ประกันสุขภาพนับเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการเงินที่ดีมากตัวหนึ่ง ซึ่งนับเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพียงตัวเดียวที่ช่วยบริหารความเสี่ยงทางการเงินในเรื่องนี้ได้ เพราะสามารถช่วยป้องกันและลดภาวะการเกิดปัญหาทางการเงินที่จะเข้ามาซ้ำเติมในยามที่ต้องเจ็บป่วยสุขภาพย่ำแย่ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ ลองคิดดูสิว่าในยามที่ต้องเจ็บป่วยนั้น นอกจากต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังต้องทรมานกับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นอีกด้วย คงจะดีไม่น้อยหากมีใครมาหยุดการซ้ำเติมความทรมานที่เกิดจากค่ารักษาพยาบาลให้กับเราได้ ซึ่งประกันสุขภาพนี้ล่ะค่ะคือคำตอบที่ตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี ในวันนี้เราจึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับการซื้อประกันสุขภาพอย่างคุ้มค่ามาฝากกันค่ะ กับ “ทำประกันสุขภาพอย่างฉลาด ป่วยไปไม่ต้องจ่ายสักบาท” เพื่อที่เพื่อนๆจะได้ใช้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อประกันสุขภาพให้กับตัวเองได้อย่างที่คุ้มค่าที่สุด ในแบบที่ไม่มากเกินไปจนเข้าขั้นสิ้นเปลือง หรือไม่น้อยเกินไปจนไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราไปติดตามกันได้เลยค่ะ

เลือกแผนประกันที่เหมาะสม

เลือกแผนประกันที่เหมาะสม

ในปัจจุบันแผนประกันสุขภาพมีขายกันอยู่มากมายจนตาลาย จนบางครั้งเราอาจเกิดคำถามในใจว่า “แล้วต้องทำประกันสุขภาพเท่าไหร่ดีล่ะ?” นั่นสิ! ก็มันเยอะขนาดนี้แล้วแบบไหนล่ะที่เหมาะกับเรา?  ที่บริษัทประกันออกแบบประกันมามากมายหลากหลายขนาดนี้ก็เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของแต่ละคนที่มีแตกต่างกันออกไปให้ได้มากที่สุดนั่นเองค่ะ คำตอบที่ว่าจะทำแผนแบบไหนดี? ทำที่เท่าไหร่ดี? ตอบได้เลยว่ายิ่งซื้อเยอะก็ยิ่งดี แผนยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะก็จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้เยอะเช่นกันค่ะ แต่หากเป็นคนที่มีงบจำกัดนั้นก็คงไม่เหมาะที่จะซื้อประกันสุขภาพในแผนที่สูงๆจริงไหมคะ? ฉะนั้นการเลือกแผนประกันที่เหมาะสมจึงไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว และต้องเป็นตัวเราเท่านั้นที่จะรู้ดีที่สุดค่ะ เอาเป็นว่า “ทำเยอะที่สุดเท่าที่เราไหวนั่นล่ะค่ะ” ก็เป็นสิ่งที่เหมาะกับตัวเราที่สุดแล้ว

แทนที่เราจะเสียเวลานั่งดูนั่งเลือกแผนประกันอย่างไม่มีทิศทาง มาดูกันต่อไปดีกว่าว่าขั้นตอนเจ๋งๆในการเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพแบบที่พอดีๆที่ป่วยแล้วไม่ต้องจ่ายสักบาท หรือถ้าต้องจ่ายส่วนต่างก็แทบไม่รู้สึกเอาซะเลยว่าทำกันอย่างไร

เช็คดูสวัสดิการที่มีทั้งหมดของเรา

เช็คดูสวัสดิการที่มีทั้งหมดของเรา

ก่อนจะคิดซื้อประกันสุขภาพ ลองเช็คดูสวัสดิการที่มีทั้งหมดของเราดูก่อนว่ามีอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นสิทธิของประกันสังคม สิทธิเบิกตรงหากเป็นข้าราชการ หรือสิทธิจากประกันสุขภาพฉบับอื่นๆที่มี แล้วให้ลิสต์รายการลงในกระดาษดูก่อนว่าเรามีสิทธิ์ในส่วนไหนอย่างไรบ้าง? เช่นในส่วนของค่าห้อง ค่าผ่าตัด ค่าแพทย์ ค่ายา ฯลฯ เพื่อจะได้รู้ว่าสิทธิ์ในแต่ละอย่างที่เรามีโดยรวมแล้วอยู่ที่เท่าไหร่? มากน้อยแค่ไหน? และเราควรเติมในส่วนที่ยังขาดอยู่อีกมากน้อยแค่ไหนถึงจะรู้สึกสบายใจว่าเรามีสวัสดิการที่ครอบคลุมเพียงพอแล้ว ซึ่งตรงนี้ตัวเราจะเป็นผู้ให้คำตอบ และประเมินตัวเองได้ดีที่สุดค่ะจากนั้นจึงค่อยนำข้อมูลที่ได้มาใช้ประเมินและพิจารณาเพื่อเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพเหมาะสมกับตัวเราต่อไปได้นั่นเองค่ะ ซึ่งตรงนี้ก็อยากขอแนะนำเพิ่มเติมกันสักหน่อยว่า ควรเลือกแผนประกันเผื่อค่าใช้จ่ายเกินมาสักหน่อย อย่าพอดิบพอดีจนเกินไปค่ะ จะได้มั่นใจได้ว่าหากป่วยขึ้นมาบาทเดียวก็ไม่ต้องจ่ายจริงๆ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ยามที่เราต้องเข้ารับการรักษานั้นไม่ต้องมาควักเงินจ่ายเพิ่มกันอีก หรือถึงต้องจ่ายก็แทบไม่รู้สึกอะไร อีกทั้งเบี้ยประกันที่จ่ายไปก็จะถูกใช้อย่างคุ้มค่า ไม่โอเว่อร์จนเกินความจำเป็นค่ะ

หาข้อมูลเพิ่มด้วยการสอบถามค่าห้องกับโรงพยาบาลที่คาดว่าจะเลือกใช้บริการ

หาข้อมูลเพิ่มด้วยการสอบถามค่าห้องกับโรงพยาบาลที่คาดว่าจะเลือกใช้บริการ

อีกสิ่งที่จะช่วยให้เราเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพได้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่ากับเรามากที่สุดนั่นคือ การหาข้อมูลเพิ่มด้วยการสอบถามค่าห้องกับโรงพยาบาลที่คาดว่าจะเลือกใช้บริการนั่นเองค่ะ ซึ่งทำได้ง่ายโดยการเดินเข้าไปสอบถามกับทางแผนกการเงินของโรงพยาบาลที่เราคาดว่าจะเลือกใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลที่อาจต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน ในเรื่องของค่าห้องของโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดของกรณีการเจ็บป่วยต่างๆ ที่สำคัญอย่าได้ลืมถามไปถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกรณีของโรคร้ายแรงต่างๆอย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ฯลฯ กันด้วย  ที่นี้เราก็จะได้ข้อมูลค่าใช้จ่ายคร่าวๆเพื่อนำไปใช้เลือกแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับตัวเรากันต่อไปได้แล้ว เป็นการเพิ่มความชัวร์ขึ้นไปอีกระดับหนึ่งว่าป่วยเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องควักแน่ๆล่ะค่ะ

รวบรวมข้อมูล หาส่วนต่าง เพื่อเลือกแผนประกันที่เหมาะสม

รวบรวมข้อมูล หาส่วนต่าง เพื่อเลือกแผนประกันที่เหมาะสม

มาถึงขั้นตอนสุดท้ายเพื่อให้ได้แผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดนั่นก็คือ การรวบรวมข้อมูล หาส่วนต่าง เพื่อเลือกแผนประกันที่เหมาะสมค่ะ ซึ่งทำได้ง่ายๆโดยการนำข้อมูลที่เราได้ทำการรวบรวมเอาไว้มาทำการหาส่วนต่างที่ขาดไปจากสวัสดิการที่เราอยู่ในปัจจุบัน โดยดูข้อมูลอ้างอิงค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับมาจากแผนกการเงินของทางโรงพยาบาล ที่นี้เราก็จะรู้ถึงส่วนต่างที่ยังขาดอยู่ในแต่ละส่วนกันแล้วล่ะค่ะ หลังจากนั้นก็ค่อยมาทำการเลือกแผนประกันที่สามารถครอบคลุมส่วนต่างตรงที่ขาดไปนั้นให้ได้มากที่สุด เพียงเท่านี้เพื่อนๆก็จะคำตอบว่าแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดนั้นคือแผนใดนั่นเองค่ะ ในส่วนที่ว่าจะซื้อกับบริษัทประกันของที่ไหนดีนั้น? ตรงนี้ก็ต้องแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลค่ะ ซึ่งเราสามารถมั่นใจและวางใจในเรื่องของแผนประกัน และราคาค่าเบี้ยประกันของแต่ละบริษัทประกันทุกที่ได้เลยค่ะ เนื่องจากทุกบริษัทประกันนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐที่เรียกว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือที่เราคุ้นเคยกันดีว่า “คปภ.”นั่นเองค่ะ ฉะนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไปว่าจะของที่ไหนดีกว่ากัน หรือถูกกว่ากัน เพราะทุกที่นั้นอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์มาตรฐานเดียวกันของคปภ. ทั้งในเรื่องของค่าเบี้ยประกันและความคุ้มครอง เราก็เลือกเอาที่สบายใจได้เลยค่ะ

รู้แล้ว..เลือกแผนประกัน..ง่ายนิดเดียว

รู้แล้ว..เลือกแผนประกัน..ง่ายนิดเดียว

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเรื่องราวที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้  กับ “ทำประกันสุขภาพอย่างฉลาด ป่วยไปไม่ต้องจ่ายสักบาท” คงช่วยเป็นแนวทางในการเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพให้กับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องงงตาลายกันอีกต่อไปแล้วใช่ไหมล่ะคะ อีกทั้งหากเพื่อนๆได้ทำตามคำแนะนำง่ายๆในแต่ละข้อดังกล่าวข้างต้นก็ยังจะช่วยให้ประกันสุขภาพที่เพื่อนๆซื้อนั้นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เราได้จ่ายไปกันจริงๆค่ะ สำหรับใครที่ยังคงมองว่าประกันสุขภาพเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองกันอยู่ดี ก็ขอให้เปลี่ยนความคิดกันได้เลย อย่าลืมว่าไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะป่วยเมื่อไหร่ หรือจะมีใครที่ร่างกายแข็งแรงดั่งซุปเปอร์แมนกันได้ตลอด ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ในวันนี้เราควรหันมาให้ความสำคัญกับการมีประกันสุขภาพให้กับตัวเองกันค่ะ การจ่ายเบี้ยจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองกันอีกต่อไปเพียงแค่รู้จักฉลาดเลือกแผนประกันนำมามิกซ์แอนด์แมทซ์กับสวัสดิการที่มีอยู่ ง่ายๆเพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เราอุ่นใจในการใช้ชีวิตขึ้นมาได้อีกเยอะเลยล่ะค่ะ แบบนี้ไม่เรียกว่าเปลืองกันแล้ว แต่ต้องเรียกว่าคุ้มแสนคุ้มแทนแล้วค่ะ