ประเด็นที่กำลังถกเถียงระดับโลกอย่างรุนแรง คงหนีไม่พ้น สงครามการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งยอมรับว่าในตอนนี้กระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆมากจริงๆ แม้หลายประเทศเคยทำงานกันอย่างหนักเพื่อจะลดอุปสรรคทางการค้า หรืออุปสรรคที่เป็นภาษี และที่ไม่ใช่ภาษี ความตกลงกันด้านสินค้าเกษตรต่างๆ แต่ในวันนี้กลับช็อคเอาง่ายๆ เพราะมาตรการปกป้องต่างๆก็ใช้ไม่ได้ และการระงับข้อพิพาทก็ไม่มีใครยื่นมือมาเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เราในฐานะประชาชนคนนึงบนโลก ต้องรับมือและรู้ข่าวสารด้านนี้ว่า สงครามการค้าคืออะไร เป็นมาอย่างไรในอดีต รวมถึงผลกระทบในตอนนี้
ความหมายของสงครามการค้า
ขึ้นชื่อว่า สงคราม แม้จะไม่ได้เกิดการรบราฆ่าฟัน จนต้องบาดเจ็บกันไป แต่ผลการทำสงครามนั้นก็ทำให้เจ็บไปได้มากทีเดียว. “ สงครามการค้า ” จะดำเนินไปในรูปแบบของการใช้มาตรการตอบโต้ระหว่างคู่ค้าสงครามด้วยกัน เพื่อจะทำให้สินค้าของอีกประเทศหนึ่งนั้นมีราคาแพงกว่าสินค้าชนิดอื่นจนทำให้ขายไม่ได้ เป็นสงครามที่ใช้เงินตราเข้ามาห้ำหั่นกัน แม้ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ แต่กำลังใช้เศรษฐกิจเพื่อขัดขวางการขยายอำนาจของกันและกัน โดยสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาษี’ นั่นเอง.
สาเหตุของสงครามการค้า สหรัฐ-จีน
1.ทำเนียบขาวของสหรัฐได้สั่งตรวจสอบนโยบายการค้าของจีน และระบุว่า พบการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหลายประการของจีน รวมถึงกฎหมายห้ามต่างชาติครอบครองกิจการ ด้วยเหตุนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเข้าไปลงทุนในจีนจะต้องมีคนจีนเป็นหุ้นส่วนร่วมด้วย ส่งให้มีผลกดดันหลายบริษัทต่างชาติต้องยอมถ่ายโอนเทคโนโลยีให้ เพื่อสินค้านั้นเข้าสู่ตลาดจีนได้
2.สหรัฐกลัวว่านโยบาย Made in China 2025 ที่จีนพยายามจะพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพสูงขึ้นและไฮเทคมากขึ้นนั้น บางอย่างอาจมีปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น สินค้ากลุ่มไอที Hardware หรือ Software และสินค้าชนิดอื่นๆ จึงเป็นประเด็นนี้ทำให้ ปธน. ทรัมป์ ไม่พอใจอยู่ในขณะนี้
3.เนื่องจากการขาดดุลทางการค้ากับประเทศจีน รวมไปถึงเรื่องของการว่างงานในสหรัฐ ทำให้สหรัฐต้องการที่จะลดจำนวนด้านนี้ และเพิ่มกำแพงภาษีในมุมมองเรื่องการจ้างงานในสหรัฐด้วย
ดังนั้น ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จึงประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากจีน1,300 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญ โดยสินค้าหลักๆจะเป็นประเภท คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ซึ่งในปีนึงสหรัฐต้องนำเข้าจากจีน มูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในขณะเดียวกัน สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนจึงโต้ตอบด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาเช่นกัน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 106 รายการคิดเป็นมูล 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากสินค้าที่จีนขึ้นนั้นเป็นสินค้าทางการเกษตร เป็นส่วนมาก เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ทรัมป์จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาทรัมป์ คะแนนเสียงส่วนใหญ่ของทรัมป์ เป็นเกษตรกรที่ปลูก ข้าวโพด และ ถั่วเหลือง จึงเรียกได้ว่า สี จิ้นผิง ยิง ปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวเลยล่ะ.
สงครามการค้าในอดีตและผลกระทบ
ที่จริง มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดด้วยว่าการตั้งกำแพงภาษีนั้น สร้างผลเสียให้เกิดขึ้นมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เมื่อปี 2002 ยูเอสไอทีซี หรือ คณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา แสดงตัวเลขให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ลดลงเป็นมูลค่า 30.4 ล้านดอลลาร์ ทำให้ผู้ใช้แรงงานอเมริกันต้องตกงานประมาณ 200,000 ตำแหน่ง โดยประมาณว่า 13,000 ตำแหน่งในจำนวนนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้านี่ด้วยโดยสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวเป็นนัยว่า การขึ้นภาษีของบุชสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 400,000 ดอลลาร์ต่อ1 ตำแหน่งงานที่เสียไป องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) และชี้ขาดในเวลาต่อมาด้วยว่า การขึ้นภาษีของบุชครั้งนั้น เป็นการกระทำละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศ.
แต่ดูเหมือนครั้งเดียวที่การใช้ไม้แข็งในรูปแบบทำนองนี้จะประสบความสำเร็จคือ การเล่นงานกับญี่ปุ่น เมื่อ 3 ทศวรรษก่อนนั้น ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน กดดันจนญี่ปุ่นตกลงที่จะต้องดำเนินการ “ระงับส่งออกโดยสมัครใจ” เพื่อจำกัดจำนวนรถยนต์ที่จะส่งออกไปยังสหรัฐ ซึ่งทางหนึ่งนั้นเพราะญี่ปุ่นไม่เพียงเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังพึ่งพาทหารอเมริกันในการคุ้มครองประเทศอีกด้วย แต่อีกด้านหนึ่งญี่ปุ่นกลับพบหนทางเลี่ยงปัญหาดังกล่าว โดยการไปปักหลักสร้างโรงงานผลิตขึ้นเองเลยทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่หลายคนกำลังจับตามองต่อมาคือ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ซึ่งทำเรื่องนี้ให้กับเรแกน คือ โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์ ซึ่งในเวลานี้เขาได้มาดำรงตำแหน่งผู้แทนการค้า ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดสำหรับทำหน้าที่เจรจาการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ด้วย แต่ยังไงก็ตามจีนไม่ใช่ญี่ปุ่น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการคุ้มครองทางการทหารจากสหรัฐ และภายในประเทศจีนก็มีแรงกดดันต่อผู้รับผิดชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ตอบโต้ให้หนักพอกัน ดังนั้น หากสหรัฐอเมริกาคาดหวังการใช้ไม้แข็งอีกครั้งล่ะก็ คงเป็นความคาดหวังที่ยากจะเป็นจริงได้เพราะสงครามการค้านั้น นอกจากจะไม่เป็นผลดีกับใครๆเลย ยังเกิดขึ้นได้ง่ายมาก แต่ก็จบยากอย่างยิ่ง.
สงครามการค้าในปัจจุบันและผลกระทบ
หลายประเทศแม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงแต่ก็หนาวๆร้อนๆไปตามกันว่าจะเกิดผลกระทบอะไรมาถึงกันบ้าง อย่างที่กล่าวไปต้นบทความ สหรัฐ และ จีนนั้น แม้ในปี 2016 ทั้งสองประเทศมีมูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ประมาณ 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จีนมียอดนำเข้าสินค้าอยู่ที่ 1.299 แสนล้านเหรียญ ยอดส่งออกสินค้าอยู่ที่ 5.055 แสนล้านเหรียญ สินค้าบางอย่างอาจต้องส่ง ไป-กลับ เช่น เครื่องบิน เพราะว่าต้องใช้อะไหล่บางชิ้นที่ผลิตจากจีน แต่นำกลับมาประกอบที่สหรัฐ ก่อนที่จะส่งกลับไปขายในจีนอีกรอบ หรือสินค้าเครือโทรศัพท์มือถือที่มี Supply Chain เกี่ยวข้องเยอะมาก แต่ในกลางเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เสนอรายชื่อสินค้าจากจีนที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 เป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 6.6 ล้านล้านบาท และมีข่าวลือหนาหูว่าในที่สุดแล้ว กำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ตั้งไว้เล่นงานจีนอาจจะถึง 4.5 แสนล้านดอลล์ หรือ 14.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
จึงนับได้ว่า สหรัฐฯต้องการหยุดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และใช้กำภาษีเข้ามาเป็นเครื่องมืออันแสนแพงนั่นเอง แต่ธนาคารประชาชนจีนก็ออกมาศึกษาข้อมูลแวิเคราะห์จนได้ข้อสรุปว่า กำแพงภาษีของสหรัฐฯ แม้ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวร้อยละ 0.2 แต่หากจีนระมัดระวังและแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ ผลกระทบก็จะไม่บานปลายขยายไปกระทบกับเรื่องอื่นแต่จะอยู่ในวงจำกัดได้
นอกจากนี้คำสั่งของทรัมป์ยังบังคับให้สินค้าจากจีน 818 รายการ ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 25 เฉพาะลอต คิดเป็นมูลค่ารวม 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.12 ล้านล้านบาท แน่นอนว่า กระทบต่อโครงการพัฒนา Made in China 2025 ของสี จิ้นผิง ที่ต้องการให้สินค้าจีนมีคุณภาพสูงและนวัตกรรมสูงในอีก 7 ปีข้างหน้า เพราะเครื่องจักรขนาดใหญ่ ชิ้นส่วนเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ฮาร์ดแวร์ คอมพิวเตอร์ หลอดไฟแอลอีดี ที่ตอนนี้จีนผลิตได้อย่างมีคุณภาพสูงและราคาต่ำจะขายได้ยากในสหรัฐฯแน่ๆ จีนจึงไม่อยู่เฉยตอบโต้กำแพงภาษีของสหรัฐฯอย่างทันทีและอย่างมีมูลค่าเท่ากัน ซึ่งรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรกับจีนก็เข้ามาร่วมแล้วโดยนายกรัฐมนตรีเมียดแวเดียฟ ลงนามคำสั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราร้อยละ 25-40 แม้สหรัฐฯเคยพูดตลอดว่าตัวเองจะร่วมมือกับประเทศต่างๆ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ เข้ามาเป็นผู้นำในการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการค้าสินค้า บริการ ทรัพย์สินทางปัญญา มาตรการลงทุน แต่วันนี้ ทรัมป์กลับละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศตามกรอบขององค์การการค้าโลกด้วยตัวเอง จึงเป็นผู้จุดชนวนสงครามการค้า ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก
ขณะที่คนทั้งโลกเฝ้าดูต่างลุ้นกันว่าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ใครจะเป็นแชมป์เศรษฐกิจโลก แต่ไม่ว่าอย่างไร สำหรับเราๆแล้ว ไม่ว่าจีนหรือสหรัฐฯชนะ คนที่แพ้ก็คือชาติเล็กประเทศน้อยทั่วโลก เพราะกำแพงภาษีที่สหรัฐฯนำมาใช้อย่างละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศตามกรอบดับเบิลยูทีโอจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมาก เช่น การส่งออกของไทยในปีนี้ น่าจะลดลงแน่นอน เพราะไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ สินค้าไอที อิเล็กทรอนิกส์ และแผงวงจรไฟฟ้ารายใหญ่ให้แก่จีน เมื่อคิดสัดส่วนในการเติบโตของประเทศ การส่งออกมีสัดส่วนสูงถึง 70% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทำให้สภาพเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ติดลบมาแล้ว 3 ไตรมาส รวมกันเกือบ 5% คิดเป็นเงิน 300,000-400,000 ล้านบาท จะยิ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะปัญหาของเราเรื่องการเมืองอีก ทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศต่างชะลอตัว
สรุป
การค้าโลกเปลี่ยนแปลง นักวิชาการหลายคนลงความเห็นว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐหนนี้ ส่งผลให้เกิดสิ่งที่รู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อ เดอะ เกรต ดีเพรสชั่น คือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องยาวนานที่ลามออกไปทั่วโลกนั่นเอง “ สงครามการค้า” ครั้งนี้จึงส่งผลลบต่อทั้งสองฝ่าย และยังจะขยายผลต่อไปสู่การค้าโลก การชะลอลงของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้แย่ลงได้ แม้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่ส่งไปจีน แต่เป็นได้ว่าเราอาจได้ประโยชน์จากการส่งออกทดแทนในสหรัฐฯ และจีน. แต่ในระยะยาว ถ้าเราเข้าใจเบื้องหลังของความขัดแย้งดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เราก็จะเห็นว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ คงไม่จบง่าย ๆ จะปะทุขึ้นมาอีก สงครามการค้าจึงทำให้เศรษฐกิจโลกผันผวนได้ ดังนั้น ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและซับซ้อนนี้ เราจึงต้องเรียนรู้หลาย ๆ ทั้งวิธีคิด การปรับตัว การแข่งขันการทดลอง วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของเราเอง และต้องปรับตัวตามสถานการณ์ เพื่อจะประสบความสำเร็จในประเทศเราให้ได้ต่อไป.
Damien
ขึ้นชื่อว่า"สงคราม" แล้วอ่ะนะ อะไรๆก็ดูแย่ไปหมดแหละทั้ง เศรษฐกิจ การค้า แล้วก็ไม่ได้ส่งผลแค่สองประเทศ มันกระทบโยงใยกันไปหมด บอกเลยถ้ายืดเยื้อกว่านี้เจ๊งแน่นอน!!! อะไรจะบ้าคลั่งกันขนาดนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราชาวไทยในตอนนี้ ก็คงจะต้องใช้คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” เท่านั้นแหละที่จะช่วยตัวเราได้ในตอนนี้
Kamalanan
ก็ลองคิดดูสิคะ ตอนสงครามการค้า ด้านเครือข่าย ด้านสินค้า ของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ยังมีผลกระทบกับประเทศทางแถบเอเชียของเราเลยก็เลยสงครามการค้าไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นด้านอะไร ย่อมมีผลกระทบกับพวกเราอยู่แล้วไม่ว่าเราจะเป็นคนชนชั้นไหนด้วย แล้วที่จริงปีนี้ก็มีสงครามการค้าอย่างที่บอกทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐนั้นสูงขึ้น งั้นเราที่เป็นผู้ซื้อก็ต้องได้รับผลกระทบกันอยู่แล้วสิคะ
สมควร
เป็นอีกเรื่องนึงที่เข้าใจยากเหมือนกันครับเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ก็เข้าใจอยู่นะครับว่าเป็นการแข่งขันทางธุรกิจ แต่ก็ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศเสรีกับประเทศคอมมิวนิสต์ก็ยังมีต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ยังส่งผลกระทบต่อประเทศไทยด้วย บทความนี้ให้ภาพชัดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสหรัฐกับจีน ว่ายังไงก็ยังไม่ลงรอยกันอยู่ดีครับ
Kanmanee
มันต้องมีผลกระทบกับเราบ้างอยู่แล้วแหละ..ทำใจ ใครจะทำสงครามการค้ากับใครจะมากจะน้อยมันส่งผลกระทบให้กับประเทศอื่นๆด้วย ในฐานะผู้บริโภคเราก็ต้องเลือกต้องดูละว่าอันไหนซื้อได้อันไหนซื้อไม่ไหวก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ใช้ชีวิตแบบที่พอดี รับรู้ข่าวสารบ้างแต่ไม่ต้องเครียดจนเกินไปพยายามทำงาน ทำส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอค่ะ
งามตา
เดี่ยวนี้เขาทำสงครามกันไม่ต้องใช้อาวุธที่รุ่นแรงแล้วละคะ นี่เรากำลังเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สามเหมือนที่เราเคยเรียนกันมาไหมคะ สองประเทศนี้ ทั้งจีนกับ สหรัฐ ต่างก็เป็นประเทศผู้นำด้านการค้า ทั้งสองคงไม่ยอมกันแน่ๆ ต้องงัดไม้ตายของแต่ละประเทศออกมาใช้แน่ๆคะ เราว่าอีกไม่นานหลอกคะ บ้านเราคงได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนี้แน่ๆนะคะ
มะนาว
เดี๋ยวนี้สงครามอยู่สองอย่างนะที่กระทบหลายคน คือสงครามการค้า และสงครามการเมือง ส่วนสงครามแบบสมัยอยุธยาฆ่าฟันกันไม่มีแล้ว มาฆ่าฟันกันด้วยวิธีอื่นแทน และก็เจ็บหนักไม่แพ้กัน อย่างตอนนี้ก็เรื่องสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนลงครามการเมืองก็มีเรื่อยๆไม่ได้หายไปไหน ถ้าบ้านเราก็มีอยู่ ประเทศอื่นก็มีบ้าง ต้องทนกันไป
ก้ามปู
ใครช่วยสรุปให้เราฟังทีว่ามันเกี่ยวอะไรกับประเทศเรายังไงตรงไหน...เรารู้สึกว่าไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเราตรงไหน? อ่านบทความนี้เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ มันก็เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ใช่หรอ?? ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับประเทศเราซักหน่อย แถมในบทความยังบอกว่า เราอาจได้ประโยชน์จากการส่งออกทดแทนในสหรัฐฯ และจีนอันนี้ก็ดีไม่ใช่หรอ??
พลอย
สงครามการค้าหรอทำให้นึกถึงช่วง covid ระบาดที่ผ่านมาเลยค่ะ ก่อนหน้านั้นหน่อยก็จีนกับสหรัฐมีสงครามการค้ากันเรื่องพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใช่ไหมคะ คิดว่าประเทศไทยไม่เกี่ยวแต่เปล่าเลยค่ะได้รับผลกระทบเต็มเต็มๆ ของภาษีนำเข้าของจากจีนที่เคยซื้อกันถูกๆก็ขึ้น ไทยเราที่ได้รับผลกระทบนิดหน่อยก็ยังน่วมกันเป็นแถวๆ
อนันยช
ไม่เคยทราบเลยนะครับว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ สินค้าไอที อิเล็กทรอนิกส์ และแผงวงจรไฟฟ้ารายใหญ่ให้แก่จีน คิดว่าประเทศเขาทำเรื่องพวกนี้อยู่แล้วซะอีกเพราะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ที่เราใช้ๆกันมันมาจากจีนทั้งนั้นเลย ถ้าแบบนี้ก็แย่นะครับยิ่งช่วงนี้ด้วยการส่งออกชะรอตัวมากแน่นอนครับ ทั้งโควิด-19 ทั้ง การเมือง
มนูญ
เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่สงครามที่สู้รบกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ยังมีสงครามที่สู้รบกันแบบอ้อมๆอยู่นะครับสำหรับการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ผมอยากบอกเลยนะครับว่าทำไมไม่รักกันทำไมไม่ร่วมมือกันครับ ถ้าเป็นผมที่เป็นผู้นำประเทศคุณจะทำให้ไม่ต้องมีการเสียภาษีในระหว่างสินค้ากันไปเลยทีเดียวในการนำเข้า เพราะประชาชนจะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนกันแบบนี้ครับ
Sukkii
ใช่ครับเดือดร้อนมาก ไม่ว่าจะเป็นสงครามรูปแบบไหนก็ตาม คนที่เดือดร้อนที่สุดคือประชาชนตาดำๆอย่างพวกเราเสมอ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับสงครามนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเราโดยตรง ตอนนี้เอาโควิดให้มันผ่านพ้นไปก่อนดีกว่า ถ้าผ่านไปได้เดี๋ยวอะไรๆก็จะดีขึ้นเองเเน่ ช่วงนี้มีเพื่อนๆคนไหนได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างหนักมากไหมครับ แล้วมีวิธีเอาตัวรอดยังไงกันบ้าง??