หนึ่งในหลายๆมาตรการที่รัฐบาลออกมาเพื่อช่วยในการเยียวยาประชนที่ขาดรายได้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 นั่นก็คือ การแจกเงินเยียวยา 5,000 บาทเป็นเวลาสามเดือนให้กับผู้ทำอาชีพอิสระที่ไม่มีประกันสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งเปิดให้ประชาชนได้เริ่มลงทะเบียนออนไลน์กันมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมานั้น มีประชาชนให้ความสนใจและยื่นเรื่องขอรับเงินเยียวยากันอย่างมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเดือดร้อนของผู้คนทางด้านการเงินที่เกิดจากการขาดรายได้ในช่วงวิกฤติของโรคระบาดครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเงิน 5,000 ต่อเดือนนั้นอาจดูไม่มากมายอะไร แต่หากเราจัดการบริหารเงินจำนวนนี้ให้ดี ก็จะสามารถมีใช้ได้เพียงพอต่อการดำรงชีพในแต่วันให้ผ่านพ้นไปได้ทั้งเดือนในระหว่างวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด 19 นี้ค่ะ ในวันนี้เราจึงนำบทความเรื่อง “วิธีอยู่อย่างฉลาดด้วยเงินเยียวยาเพียง 5,000” ที่จะทำให้ทุกท่านได้มองเห็นแนวทางการบริหารจัดการเงิน 5,000 บาทให้มีเพียงพอไปได้ตลอดทั้งเดือนว่าสามารถทำได้อย่างไรมาฝากกันค่ะ ส่วนจะมีวิธีการจัดสรรอย่างไร หรือมีอะไรที่ต้องดำเนินการกันบ้างนั้น ขอเรามาติดตามไปพร้อมๆกันได้เลยค่ะ
ต้องใช้เงินก้อนนี้เพื่อการยังชีพหรือเลี้ยงชีพจริงๆ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้รับสิทธิ์จากมาตรการเยียวยาของรัฐบาล ที่ได้รับเงิน 5,000 บาทเป็นจำนวนสามเดือนนั้น ก่อนอื่นเลยคุณควรต้องทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อนว่า คุณเองคือหนี่งในผู้เดือดร้อนที่รัฐบาลให้ได้รับสิทธิ์รับเงินเยียวยาครั้งนี้ เนื่องจากภาวะขาดรายได้ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ต้องหยุดพักงานเพราะผลกระทบของโรคระบาดในครั้งนี้ แม้ว่าเงิน 5,000 บาทที่ได้รับอาจดูไม่ได้มากมายอะไร หรือบางทีอาจจะดูไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตให้ครบเดือนเสียด้วยซ้ำ แต่คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัว ปรับใจให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ด้วยเงิน 5,000 บาทนี้ค่ะ ฉะนั้นการจัดสรรเงิน 5,000 บาทนี้ให้เพียงพอใช้ต่อไปได้ตลอดเดือนได้นั้นคือ คุณต้องใช้เงินก้อนนี้เพียงเพื่อการยังชีพหรือเลี้ยงชีพจริงๆเท่านั้น คุณถึงจะอยู่รอดได้ค่ะ
การจัดสรรเงิน 5,000 บาทให้เพียงพอต่อเดือนนั้น คุณอาจทำได้ง่ายๆเช่น นำเงิน 5,000 ÷ 30 = 166 นั่นคือคุณจะใช้เงินได้เพียงวันละ 166 บาทเท่านั้น โดยที่คุณจะต้องมีวินัย และซื่อสัตย์ที่จะไม่ใช้เงินเกินในแต่ละวัน ซึ่งหากคุณอยู่ตัวคนเดียวก็คงพอที่จะอยู่ได้อย่างหนีบๆในแต่ละวันของช่วงที่ขาดรายได้ แต่หากคุณมีอีกหลายปากหลายท้องที่ต้องดูแลก็คงจะเกิดความขัดสนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็จำต้องอยู่ให้ได้ด้วยเงิน 166 บาทเช่นกันค่ะ ความเดือดร้อนที่เป็นผลกระทบที่ได้รับจากวิกฤติของโรคโควิด 19 นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่คนใดคนหนึ่ง แต่ได้แผ่กระจายไปสู่ผู้คนทั่วโลก ฉะนั้นในภาวะเช่นนี้ขอคุณได้ใช้ความอดทน ปรับสภาพกายใจให้ได้ เพื่อจะอยู่สู้ให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันค่ะ
เจรจาขอพักชำระหนี้ทั้งหมด
อีกวิธีสำคัญที่พึงกระทำเพื่อจะอยู่ได้ตลอดเดือนด้วยเงินเยียวยาเพียง 5,000 บาทนั่นก็คือ การเจรจาขอพักชำระหนี้ทั้งหมดค่ะ ซึ่งในสภาพการณ์ของการเกิดวิกฤติโรคระบาดเช่นนี้ หากคุณเป็นหนี้นอกระบบ คุณควรขอเจรจาการพักหนี้กับเจ้าหนี้โดยตรง เล่าถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับคุณที่เป็นสาเหตุให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อมาชำระหนี้ได้เหมือนดั่งปกติ มีเจ้าหนี้ที่ดีๆมีน้ำใจมากมายที่พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ในยามที่เกิดสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ แต่แม้หากการเจรจากับเจ้าหนี้บางรายนั้นคุณคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหนี้จริงๆ ก็ขอให้ไปพึ่งศูนย์ดำรงธรรมของแต่ละจังหวัดเพื่อเข้าช่วยเหลือค่ะ ในส่วนของผู้ที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินต่างๆ ในช่วงโควิด 19 นี้ทุกๆธนาคารก็ได้ออกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคาร โดยแต่ละธนาคารก็มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในวันนี้เราก็ได้รวบรวมมาฝากกันด้วยค่ะ คุณอาจดูสรุปข้อมูลเพื่อที่ใช้เข้าติดต่อขอเจรจาพักชำระหนี้ หรือขอรับความช่วยเหลือลูกหนี้จากธนาคารต่างๆได้ดังนี้ค่ะ
บัตรเครดิตและสินเชื่อหมุนเวียน
ในส่วนของบัตรเครดิตและสินเชื่อหมุนเวียนทางธนาคารต่างๆได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเช่น การลดดอกเบี้ย ค่าปรับ และธรรมเนียม , ลดการชำระหนีขั้นต่ำลงที่จากเดิมต้องชำระขั้นต่ำอยู่ที่ 10% เหลือเพียง 5% โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ปี 2563-2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 8% ในปี 2565 หลังจากนั้นก็จะกลับมาเป็น 10% ในปี 2566 ตามเดิมค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีการพักชำระหนี้ที่มีช่วงเวลาช่วยเหลือตั้งแต่ 3-6 เดือนที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันไปตามแต่ละธนาคารค่ะ
สินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวดๆและสินเขื่อทะเบียนรถ
ในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวดๆและสินเชื่อทะเบียนรถ ในส่วนนี้ทางธนาคารต่างๆก็ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปลอดเงินต้น โดยยกเว้นการผ่อนชำระเงินต้นเป็นเวลา 12 เดือน , การหยุดพักชำระหนี้เป็นเวลา 3 เดือน หรือลดยอดชำระต่อเดือนลดลง ซึ่งแต่ละมาตรการนั้นก็ต้องไปตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคารด้วยค่ะ
สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อลิสซิ่ง และสินเชื่อบ้าน
มาตรการของธนาคารต่างๆที่ช่วยเยียวยาสำหรับลูกหนี้ประเภทสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อลิสซิ่งที่ออกมา อย่างเช่น การพักชำระการผ่อนค่างวดระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน , การลดค่างวดต่อเดือนลง ซึ่งก็จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละธนาคารค่ะ
มาถึงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารต่างๆ ประเภทสินเชื่อบ้านกันค่ะ ซึ่งมาตรการที่ออกมาช่วยเหลือนั่นก็คือ พักการผ่อนชำระเงินต้น เป็นระยะเวลา 3-12 เดือน, ปรับยอดผ่อนชำระรายเดือน, ลดอัตราดอกเบี้ยและอื่น, ขยายเวลาการชำระหนี้, พักชำระหนี้เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งทุกๆอย่างก็มีเงื่อนไขและระยะเวลาเป็นไปตามแต่ละธนาคารค่ะ
ฉลาดอยู่ เพียง 5,000 ก็รอดได้นะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ “วิธีอยู่อย่างฉลาดด้วยเงินเยียวยาเพียง 5,000” ที่เราได้มาฝากกันในวันนี้ หวังว่าคงช่วยเพื่อนๆที่ได้รับความเดือดร้อนที่ได้เงินเยียวจากทางรัฐบาล ได้เห็นเป็นแนวทางเพื่อให้สามารถอดทนสู้กับวิกฤติของโรคระบาดครั้งนี้ให้ผ่านพ้นไปได้แบบที่ไม่ต้องมีกดดันมากกันแล้ว แม้เงิน 5,000 อาจไม่สนองความต้องการได้เพียงพอ แต่หากเราจัดสรรให้ดี และรู้จักใช้มาตรการที่ออกมาช่วยเหลือด้านต่างๆจากทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างฉลาด เราก็จะสามารถรอดผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้แม้เราจะมีเงินกันเพียงแค่เดือนละ 5,000 บาทเท่านั้นค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูล
https://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/Pages/FI_Support.aspx
น้ำหวาน
นอกจากเงินเยียวยาที่ได้รับแล้ว จำเป็นต้องมีวิธีการการใช้เงินเยียวยาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อจะเพียงพอสำหรับสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตในช่วงที่มีโรคระบาดโคโรน่าด้วย บทความนี้ช่วยให้ฉันเห็นถึงวิธีการที่จะช่วยให้เราสามารถใช้จ่ายเงินเยียวยาได้เพียงพอในช่วงนี้ค่ะ เพราะว่าบางคนมีหนี้สินหรือว่ามีค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกินมากกว่านี้ แต่ก็สามารถจัดการได้
Prasert
ผมดูข่าวมีหลายคนที่เอาเงินเยียวยา 5,000 บาทไปลงทุนค้าขายหรือเอาไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับอาชีพของตัวเอง ทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นหรือเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง เห็นแล้วน่าชื่นชมในการสู้ชีวิตของพวกเขานะครับ ผมยังจำได้ที่บางคนเอาเงินไปซื้อของใส่ตู้ปันสุขด้วย ยุคสมัยนี้ ท่ามกลางสถานการณ์แย่ๆอย่างนี้ มีเรื่องให้เรายิ้มได้ก็นับว่าดีมากเลยครับ
เหยี่ยว
จริงเหรอครับ ที่บอกว่าเงินเยียวยาที่ทางรัฐบาลมอบให้ เรา 5000 บาท เป็นระยะเวลา 3เดือนจะช่วยอะไรเราได้จริงๆ ขอย้ำนะครับว่า รัฐบาลช่วยเราเพียวแค่สามเดือนเท่านั้น มาคิดกันเล่นๆครับ บ้านผมมีกันอยู่ 6คน ผมกับแฟน ตกงาน ต้องเลี้ยงลูก 3คน และแม่ที่ป่วยนอนติดเตียง คุณคิดว่า เงินที่ได้ 2คน รวมกัน 10,000 บาท จะพอไหมครับ
ดงปราคช
ยังถือว่าดีนะครับที่ยังมีเงินในส่วนตรงนี้มาช่วย 5000 บาทในระยะเวลา3เดือนแต่ยังไงก็ตามเราก็ต้องบริหารเงินตรงนี้ให้พอใช้ในแต่ละเดือน เพราะคนส่วนมากก็ตกงานกันทั้งนั้น บทความนี้ดีมากๆเลยครับถือเป็นแนวทางนึงที่จะช่วยให้เราใช้เงินอย่างพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย ประหยัดและมีเงินใช้กินในทุกๆวันให้เกิดประโยชน์ที่สุดครับ
ฟลอย
บางคนบอกว่าเงินเยียวยา 5000 บาทต่อเดือนไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในสิ่งจำเป็น จริงเหรอครับ ต้องถามตัวเองก่อนนะครับว่าสิ่งจำเป็นสำหรับตัวเองคืออะไรเข้าใจถูกต้องตรงกันหรือเปล่า เพราะว่า ถ้านิยามสิ่งจำเป็นกลายเป็นสิ่งที่เราต้องการไปนั้นเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกครับสำหรับเงินเยียวยา เขาให้เอาไว้ซื้ออาหาร คืออะไรที่ขาดแล้วต้องตายนั่นแหละครับคือสิ่งจำเป็น
ย๊าา
พี่เราก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเหมือนกันค่ะ ไปลงทะเบียนเสร็จศัพท์ พอเงินเข้าบัญชี นางบริหารเงินดีมว๊าก ถือว่าเราชอบการใช้เงินของนางมากเลยค่ะ อย่างแรกพี่เราก็คิดไว้ก่อนเลยว่าจะไปซื้ออะไรเข้าบ้านมาบ้าง ซึ่งแน่นอนค่ะ 5,000 บาท ซื้อกับข้าวทุกวัน ให้ทุกคนในบ้านกิน ก็ถือว่ากำลังดีนะคะสำหรับการบริหารแบบพี่เรา ผลสรุปคือนางมาอ่าบทความนี้นี่แหละค่ะ
ธน
จะว่าไปแล้ว เงินเยียวยา 5,000 บาท นี่ช่วยต่อชีวิตเลยนะครับ อาจจะดูเหมือนว่าได้ไม่มากแต่ 5,000 บาท นี่ ถือว่าเป็นการช่วยเหลือที่เยอะที่สุดที่ทางภาครัฐให้แล้วนะครับ ผมเองก็รอดตาย เพราะเงิน 5,000 บาทนี่เลยครับ โดนเลิกจ้างงาน ตอนนั้นพอดีเลยครับ เงินเก็บแทบไม่มีเลย ผมได้เงินอันนี้แหละครับ ที่ช่วยให้รอดมา แล้วมีงานใหม่ในวันนี้ครับ
นิด
อันนี้เห็นด้วยจริงๆนะคะสำหรับคนที่ได้รับเงินเยียวยามาแล้วไม่ได้ประหยัดและใช้งบอยู่ในแค่ 5,000 วันนี้ไม่ฉลาดเลยค่ะ ต้องการเงินส่วนนี้เอาไว้จริงๆนะคะสำหรับการซื้ออาหาร แล้วต้องเป็นอาหารที่กินแบบประหยัดไม่ใช่กินแบบฟุ่มเฟือยด้วยค่ะ จะเป็นประโยชน์มากเลยสำหรับคนที่ต้องการใช้เงินจริงๆ แต่คนที่มีเยอะอยู่แล้วไม่ควรที่จะไปขอใช้บริการเงินเยียวยานี้เรื่องนี้เลยนะคะ