หลายคนๆ ซื้อประกัน ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ เพื่อลดหย่อนภาษีเป็นหลัก แต่จริงๆแล้ว เราจะเห็นได้ว่าประกันสุขภาพ และประกันชีวิตมีประโยชน์มากกว่าแค่ลดภาษี นอกจากนั้นหลายคงอาจจะยังสงสัยกับสองสิ่งนี้ ว่ามันเหมือนกันไหม? ถ้าไม่ แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร? หลายคนเลยสงสัยว่าหากทำประกันชีวิตแล้ว จะได้รับความคุ้มครองด้านสุขภาพด้วยหรือเปล่า? บทความในวันนี้จะช่วยให้เห็นความแตกต่างครับ
ประกันชีวิต
การประกันชีวิต เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้น ก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่าย ให้แก่ผู้ได้รับภัย
1.ประกันชีวิตจะช่วยสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้แก่ครอบครัว
ในกรณีที่หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับผู้นำของครอบครัวโดยที่ยังไม่ได้มีการวางแผนทางการเงินที่ดีไว้ อาจจะทำให้ครอบครัวนั้นต้องประสบกับปัญหาอย่างรุนแรงได้ การวางแผนทำประกันชีวิตเอาไว้จะทำให้ครอบครัวนั้นมีหลักประกันที่มั่งคง โดยเงิน
ผลประโยชน์จากการทำประกันชีวิตที่ทำไว้ จะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินของครอบครัวได้
2.ประกันชีวิตจะช่วยให้เกิดการออมทรัพย์อย่างมีวินัยและต่อเนื่อง
เนื่องจากการประกันชีวิตโดยส่วนมากจะเป็นสัญญาระยะยาวที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันภัยเป็นประจำเป็นรายงวด ดังนั้นการทำประกันชีวิตจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เอาประกันภัยมีวินัยในการเก็บออม โดยแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาเก็บออมในรูปแบบของการชำระเบี้ยประกันภัยดังกล่าว ซึ่งจะช่วยในการวางแผนทางการเงินในระยะยาวของผู้เอาประกันภัยได้
3.ประกันชีวิตจะช่วยสร้างสภาพคล่อง
ข้อดีของการทำประกันชีวิตอีกประการหนึ่งคือการช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับผู้เอาประกันภัยได้ โดยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในระหว่างที่กรมธรรม์ยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญานั้น ผู้เอาประกันภัยสามารถใช้สิทธิกู้ยืมเงินโดยใช้กรมธรรม์ประกันภัยเป็นประกันได้
4.ประกันชีวิตสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
โดยผู้ที่ได้ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีระยะเวลาเอาประกันภัยตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ในกรณีประกันชีวิตทั่วไปได้สูงสุดถึง 100,000 บาท และกรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญได้สูงสุดถึง 200,000 บาท
ประกันชีวิตมีกี่แบบ? คำตอบคือ 4 แบบครับ
1. แบบตลอดชีพ (Whole life Insurance)
เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทตกลงจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ไม่ว่าจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม แต่ถ้าหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 99 ปี บริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย
2. แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)
เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นี้ เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด ## 3. แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)
เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น 1 ปี, 5 ปี, 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งสัญญาประกันชีวิตแบบนี้มีลักษณะเป็นการให้ความคุ้มครองการเสี่ยงภัยอันเกิดจากการเสียชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีการสะสมทรัพย์รวมอยู่ด้วย จึงมีลักษณะเช่นเดียวกับสัญญาประกันอัคคีภัย เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วจึงไม่มีมูลค่าใด ๆ คืนให้ผู้เอาประกัน
4. แบบเงินได้ประจำ (Annuities Insurance)
เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไปจนครบสัญญา แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ และขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ สัญญาประกันชีวิตแบบนี้เหมาะกับผู้เอาประกันภัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสะสมทรัพย์ไว้เป็นค่าใช้จ่ายหลังจากที่เกษียณอายุการทำงานแล้ว
ประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพ (Health insurance) คือ การประกันภัยที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยจากโรคภัย หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ โดยบริษัทประกันภัยจะต้องทำสัญญาชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้กับผู้เอาประกันภัย เช่น ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น โดยประกันสุขภาพจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
- 1.การประกันสุขภาพและอุบัติเหตุแบบเดี่ยว
- 2.การประกันสุขภาพและอุบัติเหตุแบบกลุ่ม
ประกันสุขภาพคุ้มครองอะไรบ้าง
1. ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD)
การประกันสุขภาพผู้ป่วยใน คือ ความคุ้มครองกรณีผู้เอาประกันต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง กรณีที่ผู้เอาประกันเจ็บป่วย โดยรวมถึงการที่โรงพยาบาลรับตัวผู้ป่วยหรือผู้เอาประกันไว้ แต่เสียชีวิตลงภายใน 6 ชั่วโมงนั่นเอง
2. ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD)
การประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก คือ ความคุ้มครองกรณีผู้เอาประกันได้รับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่า 6 ชั่วโมง หรือไม่จำเป็นต้องรักษาตัว หรือผู้เอาประกันสุขภาพมีอาการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรง เช่น การเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย การฉีดวัคซีน เป็นต้น
3. ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (ECIR)
การประกันสุขภาพโรคร้ายแรง คือ ความคุ้มครองเกี่ยวกับโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง เป็นโรคที่ต้องใช้การรักษาเป็นระยะเวลานานและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, เนื้องอก เป็นต้น
4. ประกันอุบัติเหตุ (PA)
การประกันอุบัติเหตุ คือ ความคุ้มครองกรณีผู้เอาประกันภัยเกิดอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้ผู้เอาประกันต้องได้รับการรักษาพยาบาล ดังนั้นผลจากการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้งไม่ว่าผู้เอาประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ จะมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย หรือทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต บริษัทประกันจะต้องรับผิดชอบชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาตัวผู้เอาประกัน ถ้าหากว่าผู้เอาประกันต้องสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วย
5. ประกันชดเชยรายได้
การประกันชดเชยรายได้ คือ ความคุ้มครองเกี่ยวกับรายได้ของผู้เอาประกันระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยบริษัทประกันจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนเป็นรายวันให้ บางตัวอาจจะชดเชยวันละ 1000 บาท หรือมากกว่า นั้น ซึ่งเป็นการชดเชยเมื่อผู้เอาประกันภัยไม่สามารถทำงานได้เพราะต้องรักษาตัว
อยากรู้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร?ใช่มั้ยครับ
ด้านประโยชน์ของประกันแต่ละประเภท
ประกันชีวิต หากเกิดกรณีเราเสียชีวิต (หรือรอดชีวิตมาได้ถึงอายุจุดหนึ่ง) บริษัทประกันจะจ่ายเงินก้อนหนึ่งให้ลูกหลานเราที่ระบุไว้ว่าเป็นผู้รับผลประโยชน์ (กรณีเสียชีวิต) หรือคืนทุนประกันให้เราเต็มจำนวน (กรณีเรามีอายุถึงจุดหนึ่ง เช่น 90 ปี ครบตามสัญญาประกัน)
ประกันสุขภาพ หากเกิดกรณีเราล้มป่วย ทุพพลภาพ หรือได้รับอุบัติเหตุถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล บริษัทประกันจะจ่ายเงินให้เราสำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือค่าชดเชยกรณีเราไม่สามารถทำงานได้ต้องนอนอยู่โรงพยาบาล
ด้านการคุ้มครอง
ประกันชีวิต คุ้มครองการเสียชีวิต หรือจะคืนผลประโยชน์ให้แบบเต็มจำนวน เมื่อผู้เอาประกันยังคงมีชีวิตอยู่ไปจนครบสัญญาประกันภัยตามที่ระบุในกรมธรรม์นั้นๆ
ประกันสุขภาพ คุ้มครองด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล และเงินชดเชยรายได้เนื่องจากต้องนอนพักรักษาพยาบาล
ด้านระยะเวลาที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันรวมถึงระยะเวลาในการคุ้มครอง
ประกันชีวิต มีได้ทุกระยะเวลา แต่หากต้องการได้รับประโยชน์ในเชิงลดหย่อนภาษี ต้องซื้อแบบแผนประกันชีวิตตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และมีผลประโยชน์ตอบแทนคืน ไม่เกินปีละ 20% ของเบี้ยประกันชีวิตสะสม
ประกันสุขภาพ ขึ้นอยู่กับว่าทำแบบไหน ซึ่งสามารถทำได้หลายแบบ แบบปีต่อปี หรือแบบอิงตามระยะเวลาของประกันชีวิตหลักที่ประกันสุขภาพนี้เป็นส่วนเพิ่มเติม
ด้านของผู้ที่ได้ประโยชน์จากเงินสินไหม
ประกันชีวิต เงินประกันจะตกเป็นของผู้ที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ว่าเป็นผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งอาจเป็นตัวเราเอง สามี ภรรยา บุตรหลาน หรือพ่อแม่ของผู้ที่เอาประกัน
ประกันสุขภาพ เงินประกันจะจ่ายให้ในชื่อผู้เอาประกันเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือค่าชดเชยรายได้เท่านั้น
สรุป
ทั้งประกันชีวิต และประกันสุขภาพมีประโยชน์ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการซื้อ สุขภาพและความเสี่ยงของตัวเรา ต้องดูแลใครไหม มีรายได้แน่นอนหรือไม่ ป่วยบ่อยไหม งานที่ทำมีความเสี่ยงอุบัติเหตุแค่ไหน มีประกันสุขภาพกลุ่มซึ่งบริษัททำให้อยู่ไหม และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันเรามีมากน้อยแค่ไหน ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนสำคัญทั้งสิ้นในการที่จะดูว่าต้องซื้อประกันอะไร วงเงินแค่ไหน และคุ้มครองอะไรบ้าง ซึ่งก็ค่อนข้างจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่หลักๆ เลยก็คือ ถ้ายังมีครอบครัวต้องเลี้ยงดู และเป็นเสาหลักแหล่งรายได้หลักของครอบครัว เราควรมีทั้งประกันชีวิต และประกันสุขภาพเลยนะครับ เพื่ออนาคตที่ดี และมั่นคงของครอบครัว
สุนัย
ก็ต่างกันอยู่มากเหมือนในบทความนี้บอกมา แต่สำหรับผม ผมคิดว่าประกันชีวิตสำคัญมากกว่า คืออาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ค่อบป่วยบ่อยๆมั้งครับค่อนข้างเป็นคนที่แข็งแรงก็เลยคิดว่าประกันชีวิตจำเป็นมากกว่า เพราะอาจจะต้องเจอกับอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตแบบกระทันหันมากกว่าเจ็บป่วยครับ แต่สำหรับคนที่เจ็บป่วยบ่อยๆหรือมีแนวโน้มจะป่วยก็ทำประกันสุขภาพด้วยก็ได้นะไม่ว่ากันครับ
beer
เป็นบทความที่ให้ความรู้ครบถ้วนจริงๆครับเกี่ยวกับประกันสุขภาพและประกันชีวิต ทางที่ดีควรจะทำไว้ทั้งสองอย่างเลยครับ ช่วยเราให้สามารถมีทั้งค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพ และได้รับเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือในกรณีที่เสียชีวิตอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ โดยการพิจารณาจากรายรับของเราถ้าเรามีเงินเพียงพอก็สามารถสมัครได้ทั้งสองแบบเลยครับ
น้ำหวาน
คิดดูสิครับว่าการทำประกันเดี๋ยวนี้ทำประกันสุขภาพและยังต้องมาทำประกันชีวิตอีกต่างหาก ทำไมไม่ให้ทำแบบเดียวอันเดียวแล้วก็ดูแลแบบคบกันไปเลยล่ะคะ ก็นั่นแหละค่ะเพื่อเราจะได้ซื้อหลายๆตัวและเขาจะได้รับผลกำไรนั่นเอง วันนี้ทำให้เราเห็นว่าประกันชีวิตและประกันสุขภาพแตกต่างกันอย่างไร แล้วทำไมเราควรจะเลือกซื้อประกันทั้งสองอย่างไว้ด้วย
Sotorn
วัตถุประสงค์ในการทำประกันของแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นบางคนจึงทำประกันชีวิต บางคนทำประกันสุขภาพ ประกันทั้งสองอย่างนี้ก็มีแบ่งประเภทลงลึกไปอีก ซึ่งรายละเอียดของความคุ้มครองและผลประโยชน์ที่มีต่างกัน เราจึงเลือกทำประกันต่างกันครับ ถ้าใครคิดจะทำประกันสักฉบับควรดูให้แน่ใจว่าคุณต้องการประกันแบบไหนกันแน่จะได้ทำถูกฉบับครับ
ต้นกล้า
งั้๊นแสดงว่า ทั้งประกันชีวิต แล้วก็ประกันสุขภาพ เราสามารถที่จะทำไปพร้อมๆกันได้ใช่ไหมครับ ไม่จำเป็นว่าต้องเลือกทำตัวใดตัวหนึ่งใช่ไหมครับ ผมเองก็กำลังลังเล อยู่พอดีครับว่าจะเลือกอะไรดี แต่ถ้ามันสามารถ ทำได้พร้อมๆกันตามที่ผมคิด มันก็ดีเลยสิครับ ว่าแต่ ถ้าผมจะทำ พอที่จะแนะนำได้ไหมครับ ว่าผมจะทำกับประกันของเจ้าไหนดีครับ
จิ้งโจ้
ผมทำประกันกับ AIA ครับขอแนะนำ แต่ว่าประกันตัวไหนอันนี้ของผมกับของคุณอาจจะไม่เหมือนกันยังไงก้เข้าไปสอบถามเองได้เลยครับ ผมเป็นลูกค้าของเขาแต่ไม่ใช่เซลล์ขายประกันของเขาครับ แล้วผมว่าทำประกันทั้งสองอย่างไปเลยก็ดีครับมันครอบคลุมดี เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไม่เหมือนกัน มันเลยทดแทนกันไม่ได้ครับ ผมเองก็เลือกทำประกันทั้งสองอย่างเหมือนกัน
อาเฮีย
ใครเจ็บป่วยบ่อยก็เลือกทำประกันสุขภาพ แต่ถ้าใครอยากมีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณแนะนำให้ทำประกันชีวิต ประกันชีวิตมันก็มีให้เลือกเยอะครับเช่น 10 ปีหรือ 20 ปี แล้วแต่เราเลยครับ เลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองถึงจะได้ประโยชน์คุ้มค่า อีกอย่างถ้าจะทำก็ต้องรีบทำนะครับอย่าทำตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะว่าจะทำให้ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันแพงครับ
เต่า
ถ้างั้นจากที่ดูแล้วถ้าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแต่อยากสร้างหลักประกันให้กับครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอย่างนั้นทำประกันชีวิตไว้ก็ดีกว่าสินะครับผมเองยังไม่มีครอบครัวตอนนี้ยังไม่วางแผนว่าจะมีแต่ในอนาคตก็ไม่แน่ถ้าเริ่มทำประกันชีวิตไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็น่าจะดีกว่า แถมยังช่วยลดภาษีได้ด้วย เพิ่งจะรู้นี่แหละครับว่าประกันชีวิตกับประกันสุขภาพมันต่างกัน
พิมพิลาไล
เอาว่า ถ้ามีเงินก็ทำมันทั้งสองอย่างเลยละกัน ดูแล้วได้กับได้จริงๆ แต่อาจจะเลือกประกันสุขภาพที่ราคาเบี้ยมันไม่ค่อยสูงหน่อย เพราะว่าใจลึกๆก็เสียดายเงินที่ต้องเสียเปล่าอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเอามาเปรียบกับการคุ้มครองแล้วเราก็ยังว่าคุ้มอยู่ดี เพราะตอนนี้ยิ่งมีโรคแปลกๆเยอะแยะไปหมด มีไว้ก็ช่วยเรื่องการรักษาแล้วค่าใช้จ่ายนะคะ
น้ำตาล
ดูเหมือนว่าประกันชีวิตจะตอบโจทย์ต่อการใช้ชีวิตให้มากกว่าเลยนะคะ เพราะว่าประกันชีวิตจะช่วยให้เราสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการเงินในอนาคตได้ค่ะ เป็นเหมือนกันเก็บเงินสําหรับวัยเกษียณและในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทำให้เราเสียชีวิต ก็ได้รับเงินตอบแทนสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย ถ้าเลือกได้ก็ทำทั้ง 2 อย่างค่ะ
มะเฟืองหวาน
เราขอทราบได้ไหมคะ เราเองก็ซื้อประกันชีวิตกับประกันสุขภาพเอาไว้นะคะ ที่อยากทราบคือ เราวามารถเลือกซื้ออย่างใดอย่างหนึ่งได้เหรอคะ เพราะเราเข้าใจมาตลอกว่าถ้าเราจะซื้อประกันสุขภาพได้เราต้องมีประกันชีวิตก่อนถึงสามารถทำได้ คือเรางงกับที่เพื่อนๆตอบคะ บางคนก็บอกว่าซื้อประกันสุขภาพดีกว่า บางคนก็บอกประกันชีวิตดีกว่า ตกลงแล้วคืออะไรคะ
กิ๊บ
@สุนัย เราเองก็ยังชั่งใจอยู่นะคะว่าจะเริ่มลงทุนกับประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตดี คือประกันสุขภาพก็ให้ความคุ้มครองมากกว่าแต่ว่าถ้าเราไม่ได้เคลมเลยเนี่ยมันรู้สึกมันเราต้องเสียค่าเบี้ยประกันทุกปีไปฟรีๆอาจจะมีได้เงินปันผลมาบ้างแต่ว่าส่วนน้อยค่ะรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มประกันชีวิตอีกใจนึงรู้สึกว่าประกันชีวิตน่าสนใจเทใจให้ประกันตัวนี้มากกว่าแต่ติดอยู่ที่ค่าเบี้ยประกันส่วนใหญ่แพงจริงๆค่ะ
Cho
@เต่า เพิ่งจะรู้หรอครับ คุณไปอยู่ที่ไหนมา ผมไม่ได้ทำแบบกวนๆนะ แต่คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าประกันชีวิตกับประกันสุขภาพต้องมีความต่างกันอยู่แล้วแค่ชื่อประกันก็บอกแล้ว แล้วก็ไม่ได้ต่างกันนิดหน่อยนะต่างกันมากเลยทีเดียว ถ้าคุณอ่านบทความนี้แล้วคุณก็คงจะรู้แล้วล่ะว่าต่างกันยังไงบ้าง เป้าหมายในการทำประกันทั้ง 2 อย่างก็ต้องตัดผมด้วยนะ
กุชชี่
@ k.ต้นกล้า ตามปกติแล้วบริษัทประกันทั่วๆไปเค้าจะให้เราสมัครสัญญาหลักก่อนนะคะคือประกันชีวิต หลังจากนั้นถึงจะสมัครสัญญาเพิ่มเติมได้ว่าอยากจะคุ้มครองเรื่องอะไรเพิ่มเติม เช่น อุบัติเหตุ สุขภาพ อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ แต่บางที่ก็สามารถซื้อได้เลยโดยไม่ต้องสมัครสัญญาหลัก อาจจะสำหรับคนที่มีงบจำกัด เช่น ถ้าคุณอยากจะทำประกันสุขภาพก็สามารถที่จะสมัครได้เลยก็มีค่ะ
Ann
บทความเรื่องนี้ทำให้รู้ว่าประกันสุขภาพกับประกันชีวิตต่างกันยังไง นอกจากนั้นก็ยังทำให้หลายๆคนคิดนะคะว่าสำหรับตัวคุณเองแล้ว ประกันแบบไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่าตอนนี้ ถ้าจะเลิกซื้อแต่เลือกซื้อประกันชีวิตก่อนหรือประกันสุขภาพก่อนดี ก็เป็นเรื่องน่าคิดนะคะ อยากถามความคิดเห็นของหลายๆคนค่ะแต่ละคนเลือกซื้อประกันแบบไหนก่อน?
Jitra
ประกันสุขภาพ ประกันชีวิตจำเป็นหมดตอนนี้ และประกันโควิดก็สำคัญเหมือนกันนะคะ เพราะว่าตอนนี้โควิดกำลังระบาดหนักมาก เพื่อนๆคนไหนทำของที่ไหนกันไว้บ้างรึยังคะ?? แต่เห็นว่าตอนนี้สินมั่นคงแบบ เจอ จ่าย จบ เค้ายกเลิกไปแล้ว และยกเลิกกรมธรรม์ด้วยใช่ไหมคะ มาแชร์กันได้นะคะว่าทำของที่ไหนดีและมีความคุ้มครองยังงัย....
เหมียว*-*เหมียว
@ Jitra เราทำของบริษัทไทยประกันชีวิตค่ะ ที่นี่ดีมากเลยนะ "เจอ-จ่าย-จบ" เขาก็ยังไม่ได้ยกเลิกนะคะในขณะที่บริษัทอื่นเขายกเลิกไปแล้ว ประทับใจเลยค่ะเลยทำสัญญาต่อเลย หายากนะคะบริษัทประกันที่ไม่ทิ้งลูกค้าแบบนี้เนี่ย อีกอย่างประกันของเขาเนี่ยคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่อง Home Isolation ด้วยนะ ยังไงลองดูนะคะ เราว่าที่นี่ดีค่ะ
Nopadol
บทความนี้สรุปได้ดีครับ "ทั้งประกันชีวิต และประกันสุขภาพมีประโยชน์ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการซื้อ" หากอยากได้ความคุ้มครองทั้งสองอย่าง ก็ต้องซื้อทั้งสองอย่าง ค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายอาจจะเยอะ แต่ได้ความคุ้มครองแบบครอบคลุม ยังไงก็ต้องซื้อประกันชีวิตก่อนแล้วถึงจะซื้อประกันสุขภาพได้ ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นครับ
วัชรศักดิ์
แสดงว่าต้องซื้อประกันทั้งสอง อย่างเลยถึงจะได้รับการคุ้มครองที่คุ้มค่า เพราะว่าจะเอาแค่ประกันสุขภาพอย่างเดียวก็ไม่ค่อยจะมีให้ซื้อด้วย เพราะส่วนใหญ่ต้องมีประกันชีวิตก่อนแล้วค่อยซื้อประกันสุขภาพพ่วงเข้าไป ประกันสุขภาพมีให้เลือกเยอะ อย่างตอนนี้ที่นิยม คือ ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล อันนี้คุ้มค่าที่สุดเลย