การลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใดๆไม่ว่าจะตราสารทุน ตราสารหนี้ กองทุน หุ้นกู้ พันธบัตร ฯลฯ สิ่งที่มาควบคู่กันกับทุกๆการลงทุนนั่นก็คือความเสี่ยงค่ะ แต่จะเสี่ยงน้อยหรือเสี่ยงมากก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเราไปทำการลงทุนกับอะไร “ประกันชีวิต” ก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกคนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการเงินอนาคตชั้นเลิศ ที่ยกให้เป็นเครื่องมือวางแผนการเงินในอนาคตชั้นเลิศนั้นเป็นเพราะว่าประกันชีวิตมีข้อดีหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเป็นตัวช่วยจัดการความเสี่ยงทางการเงินจากเหตุที่ทำให้มีผลต่อร่างกาย หรือชีวิต , ให้ผลตอบแทนที่แน่นอน, มีผลประโยชน์เพิ่มเติมทางด้านภาษีจากสิทธิ์ลดหย่อน และอื่นๆอีกมากมายค่ะ นอกจากนี้ประกันชีวิตยังเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำมากเสียจนแทบไม่รู้สึกถึงความเสี่ยงกันเลย นั่นจึงทำให้ประกันชีวิตกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินยอดนิยมของคนในยุคปัจจุบันค่ะ

ประกันชีวิตที่มีขายอยู่ในทุกวันนี้นั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายแบบ แต่น้อยคนนักที่จะรู้จัก หรือจะหันมาสนใจประกันชีวิตแบบำนาญ ซึ่งประกันชีวิตในแบบบำนาญนี้ก็มีดีอยู่ไม่น้อย และมีความน่าสนใจไม่ได้แพ้ประกันชีวิตในแบบอื่นๆเลยล่ะค่ะ เป็นอีกแบบประกันชีวิตที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับผู้ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินในช่วงชีวิตหลังเกษียณอายุค่ะ และยังเป็นแบบประกันชีวิตที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนเพิ่มเติมได้จากสิทธิ์ลดหย่อนที่ได้รับจากการซื้อประกันชีวิตแบบอื่นๆอีกด้วย ในวันนี้จึงอยากขอนำทุกท่านไห้มารู้จักกับประกันชีวิตแบบบำนาญกันให้มากขึ้นค่ะ เผื่อว่าจะได้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตให้ได้แบบประกันที่สามารถตอบโจทย์ของตัวเองได้ตรงจุดที่สุดค่ะ กับ “อยู่อย่างสบายใจ..ด้วยประกันชีวิตแบบำนาญ” จะเป็นอน่างไรบ้างนะ ขอไปติดตามกันได้เลยค่ะ

รู้จักให้มากขึ้นกับประกันชีวิตแบบบำนาญ

รู้จักให้มากขึ้นกับประกันชีวิตแบบบำนาญ

ก่อนอื่นเลยคงต้องพาเพื่อนๆมาทำความรู้จักให้มากขึ้นกับประกันชีวิตแบบบำนาญกันก่อนค่ะ ประกันชีวิตแบบบำนาญก็จะมีความคล้ายคลึงกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ แตต่จะต่างกันตรงที่เป็นการสะสมทรัพย์ที่จะเน้นในเรื่องของการช่วยให้มีรายได้หลังวัยทำงานค่ะ โดยจะเน้นการเริ่มคืนผลประโยชน์หลังจากที่อายุ 55 – 60 ปี ไปจนถึงครบกำหนดของสัญญากรมธรรม์ ซึ่งสัญญากรมธรรม์นั้นมักจะยาวนานไปจนถึงผู้เอาประกันอายุ 99 ปีกันเลยค่ะ จากจุดนี้เองจึงทำให้มีความต่างจากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ทั่วไป เพราะประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ทั่วๆไปนั้นมักจะมีการทะยอยคืนผลประโยชน์ในปัจจุบัน และรับเงินก้อนตอนสิ้นสุดสัญญากรมธรรม์ จึงทำให้อาจเกิดปัญหาตรงที่การบริหารเงินก้อนให้มีเพียงพอไปตลอดชีวิตช่วงหลังเกษียณนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลำบาก แต่ประกันชีวิตชีวิตแบบบำนาญจะมีผลประโยชน์คืนให้ทุกๆปีหลังจากอายุ 55 – 60 ปีไปตลอดจนครบอายุสัญญา จึงทำให้หมดกังวลไปได้เลยกับภาระทางการเงินที่จะเกิดขึ้นตลอดช่วงชีวิตในบั้นปลาย เรียกได้ว่าเป็นการออมเพื่อหวังผลในระยะยาวอย่างแท้จริงค่ะ โดยการจ่ายเบี้ยประกันนั้นก็มีให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงอายุครบ 55 ปี หรือชำระเบี้ยแบบระยะสั้นที่ 5 ปี หรือ 10 ปี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการชำระเบี้ยประกันในแบบใดก็จะเริ่มทะยอยรับผลประโยชน์หลังเข้าสู่วัยเกษียณแล้วเป็นต้นไปเหมือนกันค่ะ

ประโยชน์ของประกันชีวิตแบบบำนาญ

ประโยชน์ของประกันชีวิตแบบบำนาญ

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับประกันชีวิตแบบบำนาญกันไปแล้ว ที่นี้เรามารู้ถึงเรื่องประโยชน์ของประกันชีวิตแบบบำนาญกันบ้างว่าจะมีจุดน่าดึงดูดกันขนาดไหน ว่าแล้วเรามาไล่ดูกันไปทีละตัวกันเลยดีกว่าค่ะ

รับเงินบำนาญหลังเกษียณ

อย่างที่ได้กล่าวกันไปบ้างแล้วในข้างต้นว่าประกันชีวิตแบบบำนาญจะเริ่มทะยอยรับผลประโยชน์หลังจากผู้เอาประกันเริ่มเข้าสู่อายุ 55 – 60 ปี เป็นต้นไป (แล้วแต่ข้อกำหนดที่บอกไว้ในกรมธรรม์) ไปจนถึงจบสัญญากรมธรรม์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ 99 ปีค่ะ จึงทำให้สามารถมั่นใจได้เลยว่าช่วงชีวิตหลังวัยเกษียณจะยังคงมีเงินไว้ใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องยาวไปตลอดชีวิต จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการวางแผนการเงินให้กับตนเองในอนาคตค่ะ

เบี้ยประกันจะไม่หายแม้เสียชีวิต

หลายๆคนอาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ประกันชีวิตแบบบำนาญก็เหมาะกับคนที่อายุยืนที่ทำแล้วถึงจะคุ้มน่ะสิ? แน่นอนว่าไม่มีสามารถใครทราบอายุขัยของตัวเองกันได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่ ตรงนี้ก็อยากชี้แจงให้สบายใจกันได้เลยว่าประกันชีวิตแบบบำนาญนี้ ไม่ว่าจะอายุจะยืนหรือไม่ก็จะเกิดความคุ้มค่าได้เหมือนกันค่ะ เพราะเบี้ยประกันจะไม่หายแม้เสียชีวิตอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นการออมทรัพย์ในรูปแบบของประกันชีวิต เราจึงยังคงได้รับประโยชน์ในเรื่องของการความคุ้มครองชีวิตไปในตัวด้วยค่ะ หากเกิดกรณีที่ต้องจากไปไม่ว่าจะอยู่ที่ช่วงอายุใด ตั้งแต่วันที่กรมธรรม์เริ่มมีผลบังคับ ไม่ว่าจะก่อนเกษียณ หรือหลังเกษียณก็ตามจะได้รับเงินชดเชยก้อนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นทุนประกัน , เบี้ยประกันทั้งหมดที่ได้ชำระมา , มูลค่าเวนคืนเงินสด หรือเงินบำนาญตามจำนวนปีที่เหลือ ขึ้นอยู่กับว่าจำนวนไหนมากกว่าก็จะได้รับจำนวนนั้น ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกส่งมอบให้กับผู้รับประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ค่ะ ฉะนั้นเราจึงมั่นใจได้เลยว่าประกันชีวิตแบบบำนาญนี้จะเกิดความคุ้มค่ากับเราในทุกๆช่วงอายุอย่างแน่นอน

ช่วยประหยัดภาษี

สำหรับท่านที่เสียภาษีเงินได้ประจำปีอาจจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าประกันชีวิตสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 100,000 บาท แต่รู้ไหมว่าหากเป็นประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนเพิ่มต่างหากได้อีกตามเบี้ยประกันที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปี แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้จะต้องเป็นประกันแบบบำนาญที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป และต้องเป็นแบบที่มีการเริ่ทจ่ายผลประโยชน์ตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไปเท่านั้นค่ะ โดยสิทธิที่ใช้ลดหย่อนภาษีของประกันแบบบำนาญนี้จะถูกนับรวมกับกองทุนรวม RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ ดังนั้นหากว่าท่านใดที่ซื้อประกันชีวิตแบบทั่วๆไปยังไม่เต็ม 100,000 บาทกันดีแล้วล่ะก็ เมื่อตัดสินใจซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญนี้เพิ่ม ก็เท่ากับว่าจะได้สิทธิลดหย่อนที่มากถึง 300,000 บาทกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าช่วยประหยัดภาษีได้เพิ่มมากขึ้นจริงๆค่ะ การซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญจึงทำให้เราใด้รับผลประโยชน์ถึง 2 ต่อ นั่นก็คือทั้งในช่วงเกษียณ และจากสิทธิลดหย่อนภาษีที่เพิ่มมากขึ้นค่ะ

ประกันชีวิตแบบบำนาญ.. แบบประกันที่เหมาะกับทุกคนที่มองการณ์ไกล…

ประกันชีวิตแบบบำนาญ.. แบบประกันที่เหมาะกับทุกคนที่มองการณ์ไกล…

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ “อยู่อย่างสบายใจ..ด้วยประกันชีวิตแบบำนาญ” คงช่วยทำให้ทุกท่านได้รู้จัก และเห็นชัดแล้วว่าประกันชีวิตแบบบำนาญนั้นมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดกันขนาดไหน ด้วยความที่เป็นแบบประกันที่ไม่เหมือนใคร จึงทำให้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนในทุกๆช่วงวัยที่มองการณ์ไกล และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตหลังเกษียณค่ะ เพราะหลักในการวางแผนการเงินเพื่ออนาคตนั้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดๆก็ตาม หากสามารถเริ่มต้นได้เร็วก็ย่อมจะได้เปรียบกว่าเสมอ ในส่วนของประกันแบบบำนาญเองก็เช่นกันค่ะที่หากเริ่มต้นทำตั้งแต่อายุยังน้อยๆก็จะยิ่งทำให้ค่าเบี้ยประกันก็ยิ่งต่ำ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอจนเขยิบเข้าใกล้วัยเกษียณเสียก่อนจึงค่อยมาคิดทำกันจริงไหมคะ