย้อนหลังได้แค่ 3-5 ปี นั้นการใช้โปรแกรมนี้ดูย้อนหลังก็ไม่ได้ฟรีนะครับ มีค่าใช้จ่ายด้วย ซึ่งก็มีอยู่ 2 ราคา ตามความสามารถที่จะดูย้อนหลัง คือ ราคา 390 สามารถเลือกดูข้อมูลได้หลักทรัพย์ได้ย้อนหลัง 3 ปี แล้วก็มีราคา 590 บาท สามารถดูย้อนหลังข้อมูลหลักทรัพย์ได้ 5 ปี และทั้งสองราคาก็มีอายุการใช้งานได้ 3 เดือนเท่านั้นแล้วต้องทำการซื้อใหม่อีกรอบ ก็หวังว่าทุกคนที่อ่านและนำเงื่อนไขทั้ง 5 เงื่อนไขในบทความนี้ไปใช้จะเจอหุ้นที่ถูกใจเข้ามาไว้ในพอร์ตการลงทุนกันนะครับ