ผู้ครอบครองรถทุกประเภท มีหน้าที่ที่ต้องชำระภาษีรายปีตามกฎหมาย ซึ่งภาษีนี้เมื่อเราชำระแล้ว จะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุง หรือสร้างถนนหนทางต่างๆให้ดีขึ้น ดังนั้น ถ้ารถเหล่านั้นยังมีการใช้งานตามท้องถนนอยู่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องต่อภาษีตามระยะเวลาที่กำหนดเป็นประจำทุกปี

จะเป็นอย่างไรเมื่อเราไม่ต่อภาษีรถยนต์

จะเป็นอย่างไรเมื่อเราไม่ต่อภาษีรถยนต์

  1. ต้องเสียค่าปรับหากพบว่ามีการนำรถที่ขาดการต่อภาษีประจำปีมาใช้บนท้องถนน
  2. เสียภาษีย้อนหลัง 1% ต่อเดือน หากขาดต่อภาษีไม่เกิน 3 ปี
  3. หากมีการขาดต่อภาษีเกิน 3 ปีขึ้นไป รถคันนั้นก็จะถูกตัดทะเบียนออกจากบัญชี หมายความว่าทะเบียนรถคันนั้นจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป และไม่สามารถซื้อขายได้ตามกฎหมาย หากต้องการนำรถมาใช้อีก เจ้าของรถต้องไปยื่นขอจดทะเบียนใหม่และนำแผ่นป้ายเดิมไปคืนเพื่อขอป้ายใหม่ และทำการชำระภาษีย้อนหลังตามจำนวนปีที่ขาดชำระนั้น ยุ่งยากอยู่ไม่น้อยใช้ไหมคะ? ดังนั้น ทางที่ดีเราควรต่อภาษีของรถเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ แล้วการต่อภาษีมีขั้นตอนอะไรบ้าง? ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง? และทำได้ที่ไหนบ้าง? เรามาดูกันเลยค่ะ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การจ่ายภาษีรถยนต์ 2022 ที่นี่

เอกสารที่ต้องเตรียมในการต่อภาษีรถยนต์

เอกสารที่ต้องเตรียมในการต่อภาษีรถยนต์

  1. สมุดรายการจดทะเบียนรถ หรือ สำเนารายการจดทะเบียนรถ (ในกรณีที่รถคันนั้นอยู่ระหว่างการเช่าซื้อรถ หรือติดไฟแนนซ์อยู่) เนื่องจากเป็นเอกสารสำคัญ ระบุรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับรถ และรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ครอบครองรถ 2. หลักฐานการตรวจสภาพรถ (เฉพาะในกรณีที่รถเกิน 7 ปี เท่านั้น) สามารถตรวจสภาพรถได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัด หรือที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ก็ได้ แต่หากรถมีการขาดต่อภาษีเกิน 1 ปี หรือมีการปรับแต่งและดัดแปลงรถ ซึ่งสภาพไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสมุดคู่มือประจำรถ จำเป็นต้องตรวจสภาพรถที่ขนส่งจังหวัดเท่านั้น 3. เอกสารการรับรองการติดตั้งแก๊ส (ถ้ามี) ในกรณีที่รถบางคันมีการเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นแบบแก๊ส จะต้องมีใบรับรองในการติดตั้งระบบและใบตรวจสภาพจากวิศวกรแนบมาด้วย ซึ่ง หากเป็นระบบ LPG จะสามารถใช้รถได้ 5 ปี ต่อการตรวจ 1 ครั้ง และระบบ CNG จะต้องมีการตรวจใหม่ทุกปี 4. เอกสารการต่อ พรบ. (ประกันรถยนต์ภาคบังคับ) ที่มีอายุอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งการต่อพรบ.หลายท่านส่วนใหญ่แล้วจะต่อพร้อมประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ หรือหากไม่มีประกันภาคสมัครใจ ก็สามารถต่อผ่านตัวแทนประกันรถยนต์ได้ทั่วไป ซึ่ง เมื่อต่อแล้ว จะมีหางกรมธรรม์ พรบ.ที่สามารถฉีกออกมาต่อทะเบียนรถได้

ขั้นตอนการต่อภาษีรถยนต์

ขั้นตอนการต่อภาษีรถยนต์

สำหรับขั้นตอนการต่อภาษีนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เราต่อภาษีผ่านช่องทางไหน โดยหลักแล้วคือการรวบรวมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนเป็นอันดับแรก เราจะมาพิจารณาแต่ละช่องทางกันค่ะ

สำนักงานกรมการขนส่งทางบกทั่วประเทศ

ที่นี่เป็นช่องทางหลักและง่ายสุดในการต่อภาษี เพียงแค่รวบรวมเอกสาร แล้วไปที่ขนส่ง จับบัตรคิว ยื่นเรื่อง ชำระเงิน แล้วก็รอรับป้ายแสดงการเสียภาษีและกลับบ้านได้เลยค่ะ

เลื่อนล้อ ต่อภาษี (Drive Thru for Tax)

สำหรับวิธีนี้มีให้บริการที่ขนส่งเช่นกัน แต่อาจไม่ทั่วประเทศนะคะ ต้องเช็คกับขนส่งใกล้บ้านอีกทีค่ะ วิธีก็ง่ายมาก เพราะไม่ต้องลงจากรถเลย เจ้าหน้าที่จะอยู่ในตู้ เหมือนเราจ่ายเงินขึ้นทางด่วน นั่งรอต่อคิวในรถได้เลยค่ะ เมื่อถึงคิว ก็ยื่นเอกสารที่เตรียมมา ชำระเงิน รอป้ายแสดงการเสียภาษี และกลับบ้านได้ค่ะ วิธีนี้ถ้าหากเตรียมเอกสารมาไม่พร้อม อาจต้องขับรถออกมาก่อนและอาจถูกขอให้ไปทำเรื่องบนอาคารแทนนะคะ

ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ

วิธีการต่อภาษีที่ไปรษณีย์ก็ไม่ยุ่งยากมากนัก แต่จะไม่ได้ป้ายแสดงการเสียภาษีในวันนั้นเลยเพราะต้องส่งเรื่องไปทำที่กรมขนส่งก่อน อันดับแรกยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่เลยค่ะ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้ซองจดหมายมา 2 ซองด้วยกัน เขียนชื่อ-ที่อยู่ ของเราหน้าซองจดหมาย ซองแรกเขียนในช่องผู้รับ และอีกซองเขียนในช่องผู้ส่งค่ะ เสร็จแล้วกรอกแบบฟอร์มธนาณัติเพื่อส่งค่าธรรมเนียมไปที่กรมขนส่ง ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็จะมี ค่าธรรมเนียมธนาณัติ 44 บาท และค่าซองจดหมาย 6 บาทนะคะ (ราคาอาจไม่เท่ากันบางพื้นที่) เมื่อเสร็จแล้วก็กลับไปนอนรอที่บ้านได้เลยค่ะ ประมาณ 3-4 วันทำการ เอกสารและป้ายแสดงการเสียภาษีก็จะตามมาหาถึงหน้าบ้านกันเลยทีเดียว

ห้างสรรพสินค้าในโครงการ “ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี” (Shop Thru for Tax)

ช่องทางนี้ค่อนข้างง่ายและสะดวกสบายต่อขาช้อปทั้งหลาย เพราะเรียกได้ว่า ได้เที่ยวด้วยได้ทำธุระด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย ขั้นตอนก็เช่นเคยค่ะ เตรียมเอกสารทั้งหมดให้พร้อม แล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่จัดการได้เลย ช่องทางนี้เหมือนยกกรมขนส่งมาไว้ในห้าง เพราะทำที่นี่และรอรับป้ายที่นี่ได้เลยค่ะ และถ้าใครสงสัยว่ามีให้บริการที่ห้างไหนบ้าง สามารถเข้าไปเช็คได้ที่เว็บไซต์นี้เลยค่ะ : https://www.dlt.go.th/th/yearly-tax/view.php?_did=73

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)

ธนาคารนี้มีสาขามากมายทั่วประเทศเลยทีเดียว ดังนั้น ช่องทางนี้ก็ถือว่าสะดวกไม่แพ้จ่ายในห้างเลยค่ะ เตรียมเอกสารให้พร้อมแล้วยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร โดยมีเงื่อนไขดังนี้ รถที่ต่อผ่านช่องทางนี้ต้องไม่ค้างชำระภาษีเกิน 1 ปี และสามารถยื่นขอต่อภาษีล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือนค่ะ

จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ

ช่องทางนี้ถือว่าสะดวกที่สุดแล้วค่ะ เพราะแม้แต่หน้าปากซอยแถวบ้านก็มีเคาน์เตอร์เซอร์วิสด้วย เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ก็ยื่นต่อพนักงานได้เลยค่ะ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ - ต้องเป็นรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี เนื่องจากไม่ต้องตรวจสภาพรถ - ถ้าเป็นรถจักรยานยนต์ก็ไม่เกิน 5 ปี - ช่องทางนี้ต้องกลับไปรอใบเสร็จและป้ายแสดงการเสียภาษีที่บ้านนะคะ ภายใน 10 วันทำการ - ค่าบริการ 20 บาท และค่าจัดส่งทางไปรษณีย์ 40 บาท - หากมียอดค้างชำระเกิน 3 ปี ต้องไปชำระที่ขนส่งเท่านั้น

ผ่านช่องทางออนไลน์

ช่องทางนี้ ทันสมัยที่สุดและสามารถต่อทะเบียนเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ แต่ใช้ได้เฉพาะรถที่ไม่ต้องตรวจสภาพ คือ ไม่เกิน 7 ปีขึ้นไปนะคะ วิธีนี้มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ - เข้าสู่เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ - หากใครที่ยังไม่เคยลงทะเบียนไว้ ให้ทำตามขั้นตอน ดังนี้

  1. คลิกที่ลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ค่ะ - เมื่อกรอกข้อมูลทั่วไปครบแล้ว อย่าลืมจำรหัสผ่านไว้ให้ดีนะคะ
  2. ล็อกอินเข้าระบบโดยใช้รหัสที่เราเพิ่งสมัครไป แล้วเลือกที่ “ยื่นชำระภาษี”
  3. จะเข้าสู่หน้ารายการของรถที่เราลงทะเบียนไว้ กรณีผู้ใช้ใหม่ให้เลือก “ลงทะเบียนรถ”
  4. กรอกรายละเอียดรถที่ต้องการต่อภาษี - หากกรอกถูกต้องครบถ้วน จะเข้ามาที่หน้าชำระภาษีทันที และจะแสดงรายละเอียดรถของเราที่ลงทะเบียนไว้กับกรมขนส่ง
  5. กรอกรายละเอียด พรบ. ที่ทำไว้ โดยลงเลขกรมธรรม์ให้ครบถ้วน แต่หากยังไม่ได้ต่อพรบ.มา ให้คลิกถูกตรงช่อง “ไม่มีพรบ.”
  6. กรอกชื่อ ที่อยู่ จัดส่งเอกสาร หลังจากนั้นเลือกวิธีชำระเงิน ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หักจากบัญชี หักผ่านบัตรเครดิต หรือแม้แต่ปริ๊นท์ใบจ่ายเงินไปจ่ายเองที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสก็ได้
  7. ติดตามรายละเอียดการชำระภาษีได้ที่ช่อง “ตรวจสอบผลการชำระภาษี” จะมีสถานะบอกเราว่าถึงขั้นตอนไหน และมีเลข EMS บอกด้วยว่าเอกสารเราถึงที่ไหนแล้ว เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
  8. วิธีนี้น่าจะเหมาะกับท่านที่ต้องการต่อล่วงหน้านะคะเพราะถ้าต่อใกล้ๆวันหมดอายุ อาจจะเลยวันครบกำหนดมาก็ได้ค่ะ สุดท้ายนี้ มีวิธีคำนวณว่ารถเราต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่มาฝากค่ะ
ประเภทของรถที่สามารถต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์ได้
  1. รถยนต์ รถกระบะ รถตู้ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี
  2. รถจักรยานยนต์ มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี
  3. รถยนต์ รถกระบะ รถตู้ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี, รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี, รถที่ค้างชำระภาษีเกิน 1 ปี สามารถต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์ได้ แต่ต้องผ่านการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ก่อน

รถทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือดำ หรือรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไปไม่เกิน 7 ที่นั่ง อัตราภาษีขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์ (CC) โดยมีอัตราดังนี้

600 CC แรก CC ละ 0.5 บาท 601 - 1800 CC ราคา CC ละ 1.50 บาท เกิน 1800 CC ขึ้นไป ราคา CC ละ 4 บาท หากรถมีอายุเกินกว่า 6 ปี จะได้ลดภาษี 10%, 7 ปี ลด 20%, 8 ปี ลด 30% เป็นต้น แต่หากเสียภาษีล่าช้าจะถูกปรับเดือนละ 1% ของราคาภาษี (เศษวันนับเป็น 1 เดือน)

รถทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือเขียว หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล 7 ที่นั่ง การคำนวณภาษีจะขึ้นกับน้ำหนักรถ ดังนี้

  • 501-750 กก. เสียภาษี 450 บาท
  • 751-1000 กก. เสียภาษี 600 บาท
  • 1001-1250 กก. เสียภาษี 750 บาท
  • 1251-1500 กก. เสียภาษี 900 บาท
  • 1501-1750 กก. เสียภาษี 1050 บาท
  • 1751-2000 กก. เสียภาษี 1350 บาท
  • 2001-2500 กก. เสียภาษี 1650 บาท

รถทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือสีน้ำเงิน หรือรถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง การคำนวณภาษีจะขึ้นกับน้ำหนักรถ ดังนี้

น้อยกว่า 1800 กก. อัตราภาษี 1300 บาท 1800 กก. ขึ้นไป อัตราภาษี 1600 บาท

อ่านข้อมูล อัตราภาษีรถยนต์ เพิ่มเติม ที่นี่

ในการต่อภาษีรถยนต์ที่สามารถคำนวณได้ตามประเภทรถที่ระบุไว้ด้านบนโดยสามารถทำได้ล่วงหน้า 90 วันเพื่อป้องกันภาษีหมดอายุจนขาดต่อทำให้ต้องเสียค่าปรับซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นซึ่งหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ สามารถ**ปรึกษา MoneyDuck **เพื่อเป็นตัวช่วยในการวางแผนทางการเงินของคุณให้ราบรื่น ไม่มีสะดุด