เมื่อเกิดความเจ็บป่วยเกิดขึ้น คนเราจึงจำเป็นที่จะต้องได้เข้ารับการรักษาจากแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ และสิ่งที่ตามมานั่นก็คือค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษาที่ตามมานั่นเองค่ะ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลแต่ละครั้งนั้นมีค่าใช้จ่ายที่แพงมากขึ้นในทุกๆวัน จนบางคนต้องถึงกับหมดเงินเก็บที่มีทั้งหมดเพื่อมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลกันเลยล่ะค่ะ “ประกันสุขภาพ” จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนในยุคปัจจุบันที่มองเห็นว่ามีความจำเป็น เพราะสามารถช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายในด้านค่ารักษาพยาบาลให้น้อยลงหรือหมดไปได้เป็นอย่างดี ทั้งยังให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมกับทุกๆรายละเอียดในการเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ดีอีกด้วย

แต่การที่เราจะตัดสินใจซื้อความคุ้มครองของประกันสุขภาพนั้นก็ไม่ควรแค่มองเห็นว่าสำคัญเพียงอย่างเดียวค่ะ ยังมีอีกหลายๆอย่างๆที่เราควรพิจารณาประกอบร่วมไปกับการตัดสินใจซื้ออีกด้วย วันนี้เรามีบทความดีๆอย่าง “6สิ่งที่ควรรู้ก่อนคิดซื้อประกันสุขภาพ” ที่นำมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ บทความที่จะช่วยให้เพื่อนนำข้อมูลมาใช้ในประกอบก่อนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพขอ เพื่อให้ประกันสุขภาพที่ซื้อนั้นคุ้มกับเงินเสียไป และเกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ จะมีเรื่องควรรู้อะไรบ้างนั้น เรามาติดตามไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

เบี้ยประกัน

เบี้ยประกัน

สิ่งแรกที่เราควรต้องรู้ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพนั้นคือเรื่องของ “เบี้ยประกัน” นั่นเองค่ะ เบี้ยประกัน คือเงินที่เราชำระให้แก่บริษัทประกันในการซื้อความคุ้มครองสุขภาพต่อปี ซึ่งตรงนี้หลายๆบริษัทก็มีทางเลือกให้กับลูกค้าสามารถเลือกได้ค่ะว่าอยากจะชำระเป็นรายปี รายหกเดือน หรือรายเดือนค่ะ และเบี้ยประกันสุขภาพนั้นจะไม่เป็นอัตราคงที่เท่ากันทุกปีตลอดไปเหมือนกับเราซื้อประกันชีวิตหรอกค่ะ แต่ค่าเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นไปตามความเสี่ยงของคนเรา โดยใช้ปัจจัยในเรื่องของเพศ วัย อาชีพ ประวัติสุขภาพเข้ามาประกอบในการคิดคำนวณออกมาค่ะ

เช่น เด็กเล็กและวัยชราก็จะมีค่าเบี้ยประกันที่แพงกว่าคนในช่วงวัยทำงาน , เพศชายจะมีค่าเบี้ยประกันที่ถูกกว่าเพศหญิงในวัยเดียวกัน , คนประกอบอาชีพในกลุ่มเสี่ยงจะมีค่าเบี้ยที่แพงกว่าคนที่ประกอบอาชีพทั่วไป หรือ คนที่มีประวัติเจ็บป่วยมาก่อนอาจถูกเพิ่มค่าเบี้ย หรืออาจยกเว้นรวมคุ้มครองในโรคที่เคยเป็นมา หรือบางทีอาจถึงขั้นไม่รับประกันเลยก็เป็นได้ค่ะ ซึ่งอัตราค่าเบี้ยเบี้ยจะถูกปรับขึ้นหรือลดลงตามช่วงอายุค่ะ โดยบริษัทประกันมักจะแบ่งช่วงอายุแต่ละช่วงนั้นห่างกัน 5 ปี เช่น อายุ 0-5 ปี , อายุ 6-10 ปี , อายุ 31-35 ปี  , อายุ 65-70 ปี โดยหากอยู่ในเพศเดียวกันนั้นก็จะมีค่าเบี้ยที่เท่ากันค่ะ

ค่าเบี้ยประกันจึงควรนำมาใช้พิจารณาก่อนการตัดสินใจซื้อเป็นอันดับแรกเลยค่ะ เนื่องจากมีอัตราของเบี้ยนั้นไม่คงที่ จึงต้องมีการสำรวจดูสภาพคล่องการเงินของตัวเราเองก่อนค่ะ เพื่อที่เราจะสามารถมีประกันสุขภาพได้โดยไม่รู้สึกเป็นภาระหนักเกินไปในวันข้างหน้า และสามารถซื้อความคุ้มครองอย่างต่อเนื่องได้ตลอดไป ในที่นี้เราขอแนะนำกับเพื่อนๆว่า ค่าเบี้ยของประกันสุขภาพต่อปีนั้นควรอยู่ 10-15% ของรายได้รวมต่อปีก็จะเหมาะสมที่สุดค่ะ

วงเงินคุ้มครอง

วงเงินคุ้มครอง

สิ่งที่เราควรต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพในหัวข้อถัดมาที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องของค่าเบี้ยประกันเลยนั่นก็คือ เรื่องของ “วงเงินคุ้มครอง” ค่ะ การเลือกวงเงินคุ้มครองนี้หากยิ่งเยอะก็จะยิ่งดี เพราะเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคไหนๆก็จะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดนั่นเอง โดยที่เราก็สามารถหมดห่วงเรื่องของค่ารักษาพยาบาลไปได้เลย เพียงแค่จ่ายค่าเบี้ยต่อปีเพื่อแลกกับความคุ้มครองเรื่องของสุขภาพของเรา การเข้ารับการรักษาครั้งไหนๆก็ไม่ต้อควักเงินเพิ่มอีกแล้วล่ะค่ะ

แต่ในทางตรงกันข้าม หากเราเลือกวงเงินคุ้มครองที่น้อยจนเกินไปเพราะเห็นแก่ค่าเบี้ยต่อปีที่ราคาถูก ประกันสุขภาพที่มีก็อาจไม่ครอบคลุมค่ารักษาของเราในทุกครั้งได้ค่ะ นั่นแสดงว่าเราต้องควักส่วนต่างเพิ่มนั่นเอง เช่น เราเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพที่มีค่าห้องอยู่ที่ 1200 บาทต่อคืน พอครั้นเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาต้องไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล กลับเลือกนอนห้องที่มีค่าห้อง 3200 บาทต่อคืน ส่วนต่างที่เกินมา 2000 บาทต่อคืนนั้นจึงเป็นส่วนที่เราต้องรับผิดชอบควักจ่ายเองค่ะ

วงเงินคุ้มครองจึงเป็นสิ่งที่เราควรนำมาพิจารณาก่อนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ เพราะการเลือกซื้อประกันสุขภาพที่มีวงเงินคุ้มครองที่เยอะค่าเบี้ยก็จะสูงเป็นเงาตามไปด้วยค่ะ ส่วนการซื้อวงเงินคุ้มครองที่น้อยจนเกินไปถึงแม้ว่าเบี้ยประกันต่อปีจะราคาถูก แต่ก็อย่าลืมค่ะว่าประกันสุขภาพก็จะไม่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งด้วยเช่นกัน และค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่เราต้องแบกรับความเสี่ยงนั้นไว้เองค่ะ จึงขอแนะนำให้เพื่อนๆที่คิดจะตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพว่า เราควรเลือกวงเงินคุ้มครองที่อยู่บนความเหมาะสมของพื้นฐานส่วนตัว และควรจะสอดคล้องกับสภาพทางการเงินของเราก็จะเป็นการดีที่สุดค่ะ

ความเสี่ยง

ความเสี่ยง

“ความเสี่ยง” ในที่นี้เราหมายถึง ความเสี่ยงในโรคที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราค่ะ เช่น ทางกรรมพันธุ์ ประวัติการเจ็บป่วยที่ผ่านมา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีภาวะเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลาค่ะ เราจึงควรเลือกประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไขความคุ้มครองที่ครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับตัวเราด้วยค่ะ เนื่องจากแต่ละบริษัทนั้นมีแบบประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป คนส่วนใหญ่มักซื้อประกันสุขภาพโดยนำค่าเบี้ยและวงเงินคุ้มครองมาใช้เปรียบเทียบว่าจะเลือกซื้อของบริษัทไหน พอเห็นบริษัทที่มีวงคุ้มครองที่เท่ากันแต่มีค่าเบี้ยที่ถูกหรือแพงกว่าก็นำมาใช้ในการตัดสินใจไปซื้อเสียแล้ว โดยที่ไม่ได้ศึกษาถึงเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของความคุ้มครองเข้าไปด้วย จึงทำให้เกิดปัญหาตามมาที่เราได้เห็นได้ยินกันอยู่บ่อยๆในเรื่องของการไม่ได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันนั่นเองค่ะ

เพราะฉะนั้นการมองแค่ค่าเบี้ยประกันหรือวงเงินคุ้มครองเพียงเท่านี้จึงอาจไม่สามารถครอบคลุมความเสี่ยงในเรื่องของสุขภาพของตัวเราได้ทั้งหมดค่ะ จึงขอแนะนำให้เพื่อนๆที่คิดจะตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพได้สำรวจความเสี่ยงต่อภาวะการเจ็บป่วยของตัวเอง และเลือกหาประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองได้ครอบคลุมความเสี่ยงของเรา โดยการศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดความคุ้มครองให้ดีควบคู่ไปกับเรื่องค่าเบี้ยประกัน และวงเงินคุ้มครองไปด้วย เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลังค่ะ

การคุ้มครอง

การคุ้มครอง

ในปัจจุบันบริษัทประกันมีแบบประกันสุขภาพให้เราได้เลือกซื้อกันอย่างหลากหลาย การพิจารณาก่อนการตัดสินใจซื้อนี้นอกจากเราควรต้องรู้ในข้อดังกล่าวที่ผ่านมาแล้วข้างต้น เราก็ควรจะต้องเลือกในเรื่อง “การคุ้มครอง” ก่อนจะตัดสินใจอีกด้วยค่ะ การคุ้มครองที่จะกล่าวในที่นี้คือ การคุ้มครองของประกันสุขภาพที่เราสามารถเลือกซื้อได้ว่าอยากจะให้ครอบคลุมในเรื่องสุขภาพของเรามากแค่ไหนกันค่ะ โดยส่วนใหญ่การคุ้มครองนั้นก็จะมีทั้งแบบ IPD  (ผู้ป่วยใน นอนพักรักษาเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป) และแบบความคุ้มครองในส่วน OPD (ผู้ป่วยนอก) นั่นเอง ซึ่งตรงนี้หากเพื่อนๆเลือกซื้อการคุ้มครองทั้งสองอย่างคือ IPD และ OPD ก็จะมีค่าเบี้ยที่สูงกว่าการเลือกคุ้มครอง IPD เพียงอย่างเดียว แต่ก็เรียกได้ว่าหากเราเลือกความคุ้มครองของทั้งสองอย่างแล้ว ก็สบายใจได้กับค่ารักษาพยาบาลในทุกๆครั้งของความเจ็บป่วยกันไปได้เลย เพราะไม่ว่าจะป่วยน้อยป่วยเยอะก็จะไม่ส่งผลกระทบกับเงินในกระเป๋าของเราอย่างแน่นอนเลยล่ะค่ะ

การที่เรามีการคุ้มครองของทั้งสองอย่าง ย่อมให้ความมั่นใจได้ว่าเราจะสามารถวางใจในเรื่องค่าการรักษาพยาบาลได้ก็จริงอยู่ แต่ก็ต้องแลกมากับการจ่ายค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น เราจึงขอแนะนำเพื่อนๆที่มีสวัสดิการกันอยู่แล้วค่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ บัตรทอง หรือประกันที่มีความคุ้มครองฉบับอื่นๆ ฯลฯ ลองตรวจสอบสิทธิ์ที่เรามีอยู่เสียก่อน และค่อยเลือกซื้อการคุ้มครองของประกันสุขภาพเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ตามความเหมาะสมส่วนบุคคลค่ะ เพื่อจะได้ไม่ซ้ำซ้อนจนเกินไป และเป็นเหตุให้ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพต่อปีที่มากเกินไปจนเกินความจำเป็นกันค่ะ

กระแสเงินสดของตนเอง

กระแสเงินสดของตนเอง

เนื่องจากประกันสุขภาพนั้นเป็นการซื้อความคุ้มครองเพื่อให้เกิดความอุ่นใจและสบายใจกับเรื่องของค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพของตัวเราที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ที่มีการคุ้มครองแบบปีต่อปี การจ่ายเบี้ยประกันจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องสำรวจกระแสเงินของตนเองว่ามีสภาพคล่องมากน้อยแค่ไหนก่อนการตัดสินใจซื้อค่ะ เพราะเนื่องจากต้องมีการชำระเบี้ยอยู่เป็นประจำทุกๆปีเพื่อแลกกับความคุ้มครองที่จะได้รับอย่างต่อเนื่องไปตลอด การมีกระแสเงินที่อยู่ในสภาพคล่องที่ดีนั้น

เราจะดูได้จากหากเราต้องชำระค่าเบี้ยไป เงินส่วนที่เหลือที่ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันก็ต้องไม่ได้รับผลกระทบค่ะ แต่หากเพื่อนๆคิดว่าหลังการชำระเบี้ยไปแล้ว มีผลกระทบด้านการเงินในการดำเนินชีวิตประจำวันด้านใดด้านหนึ่ง ก็ควรเลื่อนการพิจารณาที่จะซื้อประกันสุขภาพออกไปอีกสักหน่อย และหันมาใช้สวัสดิการที่มีอยู่นั้นเป็นทางเลือกทดแทนไปก่อนค่ะ เพียงเท่านี้การซื้อประกันสุขภาพของเพื่อนก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถซื้อความคุ้มครองได้ยาวนานตลอดไปค่ะ

โรงพยาบาลที่สามารถรักษาได้

โรงพยาบาลที่สามารถรักษาได้

“โรงพยาบาลที่สามารถรักษาได้” คือหัวข้อสุดท้ายที่เราควรรู้ก่อนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพกันค่ะ เราควรเลือกซื้อประกันสุขภาพที่มีโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลในเครือที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่ของประเทศที่เราอยู่ค่ะ เพราะหากมีโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ครอบคุลมพื้นที่ได้ทั่วนั้น ย่อมแสดงว่าการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นของเราในทุกขณะจะได้รับการรักษาทางการแพทย์ได้อย่างทันท่วงที สะดวกและง่ายในการเดินทางอีกด้วยค่ะ ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลพื้นที่ครอบคุลมของโรงพยาบาลและสถานพยาลได้จากทางบริษัทประกันของแต่ละบริษัท เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพของเราค่ะ

รู้ครบก็มั่นใจได้

รู้ครบก็มั่นใจได้

เป็นอย่างไรกันคะกับ “6สิ่งที่ควรรู้ก่อนคิดซื้อประกันสุขภาพ” บทความที่เรานำมาฝากเพื่อนๆกันในวันนี้ คงช่วยให้เพื่อนๆได้เลือกซื้อประกันสุขภาพได้อย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเราอย่างแท้จริงเลยใช่ไหมคะ เพราะการจะซื้อประกันสุขภาพสักฉบับนั้น หากเราไม่รู้ในทุกๆเรื่องก่อนการซื้อ ก็อาจทำให้ประกันสุขภาพนั้นไม่ครอบคลุมกับทุกๆด้านยามที่เราเจ็บป่วยได้ค่ะ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราควรจะต้องรู้ทุกเรื่องก่อนที่คิดจะซื้อ เพื่อให้เกิดความอุ่นใจ มั่นใจว่าประกันสุขภาพของเราจะดูแลเราได้ยามที่เราเจ็บป่วยนั่นเอง เรียกได้ว่า “รู้ครบก็มั่นใจได้” ค่ะ