ปัจจุบันเราจะสังเกตเห็นกันมากขึ้นว่าทางสถาบันการเงินและธนาคารต่างๆพยายามที่จะจัดแคมเปญ โปรโมชั่น หรือ ผลิตภัณฑ์ ให้เข้าถึงคนกลุ่ม Gen Y ซึ่งเป็นคนที่มีช่วงอายุอยู่ที่ 23 – 38 ปี เพราะคนที่มีอายุอยู่ในช่วงนี้เป็นคนที่ทางสถาบันการเงินและธนาคารต่างๆสังเกตแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ในช่วงวัยทำงาน กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่น่าจะมีกำลังมีศักยภาพในการจะนำข้อเสนอหรือบริการสินเชื่อของที่ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีการเสนอให้มาใช้ได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงที่ คนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วจะมีศักยภาพในการยื่นกู้ต่างๆกับทางธนาคารและสถาบันการเงินได้เพราะเป็นช่วงที่เริ่มทำงานมาได้สักระยะและได้รับเงินเดือนเป็นประจำทำให้เรียกได้ว่ามีเครดิตที่ค่อนข้างดีในสายตาของธนาคารและสถาบันการเงิน แต่จริงๆแล้วผลกลับออกมาว่า คนในกลุ่ม Gen Y นั้น เป็นกลุ่มคนที่มักทำให้เกิดหนี้เสียมากที่สุด คือ แปลได้ว่าคนในกลุ่มนี้นั้น เบี้ยวหนี้มีปัญหาทางการเงินมากที่สุดนั้นเอง ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็มาจากพฤติกรรมและนิสัยของคนกลุ่มนี้ที่มีพฤติกรรมที่ใช้เงินเกินตัวและใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไปกับของที่มันไม่ค่อยมีความจำเป็นจริงๆ เช่นของแบรนด์หรูต่างๆ ที่คนในกลุ่ม Gen Y เรียกของพวกนั้นว่า ของมันต้องมี
พฤติกรรมการใช้จ่ายส่วนใหญ่ของคน Gen Y เป็นอย่างไร?
พฤติกรรมของคน Gen Y ส่วนใหญ่ ก็จะมีพฤติกรรม ที่มักชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือเรียกว่าใช้เงินเก่งใช้เงินเกินตัว ซึ่งผมไม่ได้พูดเอาเองนะครับว่าคน Gen Y นั้นมีพฤติกรรมยังว่า ด้วยความคิดของผม แต่ผม พูดได้เพราะ มีผลวิจัยออกมาจริงๆ โดยผลวิจัยที่ผมนำมาอ้างอิง ก็จะเป็นผลวิจัยล่าสุดของ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ที่ได้จับมือกับ บริษัทไวซ์ไซท์ ที่เป็นผู้นำการให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลด้านโซเชียล เพื่อศึกษาพฤติกรรมทางการเงินจากข้อมูลโซเชียลมีเดียของคน Gen Yผ่านแคมเปญ ของมันต้องมี ก่อนอายุ 40 ซึ่งจากผลวิจัยดังกล่าวที่ผม นำมา ก็จะพบว่า คน Gen Y ส่วนใหญ่มีความฝันคล้ายๆกันว่า อยากที่จะมีชีวิตที่ดี ร่ำรวย มีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถเป็นของตัวเอง มีเงินเก็บ แต่ก็อย่างว่าแหละครับความฝันก็เป็นความฝันเพราะคน Gen Y ส่วนใหญ่ ไปไม่ถึงฝัน โดยที่ คุณนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร TMB Analytics ที่ได้จับมือกับ บริษัทไวซ์ไซท์ ทำวิจัย บอกว่า สาเหตุที่คน Gen Y ทำฝันให้เป็นจริงไม่ได้มาจาก เพราะติดกับดักกับของที่ไม่จำเป็น ที่เรียกว่า ของมันต้องมี โดย คน Gen Y ใช้จ่ายไปกับสิ่งของที่เรียกว่าของมันต้องมีถึง 69% ทำให้ความฝันที่อยากมีบ้านมีรถมีเงินเก็บนั้นเป็นไปได้ยากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้คน Gen Y ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยคืออะไร?
ก่อนที่จะไปดูปัจจัยที่ทำให้คน Gen Y ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยผมอยากให้ไปดูว่าคน Gen Y ใช้จ่ายไปกับอะไรบ้างที่คน Gen Y เรียกว่าของมันต้องมี โดยสิ่งของที่ทำให้คน Gen Y ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือ เรียกของเหล่านี้ที่ไม่มีความจำเป็นจริงๆว่าของมันต้องมี ก็จะมี โทรศัพท์ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋า นาฬิกาเครื่องประดับ โดยถ้าเอามาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่คน Gen Y ใช้เงินเดือนหรือรายได้ไปกับของเหล่านี้ต่อปีก็จะมีเปอร์เซ็นต์ ดังนี้ โทรศัพท์ 22% เสื้อผ้า 11% เครื่องสำอาง 8% อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 5% กระเป๋า 3% นาฬิกาและเครื่องประดับ 3% ซึ่งถ้าคิดเป็นตัวเงินที่ใช้จ่ายต่อปีก็จะสูงถึง 95,518 บาทต่อคน เรียกได้ว่าใช้เงินไปกับของเหล่านี้ ถึง 1 ใน 4 ของรายได้ต่อปีกันเลยทีเดียว หลังจากที่รู้กันไปแล้วว่าคน Gen Y ใช้จ่ายกับของอะไร มาดูปัจจัยที่ทำให้คน Gen Y ใช้จ่ายไปกับของเหล่านี้กัน โดยปัจจัยที่ผมจะบอกนั้นมาจากบทวิจัย โดยบทวิจัยบอกว่า 42% ที่ซื้อของเหล่านี้เพราะตามเทรนด์ และ 37% คิดว่าของเหล่านี้เป็นของที่จำเป็น และบทวิจัยยังบอกอีกว่า คน Gen Y ส่วนใหญ่กว่า 70% ไม่ได้ใช้เงินของตัวเองจริงๆในการซื้อของเหล่านี้ที่ไม่มีความจำเป็นจริงๆหรือเรียกว่าของมันต้องมีเหล่านี้แต่ใช้เงินที่ได้มาจากการกู้ธนาคาร บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ซึ่งทำให้ของเหล่านี้ที่ซื้อมามาพร้อมกับการผ่อนชำระและดอกเบี้ยซึ่งจริงๆแล้วบางอย่างที่คน Gen Yใช้รายได้ซื้อมาบางอย่างก็มีความจำเป็นจริงๆ เช่น โทรศัพท์ และ เสื้อผ้า และการที่ผมเอาบทวิจัยมาพูดแบบนี้ผมไม่ได้ต้องการจะให้เพื่อนๆที่อ่านบทความนี้เลิกใช้ โทรศัพท์หรือเลิกซื้อเสื้อผ้าเพราะ มันเปลื้องเงินที่จะซื้อ นะครับ
แต่ผมอยากจะให้ประหยัดเท่าที่ทำได้มากกว่า เช่น โทรศัพท์ถ้าเป็นในสมัยนี้ในปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งของที่มีความจำเป็นเพราะใช้สื่อสารแต่โทรศัพท์จริงๆก็ไม่จำเป็นใช่ไหมที่จะต้องซื้อรุ่นล่าสุดที่มันมีราคาสูง อาจจะซื้อ รุ่นก่อนหน้านิดหน่อยที่ราคามันถูกกว่าหน่อยเพราะยังไงการใช้งานหลักๆมันก็ใช้งานได้เหมือนกัน เพราะโทรศัพท์หน้าที่ๆหลักคือการโทรเข้าโทรออกหรือก็คือเครื่องมือสื่อสารนั้นเอง และเสื้อผ้า ก็สามารถที่จะเลือกเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์หรูที่มีราคาแพงเกินกว่าเหตุแต่เลือกเสื้อผ้าที่แค่เราใส่แล้วดูดีก็พอแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้สามารถจะประหยัดลงได้เยอะ และตอนนี้ในประเทศของเราก็มีคน Gen Y อยู่กว่า 14.4 ล้านคน และกว่า 50% คือ 7.2 ล้านคน มีการกู้เงินจากธนาคาร และ ใน 7.2 ล้านคนมีประมาณ 20% หรือประมาณ 1.4 ล้านคน ที่มีการเบี้ยวหนี้หรือเท่ากับ 7% ของยอด NPL รวมทั้งระบบ เป็นหนี้เสีย และมีแนวโน้มว่าคน Gen Y มีอัตราการเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จะแก้ไขพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เสี่ยงต่อปัญหาการเงินอย่างไร?
จากข้อมูลผลวิจัยที่ผมได้นำมาเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันจะเห็นว่าพฤติกรรมคน Gen Y นั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงินจะเรียกว่ามีโอกาสสูงดีหรือมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาทางการเงินแน่นอนดีก็แล้วแต่เพื่อนๆก็ตีความผลวิจัยที่ผมนำมาให้อ่านเอานะครับ แต่ไม่ว่าจะมีโอกาสสูงหรือมีโอกาสแน่นอนที่พฤติกรรมคน Gen Y จะทำให้เกิดปัญหาทางการเงิน แต่ก็เป็นเรื่องแน่นอนว่าถ้าพฤติกรรมมันจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทางการเงินเพื่อนๆก็อยากที่จะได้แนวทางการแก้ไขพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดปัญหาทางการเงินใช่ไหมล่ะครับ ซึ่งวิธีการแก้ไขพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดปัญหาทางการเงินก็ง่ายมากๆครับผมว่าทุกคนรู้ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาทางการเงินก็คือเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคำตอบที่ง่ายๆใช่ไหมครับแต่ทำยากมาก แต่มีอีกสิ่งหนึ่งจะสามารถช่วยได้มากในการแก้พฤติกรรมแต่ไม่ใช่มาจากตัวเพื่อนๆนะครับแต่มาจากการสนับสนุนจากทางสถาบันการเงินหรือธนาคารต่างๆ คือ การให้บริการของธนาคาร ที่ไม่ได้เน้นแค่การให้บริการทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าธนาคารคำนึงถึงความยั่งยืนการใช้บริการของผู้บริโภคให้มากขึ้น ธนาคารเองควรที่ให้ความรู้ทางด้านการเงินเพิ่มมากขึ้นและมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างการปล่อยสินเชื่ออะไรต่างๆให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น และเมื่อเพื่อนๆที่มีความรู้ทางด้านการเงินมากขึ้นสิ่งนี้แหละที่จะเป็นเครื่องมือในการช่วยให้การแก้พฤติกรรมของคน Gen Y ให้สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายขึ้น
ถ้าคุณเป็นคน Gen Y ต้องรีบตรวจสอบตัวเองแล้วนะ
อย่างที่บทความนี้พยายามจะสื่อให้เพื่อนๆได้รู้กันก็คือพฤติกรรมของคน Gen Y ที่มักจะทำให้เกิดปัญหาทางการเงิน เพราะฉะนั้นแล้ว หากเพื่อนๆเป็นคน Gen Y คือ เป็นคนที่อยู่ในช่วงอายุ 23 – 38 ปี ควรรีบที่จะตรวจสอบตัวเองให้เร็วที่สุดว่าเพื่อนๆนั้นมีความคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ตามที่บทวิจัยในบทความนี้ที่ผมนำมาให้เพื่อนๆอ่านบอกรึป่าวถ้าเพื่อนๆมีพฤติกรรมเหมือนกับบทวิจัยบอกในบทความนี้ให้เพื่อนๆพยายามที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมให้ได้นะครับอาจจะไม่ใช่การหักดิบแต่ค่อยๆเปลี่ยนและพยายามหาข้อมูลและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการเงินให้มากขึ้นผมเชื่อว่าถ้าเมื่อใดที่เพื่อนๆมีความรู้ทางการเงินมากพอพฤติกรรมที่ทำให้คน Gen Y ใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับของที่ไม่จำเป็นและทำให้เกิดปัญหาทางการเงินของเพื่อนๆจะหมดไป
Otilia
เดี๋ยวนี้คนGen Y ก็มีความเสี่ยงที่จะใช้เงินฟุ่มเฟือยได้เหมือนกันครับ เพราะว่าความสะดวกสบายในการใช้เงิน เงินที่มีการหมุนเวียนอยู่ในบัญชีใน application อิจฉาใช้ง่ายมีโปรโมชั่นและมีสิ่งล่อตาล่อใจเยอะขึ้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะใช้จ่ายตามโปรโมชั่นที่ application ดังกล่าวเสนอแนะ ถ้ายังไม่คิดเกี่ยวกับวิธีการใช้เงิน ก็อาจหมดตัวได้ค่ะ
ชาลี
ก็ทุกวันนี้นั้นมีสิ่งของไร้สาระมาล่อตาล่อใจวัยรุ่นเยอะแยะ ผมเองมีลูกสาวเป็นวัยรุ่ยเห็นว่าขอเงินซื้อของไร้สาระเยอะมาก นี่แหละที่่ทำให้คนสมัยนี้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง สมัยก่อนที่ผมยังหนุ่มๆไม่มีอะไรแบบนี้หรอกครับ อย่างมีลูกสาวเนี่ยพวกเครื่องสำอางนี้เยอะมากมีอะไรใหม่ๆออกมาก็ซื้อทั้งๆที่ของเก่ายังใช้ไม่หมด แต่ก็ต้องทำใจโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
สายป่าน
ไม่ใช่แค่คนเจนวายหรอกค่ะ ไม่ว่าคนเจนไหนก็มีปัญหาเรื่องการใช้เงินเหมือนกัน เพราะว่าเดี๋ยวนี้ดูเหมือนการใช้เงินหรือการจ่ายเงินจะเป็นเรื่องง่าย ผ่านทางกระเป๋าตังอิเล็กทรอนิกส์ และยังมีโปรโมชั่นดึงดูดใจให้ใช้จ่ายเงิน ซึ่งโฆษณาก็ดูเหมือนว่าได้ของที่ถูก ก็ถูกจริงนั่นแหละค่ะแต่ว่าซื้อบ่อยเหลือเกิน แบบนี้จะไม่มีปัญหาทางการเงินได้อย่างไรล่ะคะ
กนิษฐา
ไม่ว่าคนรุ่นไหน อายุเท่าไหร่ ถ้าไม่ระวังเรื่องการใช้เงินก็ประสบปัญหาทางการเงินกันได้ทั้งนั้นค่ะ บทความนี้ช่วยให้เราสำรวจตัวเองได้ดีเลย ถ้าดูจากช่วยอายุของ Gen Y เป็นวัยที่เริ่มและกำลังเติบโตด้านหน้าที่การงานอย่างดี มีสังคม มีเพื่อนฝูง เลยมีของที่มันต้องมีหลายอย่างหน่อย แต่ของพวกนั้นมาเร็วไปเร็ว ออมเงินไว้บ้างดีกว่าค่ะ
เจ้านาง
เราว่าคน Gen Y ไม่น่าจะอยู่ที่อายุ 38 นะ เราว่าคนแบบนี้ไม่เว้นอายุมากหรือน้อย แค่คนที่อายุเท่าที่ว่าเขา ทำงานแล้วก็เข้าห้างบ่อยกว่าเท่านั้นเอง ถ้าไม่เชื่อลอง มาดูที่บ้านเราสิ แม่เรา นี่ เป็นคน Gen Y เห็นอะไร ที่เป็นเทคโนโลยี่ นี่แม่เราจะสนใจเป็นพิเศษเลย นี่ตอนนี้ ชอบเอาโฆษณา เครื่องซักผ้าตัวใหม่มาให้เราดูบ่อยมาก เราก็บอกของเก่าใช้ได้อยู่แต่ก็แบบนะ แม่อยากได้
คุณปู่
ไม่ต้องอะไรมากครับ เอาแค่เรื่องของร้านค้าร้านสะดวกซื้อก็สอนได้แล้วว่าเด็กสมัยนี้มันใช้เงินเปลืองมาก สมัยเรามีแค่ร้านของชำหมู่บ้านหนึ่งมีร้านเดียว ไปซื้อของนานๆครั้ง สมัยนี้เด็กๆมันไปเซเว่นกันทุกวันวันละหลายๆรอบ ไม่สิ้นเปลืองได้ไง ไปซื้ออะไรก็ไม้รู้ กับข้าวที่บ้านก็ไม่กินไปกินข้าวกล่องอุ่นกับไมโครเวฟ อย่างนี้มันน่าบ่นจริงๆนะครับ
สายป่าน
เรา Gen X เราก็ยังฟุ่มเฟือยอยู่เลยนะ แต่ละเดือนหมดไปกับเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์และโทรศัพท์มือถือ แต่ตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่านมานี้ทำให้เราคิดได้ว่าสิ่งที่เราจำเป็นและต้องการจริงๆเวลาที่มันขาดแคลน มันไม่ใช่ของพวกนี้เลย มันก็มีแค่อาหาร ที่อยู่ และยา เท่านั้นเอง ตั้งแต่นั้นมาทำให้เราคิดอะไรได้และทำให้เราหยุดที่จะเป็นคนฟุ่มเฟือยไปได้เองเลยค่ะ
แป้ง
เนื่องจากดูเหมือนกับเป้าหมายการใช้ชีวิตของคน gen y จะตอบสนองต่อคนที่ต้องการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยจริงๆนะคะ เพราะว่าดูเหมือนการใช้เงินของเขาจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่สนองความต้องการของตัวเองไม่ใช่สิ่งจำเป็นจริงๆ อย่างเช่นความสะดวกสบายและความหรูหราและความสวยงาม ส่งผลทำให้เป็นไปได้ที่คน gen y จะมีหนี้สินหรือมีพฤติกรรมที่จะใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยค่ะ
อิสรินทร์
คนกลุ่มนี้ บางคนที่ใช้จ่ายแบบประหยัดก็มีนะ อย่าเหมารวมว่าเป็นกันทุกคนเลย อย่างเราๆที่อายุมากแล้ว ก็ยังทำตัวคล้ายๆกับ Gen X บางทีพอมีเงินเราก็อยากได้บางอย่างที่เราคิดว่ามันน่าสนใจใช่ไหม มันก็ต้องมีกันบ้างแหละ เรื่องความอยากได้ อย่าไปโจมตีเขาเยอะเลย เงินก็เงินของเขาหนี้ก็หนี้ของเขา ถ้าเราไปช่วยเขาจ่ายหนี้แล้วค่อยมาบ่นกัน
หนุ่ม
คนเจน y ใช้เงินไปกับโปรโมชั่นและสิ่งของที่ตัวเองคิดว่าจำเป็นถึง 69% ไม่ได้คิดว่าบ้านหรือสิ่งของที่ต้องมีจริงๆเป็นเรื่องที่จำเป็น กลายเป็นว่าของนอกกายที่ใช้แล้วเสียไปง่ายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวเองไปแล้ว และโดนโปรโมชั่นทำให้โดนหลอกคิดว่าตัวเองได้ใจไปในราคาที่ถูก ถูกก็จริงแต่ว่าจ่ายไปหลายอย่างทำให้โดนหลอกลวงไม่รู้ตัวอนาคตการเงินก็น่ากลัวเลยครับ