อย่างที่ทุกคนได้ยินข่าวมาว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังผันผวนกันยกใหญ่ อันเนื่องมาจาก ทรัมป์ ที่อยู่ดีๆก็จัดการเรื่องเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน (Tax Tariff) แต่ถ้าเพื่อนๆที่เป็นนักเล่นหุ้นและอ่านบทวิเคราะห์มา เพื่อนๆจะเห็นได้ว่า หุ้นเวียดนามหรือK-Vietnam ซึ่งเป็นตลาดเพื่อนบ้านของเราเนี้ยแหละที่กำลังน่าจับตามองตามบทวิเคราะห์และความเห็นจากผู้ที่มีประสบการณ์การเล่นหุ้นมาอย่างยาวนานมากมาย แล้วทำไมหุ้นเวียดนามถึงน่าจับตามองและน่าลงทุน ผมในฐานะผู้นำเสนอ ก็จะมาพาเพื่อนๆมาดูเหตุผลที่ทำให้หุ้น เวียดนาม นั้นน่าสนใจ น่าจับตามอง และน่าลงทุนกันมีเหตุผลอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย

เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องของเวียดนามมาจากประชากร

เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องของเวียดนามมาจากประชากร

ให้เพื่อนๆมาดูกันที่ภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามกันก่อน เพราะภาพรวมของเศรษฐกิจเวียดนามนั้นมีการคาดการณ์กันไว้ว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 6.7 – 6.8% ยาวไปจนถึงปี 2020 ซึ่งถ้าถามว่าเยอะไหม ผมต้องเอามาเปรียบกับประเทศไทยบ้านเรา ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วก็จะอยู่ที่ 3% เรียกว่า เวียดนามนั้นมีโอกาศที่จะเติบโตกว่าประเทศไทยบ้านเราถึง 2 เท่า นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ หุ้นเวียดนามถือเป็นตัวเลือกใหม่แห่งเอเชีย ที่นักลงทุนหลายคนเห็นว่าน่าลงทุนกันตามบทวิเคราะห์ และสาเหตุที่เศรษฐกิจเวียดนามมีแววจะเติบโตต่อเนื่องแบบนี้นั้นก็มาจากประชากร ซึ่งมาจากประชากรยังไง ก็ต้องบอกว่าประชากรของเวียดนาม นั้น เป็นวัยทำงาน ส่วนใหญ่ คิดประมาณก็อยู่ที่ 60% ของประชากรทั้งหมด และนั้นก็เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าคนวัยทำงานเหล่านี้มีความพร้อมที่จะทำงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นั้นเป็นสิ่งที่สวนทางกับหลายประเทศ รวมถึงบ้านเราด้วย ที่ตอนนี้ใกล้จะกลายเป็นสังคมผู้สูงวัยไปแล้ว

เวียดนามมีการสนับสนุนเม็ดเงินจากต่างชาติและรัฐบาลอย่างดี

เวียดนามมีการสนับสนุนเม็ดเงินจากต่างชาติและรัฐบาลอย่างดี

เวียดนามมีการสนับสนุนเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติดี คือ มีเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เป็นอันดับ 2 ในอาเซียน แต่ถ้าเทียบกับสัดส่วนต่อ GDP เวียดนามนั้นครองอันดับ 1 ไปเลยในอาเซียนและอีกอย่างคือมีการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยเป็นอย่างดี เพราะเวียดนามมีรัฐบาลที่คอยมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากๆ เพราะถ้ายิ่งมีการลงทุนจากรัฐบาลก็จะยิงทำให้เศรษฐกิจหมุนได้เร็วขึ้น ซึ่งรัฐบาลเวียดนามก็ทำการลงทุนจัดหนักตั้งแต่ปี 2017 มีการลงทุนปาเข้าไป 5.5% และยังคงมีแนวโน้มการลงทุนมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆซึ่งอย่างน้อยๆแนวโน้มการลงทุนนี้ก็น่าจะอยู่ถึง ปี 2025 กันเลยทีเดียว

เวียดนามมีระบบการเงินที่คงที่ไม่ผันผวนบวกกับนโยบายของรัฐที่สนับสนุนตลาดหุ้น

เวียดนามมีระบบการเงินที่คงที่ไม่ผันผวนบวกกับนโยบายของรัฐที่สนับสนุนตลาดหุ้น

เวียดนามถือเป็นประเทศที่สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี นั้นเพราะสามารถควบคุมการส่งออกนำเข้าได้เป็นอย่างดี และตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ในระบบก็มีการลดต่ำลงนั้นทำให้ค่าเงินของเวียดนามแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประเทศเวียดนามมีเศรษฐกิจที่แข็งแรง และ นโยบายของรัฐบาลเวียดนามก็เป็นนโยบายที่เป็นการสนับสนุนตลาดหุ้นด้วย เพราะดูจากที่ภาครัฐนั้นพยายามในการปฏิรูปตลาดเงินตลาดทุนอย่างต่อเนื่องและมีแผนการลดสัดส่วนในการถือครองรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ผ่านมาซึ่งเป็นการโอนกิจการของภาครัฐไปเป็นของภาคเอกชน (Privatization) ทำให้ตอนนี้ ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวัน ในตลาดหุ้นเวียดนามก็มีการเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ในช่วง 5 ปี ทำให้ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพและไม่ผันผวนหนักเท่ากับสมัยก่อน

เวียดนามกลายเป็นแหล่งลงทุนที่กำลังเนื้อหอมในตอนนี้

เวียดนามกลายเป็นแหล่งลงทุนที่กำลังเนื้อหอมในตอนนี้

ซึ่งถ้าเพื่อนๆลองสังเกตจากข้อมูลที่ผมนำมาให้กับเพื่อนแล้วในวันนี้จะเห็นว่า หุ้นของเวียดนาม K-Vietnam นั้นน่าสนใจและน่าลงทุนจริงๆ และยังไม่เพียงแค่หุ้นเท่านั้นที่น่าลงทุนและรวมไปถึงอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามก็น่าลงทุนด้วย เพราะแน่นอนล่ะ ก็มาจากเหตุผลคล้ายๆกันกับเหตุผลที่ทำให้หุ้นเวียดนาม K-Vietnam น่าสนใจ อย่างการที่เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามกำลังเติบโต และธุรกิจที่อยู่เบื้องหลังอย่าง พวกสถาบันการเงินอย่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ต่างๆย่อมเนื้อหอม เพราะเศรษฐกิจในประเทศยิ่งโตเท่าไร แนวโน้มเรื่องของการขอสินเชื่อก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แล้วนอกเหนือจากนั้นจากการที่ประชากรภายในประเทศมีรายได้เพิ่มสูงมากขึ้น กลุ่มอุปโภคบริโภค ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย

ลองคิดดูว่าถ้าในกระป๋าตังเรามีเงินเพิ่มมากขึ้น เป็นไปได้หรอที่จะไม่มีแนวโน้มในการใช้จ่ายที่มากขึ้น และยังมีเรื่องของภาครัฐที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ในส่วนนี้ไป ก็จะเป็น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และ รวมไปถึงกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย และสุดท้ายพอทุกอย่างเริ่มเติบโต กลุ่มสุดท้ายที่หนีไม่พ้น ก็น่าจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งก็มาจากนักท่องเที่ยวที่ไหลเข้ามาเที่ยวภายในประเทศเวียดนาม ซึ่งผมเชื่อว่าในอนาคตทริปการท่องเที่ยวเวียดนามจะมีมาให้เราเห็นเรื่อยๆอย่างแน่นอน