บ้าน เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างแน่นอน ดังนั้น การเลือกซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง ให้เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดนั้นว่าสำคัญแล้ว สำหรับคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใหม่อยู่จึงมักจะหาทางออกที่ดีที่สุดด้วยการ กู้ซื้อบ้าน หรือ ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันทางการเงินต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งที่อยู่อาศัยใหม่ โดยข้อดีของการกู้ซื้อบ้านนั้นผู้กู้จะมีระยะเวลามากขึ้นในการหาทุนทรัพย์มาจ่าย ราคาค่าที่อยู่อาศัยถึงแม้จะต้องเสียดอกเบี้ยก็ตาม แต่ในระยะยาวการกู้ซื้อบ้านนั้นจึงเป็นทางที่สามารถตอบโจทย์คนที่มีทุนทรัพย์ไม่มากแต่อยากมีบ้านได้นั้นเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะยื่นกู้ซื้อบ้านนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือพูดง่ายๆ บางคนอาจทำการกู้ซื้อบ้านเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็ได้ ดังนั้น ก่อนที่จะทำการกู้ซื้อบ้าน ผู้ขอกู้เองจะต้องเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลเบื้องต้นให้ดีที่สุด รวมถึงขั้นตอนวิธีการขอสินเชื่อต่างๆมาอย่างดี ตั้งแต่การเลือกสถาบันทางการเงิน การเปรียบเทียบสินเชื่อ และอีกหลายๆ ขั้นตอนที่ค่อนข้างจะมีความละเอียดซับซ้อน ตลอดจนผู้กู้ที่ยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยแล้วกู้ไม่ผ่านก็จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีแก้ปัญหาที่ตามมาหลังจากการกู้ไม่ผ่าน รวมไปถึงเทคนิคที่จะช่วยให้ผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยสามารถกู้ซื้อบ้านผ่านได้ง่ายขึ้นด้วยนั้นเอง
ก่อนที่จะทำการกู้ซื้อบ้าน มีหลายเรื่องที่ผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต้องรู้ เพราะการกู้ซื้อบ้านมีเรื่องของ การเงิน เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงตลอดจนถึงเรื่องของการสร้างเครดิตให้ตัวเองเพื่อขอสินเชื่อ และอีกหลายๆ เรื่องที่ผู้กู้จำเป็นต้องรู้และศึกษาให้ละเอียดก่อนทำการยื่นกู้บ้าน ก็เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการกู้ซื้อบ้าน และช่วยให้การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้นง่ายขึ้นนั้นเอง
7 ขั้นตอนที่เราสามารถเตรียมตัว กู้ซื้อบ้าน
ก่อนที่จะทำการกู้ซื้อบ้าน มีหลายเรื่องที่ผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต้องรู้ เพราะการกู้ซื้อบ้านมีเรื่องของ การเงิน เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงตลอดจนถึงเรื่องของการสร้างเครดิตให้ตัวเองเพื่อขอสินเชื่อ และอีกหลายๆ เรื่องที่ผู้กู้จำเป็นต้องรู้และศึกษาให้ละเอียดก่อนทำการยื่นกู้บ้าน ก็เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการกู้ซื้อบ้าน และช่วยให้การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้นง่ายขึ้นนั้นเอง
1. รู้ความสามารถในการ กู้ซื้อบ้าน ของตนเอง
สูตรการคำนวณราคาบ้านที่จะกู้ซื้อได้นั้น สามารถคำนวณได้คร่าวโดยใช้สูตร
(รายได้ต่อเดือน) x (60เท่าของรายได้) = (ราคาบ้านที่กู้ซื้อได้)
เช่น รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน x 60 = 1.8 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นขั้นต่ำของวงเงินที่จะกู้ได้ บางธนาคารอาจจะขยับจำนวนเท่าของรายได้ขึ้นลงขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์พิจารณา
แต่ทั้งนี้ วงเงินดังนั้นถือว่าเป็นวงเงินที่ให้ในกรณีที่ไม่มีภาระหนี้ใดๆ เลย ดังนั้นต้องมาดู “ภาระหนี้ต่อรายได้” ของเราด้วย หรือศัพท์ธนาคารจะเรียกว่าค่า DSR (Debt Service Ratio) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอนุญาตให้ผู้กู้มีภาระหนี้ได้ 30-40% ของรายได้ สูตรจึงเป็น
(รายได้ต่อเดือน) x (30%หรือ40%) = (ความสามารถผ่อนชำระ)
เช่น รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน x 30% หรือ 40%= 9,000 – 12,000 บาท นั้นเอง
ซึ่งขึ้นอยู่กับภาระหนี้ที่ว่า หมายถึง ภาระหนี้ทุกอย่างที่มี ไม่ว่าจะเป็น ค่าผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ หรือโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ดังนั้นสมมุติว่า เรามีภาระหนี้ผ่อนรถอยู่เดือนละ 8,000 บาท ความสามารถผ่อนชำระที่เหลือว่างอยู่จึงเหลือเพียง 1,000-4,000 บาทเท่านั้น ซึ่งจะคำนวณกลับว่าสามารถซื้อบ้านได้เท่าไหร่โดยใช้สูตรนี้
(1,000,000 ÷ 7,000) x (ความสามารถผ่อนชำระ) = (วงเงินที่สามารถกู้ได้) เช่น (1,000,000 ÷ 7,000) x 4,000 = กู้บ้านได้ในราคา 571,429 บาท
*กรณีนี้กำหนดให้ผู้กู้มีภาระนี้ได้ 40%
ดังนั้น เมื่อเราได้ทราบความสามารถการผ่อนและราคาบ้านที่กู้ได้ของตนเองแล้ว ก็เลือกหาที่อยู่อาศัยที่ตรงกับใจและเหมาะสมกับความสามารถของเราต่อไปได้เลย
2. เก็บออมเงินดาวน์เอาไว้ด้วย
ในระหว่างที่เลือกหาอยู่นั้น ก็เป็นการฉลาดและควรที่จะเก็บออมเงินเป็นค่าดาวน์บ้านหรือคอนโดมิเนียมไว้ด้วย เพราะธนาคารมีกฎคือปล่อยกู้สินเชื่อบ้านได้สูงสุด 90% ของราคาบ้าน เช่น ราคาบ้าน 1 ล้านบาท ธนาคารจะให้กู้มากที่สุด9 แสนบาท อีก 1 แสนบาทจึงเป็นเงินสดที่เราจะต้องจ่ายโดยตรงให้กับผู้พัฒนาโครงการเองในที่สุด
ดังนั้น โครงการจัดสรรต่างๆ จะมีโปรแกรมให้เราผ่อนดาวน์เป็นรายเดือนกับโครงการในระหว่างที่โครงการยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง เพราะธนาคารจะปล่อยกู้เมื่อที่อยู่อาศัยนั้นสร้างเสร็จแล้ว โดยทั่วไปจึงจะเก็บเงินดาวน์ที่ 10-20% ของราคา
หากเป็นโครงการแนวราบจำพวกบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ มักจะวางโปรแกรมให้ผ่อน 3-6 เดือนก่อนยื่นกู้ซื้อบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ราคาบ้านเดี่ยว 5 ล้านบาท เรียกเก็บเงินดาวน์ 10% = 5 แสนบาท โดยให้ผ่อนดาวน์ 3เดือน = ชำระค่าดาวน์บ้านเฉลี่ยเดือนละ 1.67 แสนบาท
ส่วนคอนโดมิเนียม มักจะมีระยะเวลาการก่อสร้างที่นานกว่า ทำให้โปรแกรมผ่อนดาวน์มักจะอยู่ระหว่าง 8-36 เดือน ขึ้นอยู่กับความเร็วในการสร้าง วิธีคำนวณเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ราคาคอนโดฯ 2 ล้านบาท เรียกเก็บเงินดาวน์ 10% = 2 แสนบาท โดยให้ผ่อนดาวน์ 10 เดือน = ชำระค่าดาวน์บ้านเฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นบาท
ด้วยการชำระค่าดาวน์บ้านต่อเดือนที่ค่อนข้างสูง ทำให้เราต้องเตรียมตัวเก็บออมเงินไว้ก่อนส่วนหนึ่งเพื่อนำมาใช้เป็นค่าดาวน์บ้านนั่นเองด้วย
3. เดินบัญชีธนาคารให้สวย ๆ
ในส่วนของเอกสารเมื่อจะยื่นกู้บ้าน ธนาคารจะขอดูบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งทำให้ในช่วง 6 เดือนนี้ควรจะมีเงินคงไว้ในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรถอนออกมาหมด และถ้าหากมีรายได้เสริมประจำเดือน หรือทำอาชีพฟรีแลนซ์ พ่อค้าแม่ค้า ที่ได้รับเงินเป็นรายครั้ง/รายวัน ก็ควรจะโอนเข้าในบัญชีอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน
4. ชำระหนี้ให้ตรงเวลานัดหมาย
อีกข้อที่ธนาคารจะตรวจสอบคือ “เครดิตบูโร” ซึ่งจะมีประวัติการชำระหนี้ของผู้กู้ย้อนหลัง 2 ปี ใน 2 ปีนี้ถ้าหากมีการชำระหนี้ไม่ตรงเวลาจะติดสิ่งที่เรียกว่า “แบล็กลิสต์” ซึ่งจะถือว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย ดังนั้น หากมีการกู้ซื้อสินค้าใดๆ หรือการชำระค่าบัตรเครดิต ก็ควรต้องจ่ายให้ตรงเวลาทุกครั้ง เพราะการติดแบล็กลิสต์อาจทำให้ธนาคารปฏิเสธการให้กู้ไปโดยสิ้นเชิงได้อีกด้วย.ถ้ามีภาระหนี้เกิน 60% ธนาคารจะไม่รับพิจารณาเลย ดังนั้นต้องจัดการหนี้คงค้างให้มีรายได้เพียงพอที่จะยื่นกู้ซื้อคอนโดในราคาที่ตั้งเอาไว้.
5. ปิดบัญชีหนี้ให้หมดก่อนการยื่น กู้ซื้อบ้าน
นี่เป็นประเด็นสืบเนื่องจากข้อ 1. เมื่อมีภาระหนี้เดิมอยู่ก็จะทำให้เรามีวงเงินกู้บ้านต่ำลง ดังนั้นภาระหนี้ใดที่สามารถโปะเงินปิดบัญชีให้เรียบร้อยได้ควรทำทันทีก่อนจะยื่นกู้ซื้อบ้าน แม้ว่าจะเหลือระยะเวลาไม่มาก เช่น ผ่อนค่าโทรศัพท์มือถือแม้ว่าจะเหลืออีกเพียง 3 เดือนจะผ่อนหมด แต่ ณ ช่วงเวลาที่ยื่นกู้ ธนาคารจะถือว่าเรามีภาระหนี้ส่วนนี้อยู่.นอกจากธนาคารจะดูรายได้ และภาระหนี้แล้ว ก็จะดูการชำระหนี้ด้วย หากมีประวัติค้างชำระเยอะ หรือมีการกู้สินเชื่อส่วนบุคคลภายในหนึ่งปี ก็จะทำให้การกู้สินเชื่อซื้อคอนโดอนุมัติยากขึ้นเป็นต้น
อาชีพก็มีส่วนในเรื่องของการยื่นกู้สินเชื่อด้วยเช่นกัน อาชีพที่สามารถยื่นกู้สินเชื่อผ่านได้ง่ายที่สุดจะได้แก่ ข้าราชการระดับสูง หมอ และอัยการ
6. บัตรเครดิตที่ไม่จำเป็นก็ขอให้ยกเลิกซะ
สำหรับหลายคนๆที่ถือบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ เพราะข้อเสนอที่ยั่วยวนใจเมื่อธนาคารมาชวนสมัครบัตรเครดิต แม้ที่จริงแล้วจะไม่ค่อยได้ใช้งานก็ตามแต่แบงก์จะมองว่าผู้กู้มีโอกาสสร้างหนี้สูงขึ้นในภายหลังจากบัตรเครดิต ซึ่งจะทำให้โอกาสการอนุมัติสินเชื่อบ้านต่ำลง ดังนั้น ก่อนยื่นกู้ควรจะขอยกเลิกบัตรเครดิตให้เหลือเพียง 1-2 ใบที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้นจะดีที่สุด
7. เตรียมเอกสาร- สลิปเงินเดือน-ใบรับรองการทำงาน และหลักฐานรายได้พิเศษเอาไว้ด้วย
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย เป็นการเตรียมเอกสารเมื่อจะยื่นกู้กับธนาคาร ซึ่งส่วนที่อาจจะต้องดูแลเป็นพิเศษ คือ หลักฐานการทำงานและรายได้ต่างๆ เช่น สลิปเงินเดือน ใบรับรองการทำงาน ที่เราอาจจะต้องเดินเรื่องขออนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด และบางหน่วยงานอาจจะใช้เวลานานกว่าจะได้รับอนุมัติ การเตรียมตัวก่อนจึงสำคัญที่จะทำให้การยื่นกู้เป็นไปอย่างราบรื่น
การตัดสินใจซื้อบ้านในแต่ละครั้งนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตของเรามาก เพราะเป็นการซื้อทรัพย์สินครั้งใหญ่และคงไม่ได้มีโอกาสซื้อบ่อยๆ หลายๆคนก็อาจจะยังไม่มีประสบการณ์มาก่อน จึงเกิดความกังวลว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างเพื่อให้เราสามารถกู้เงินได้อย่างไม่มีปัญหา ในการซื้อบ้านว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง
จากนี้เราก็จะเห็นแล้วใช่ไหมว่าการกู้เงินซื้อบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากอะไรเลย เพียงแค่เราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการกู้ ตั้งแต่การเตรียมเอกสารเพื่อขอกู้ การเปรียบเทียบรายละเอียดของอัตราดอกเบี้ยและข้อมูลต่างๆที่สำคัญเพื่อให้เราสามารถกู้เงินได้ตรงตามความต้องการมากที่สุดเมื่อ
ได้รับวงเงินกู้แล้วก็ทำการนัดผู้ขายและธนาคารมาทำเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนอง หลังจากนั้นเราก็จะมีบ้านเป็นของตัวเองได้ อย่าลืมสิ่งที่สำคัญมากๆสำหรับการกู้เงินก็คือเราจะต้องรักษาประวัติทางการเงินของเราให้ดี ก็จะเป็นประโยชน์ต่อธนาคารในการพิจารณาวงเงินและอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุดให้กับเราได้และเมื่อกู้เงินออกมาแล้วต้องมีวินัยในการผ่อนชำระอีกด้วย หากต้องการปรึกษาเพิ่มเติม พูดคุยกับ ผู้เชี่ยวชาญจาก MoneyDuck ได้ฟรี ที่ลิงก์ด้านล่าง
Wipa
ดีเลยค่ะ พอดีพึ่งแต่งงานแล้วมาอ่านเจอบทความนี้คือเรากำลังจะซื้อบ้านพอดีเลย แต่ตอนนี้ชะลอเอาไว้ก่อนเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไม่แน่นอน แต่ก็ยงมีแผนการอยู่ ตอนนี้ก็เลยพยายามเก็บข้อมูลเรื่องการขอกู้ซื้อบ้านแล้วอ่านเรื่องการซื้อบ้านและประสบการณ์ไปเรื่อยๆก่อน บทความนี้ก็ดีค่ะ เดี๋ยวจะเอาไปให้สามีอ่านด้วย ความรู้นี้ช่วยได้เยอะค่ะ
Thananop
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ ขอบคุณที่ได้รู้ว่าวิธีที่จะเตรียมตัวในการกู้ซื้อบ้านสามารถเป็นไปได้ โดยทำตามคำแนะนำดังกล่าว เราจำเป็นต้องเตรียมตัวหลายอย่างเพราะว่าบ้านราคาไม่ถูกเลยนะคะ แล้วบ้านก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะอยู่กับเราไปนานแสนนานบางคนก็อยู่ทั้งชีวิต ดังนั้นบทความนี้ช่วยให้ได้รับประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องการจัดเตรียมในการซื้อกู้บ้านได้ดีมากเลยค่ะ
น้ำหวาน
บ้านผลิตสินทรัพย์หนึ่งที่เราจำเป็นต้องมีในชีวิตเลยนะคะ เพราะว่าเป็นที่อยู่อาศัยที่ต้องจำเป็นต้องมี และเราจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการกู้ซื้อบ้านด้วย เพื่อที่จะช่วยให้เรามีบ้านและทำการผ่อนชำระไปยาวๆโดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ถูก บทความนี้ช่วยให้ฉันมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวขั้นตอนที่ถูกต้องในการกู้ซื้อบ้านว่าจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวและทำอะไรบ้างค่ะ
ดาด้า เปรมยุดา
บอกขั้นตอนการกู้ซื้อบ้านมาละเอียดเลย ดีค่ะ คนที่อยากขอกู้เงินจะได้เตรียมตัวถูก เราว่าใครที่คิดจะขอกู้เงินต้องดูความสามารถในการชำระเงินของตัวเองเป็นอันดับแรก ยิ่งขอกู้เงินซื้อบ้านด้วยนะเรื่องใหญ่เลยค่ะเพราะว่าเงินมันเยอะ ถ้าเก็บเงินดาวน์ไว้ก่อนส่วนนึงคงดีมากเลยจะได้ไม่ต้องขอกู้เงินเยอะ ไม่ต้องเป็นหนี้นานค่ะ
แจ๊ค นะครับ
แบบนี้ผมคงอดสินเชื่อบ้านแน่ๆครับ เพราะว่าผมเป็นหนี้ก้อนหนึ่งครับ ยังจ่ายไม่หมดด้วย อีกสองปีโน้นกว่าจะหมด แบบนี้หมดหวังแน่นอนครับ เพื่อนๆคนไหนที่เคยเป็นหนี้แล้วยังสามารถขอสินเชื่อบ้านได้บ้างไหมครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหนที่ได้ ช่วยแนะนำหน่อยครับว่าทำยังไงแล้วธนาคารไหนที่เขาปล่อยให้เรากู้ได้ถ้าเรายังมีหนี้ที่ต้องจ่ายอยู่
Abby
อืม ไม่ว่าจะขอสินเชื่ออะไรก็เห็นว่าการเดินบัญชีเสตจเม้นท์ให้สวยคือส่วนประกอบสำคัญนะคะ และไม่ใช่แค่เรื่องของสินเชื่อนะทุกเรื่อง ใครที่เริ่มทำงานมีเงินเดือนก็รียจัดการเดินบัญชีเอาไว้แม้ตอนนี้ไม่ได้คิดจะทำธุรกรรมอะไรก้เดินเอาไว้ก่อนเผื่อมีเรื่องต้องทำ จะมาเดินบัญชีตอนจะทำธุรกรรมเดี๋ยวจะไม่ทันเพราะต้องใช้ย้อนหลังประมาณ 3 - 6 เดือนเลยนะจ้ะ
จริงใจ
อะไรกันเนี่ย....จะขอสินเชื่อบ้าน ถ้ามีบัตรเครดิตหลายใบก็ไม่ได้เหรอเนี่ย??? เรามีทั้งหมดอยู่ 4 ใบ ใช้งานแทบทุกใบ แต่ไม่ได้เป็นหนี้เลยซักใบนะ สงสัยว่าจำเป็นไหมที่เราจะต้องไปปิดให้เหลือ 2 ใบ??? ถ้าใครมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอช่วยมาตอบทีนะคะ งงมากเลยไม่เคยได้ยินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลัวจะทำเรื่องยื่นกู้ไม่ได้....
ม้าน้ำ
เพราะว่าถ้าจะซื้อบ้านจริงๆเนี่ยคงต้องคิดกันดีๆเพราะผ่อนบ้านก็ต้องใช้เวลาตั้งหลายสิบปี ตอนนี้ก็วางแผนอย่างจะมีบ้านเป็นของตัวเองแต่ดูกำลังเงินเดือนของเรากับสามีแล้วน่าจะผ่อนกันไม่ไหว ก็เลยเอาเป็นว่าเก็บเงินไว้ก่อน รู้สึกว่าการเก็บออมเงินดาวน์เอาไว้ก็เป็นวิธีที่ดีด้วยนะคะ เพราะยิ่งเงินดาวน์เยอะระยะเวลาในการผ่อนของเราก็สั้นลง แถมอาจจะไม่ต้องกู้เยอะด้วย
บอล
ถ้าอยากจะขอทางสถาบันการเงินเพื่อช่วยในการผ่อนซื้อบ้าน สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องเตรียนไว้เลย ก็คือเงินออมสำหรับดาวน์บ้านนั่นเอง ซึ่งเงินส่วนนี้จะช่วยให้เราสามารถที่จะ มีค่าใช้จ่ายในการดาวน์บ้าน ไม่ใช่แค่มีเงินเดือนเยอะๆก็จะไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านได้ แต่ต้องเตรียมตัวโดยการเก็บเงินกันเงินไว้ส่วนนึงด้วย ตอนที่เราต้องการดาวน์บ้านจะได้ใช้จ่ายได้
ตู้ปันสุข
เวลาเราจะกู้สินเชื่อ เราต้องเคลียหนี้ที่ค้างบางอย่างออกไปเหรอครับ คือที่จริงผมก็ตั้งใจนะครับว่าจะกู้สินเขื่อเอามาใช้หนี้แหละครับ พออ่านบทความนี้ คงต้องไปหาตัวช่วยที่อื่นแล้วครับที่เขาไม่ได้ตรวจสอบการเป็นหนี้เรามากเท่ากับธนาคารครับ คิดว่าจะได้กู้สินเชื่อมาช่วยปลดหนี้ก้อนที่เป็นอยู่ซะหน่อย เสียใจเลยครับ
สยาม
@ดาด้า จริงค่ะข้อมูลการกู้ซื้อบ้านในสำคัญๆที่เราอ่านดูเนี่ยรู้สึกว่าถ้าจะไปขอกู้กับธนาคารกู้ซื้อที่ดินพร้อมก่อสร้างบ้านเลยจะมีโอกาสได้มากกว่าการกู้ซื้อที่ดินเปล่าหรือไม่ก็ต้องกู้ซื้อบ้านที่เป็นอาคารสำเร็จรูปมาแล้วรู้สึกว่าซื้อบ้านเป็นหลังแบบนั้นดีกว่านะคะเพราะว่ามีรองรับบางทีก็มีประกันให้ด้วยถ้าเราไปซื้อเพื่อจะกู้เพื่อจะสร้างบ้านเองเนี่ยบางทีก็เสียงเพราะว่าถ้าได้ช่างไม่ดีก็ไม่มีอะไรมารับประกันให้ได้เลย
ปิยะ
จะซื้อบ้านเหรอครับ เดียวนี้ หลายคนไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้แล้วครับ ส่วนใหญ่ ปล่อยให้เป็น ทางโครงการที่ขายบ้านครับ เป็นคนยื่นเรื่องขอซื้อบ้านให้ครับ แล้วส่วนใหญ่ก็จะยื่นผ่านตลอดด้วยครับ แบบนี่สะดวกกว่าเยอะเลยครับ แถมเรื่องเงินดาวน์บ้าน ตอนนี้ไม่ต้องแล้วครับ แค่มีเงินมัดจำหรือว่าจอง ก๋จบแล้วครับ พอได้เงินจากธนาคาร โครงการก็หักออกแล้วครับ
KFC
@ปิยะ อันนี้ผมเห็นด้วยเลยนะครับ เพราะว่าตอนที่ผมกู้ซื้อบ้านกับโครงการ ทางเซลล์ของโครงการก็มาช่วยผมดำเนินเรื่องเยอะแยะมากมาย เขาก็อยากขาย เขาก็เลยอยากจะช่วยให้เราสามารถผ่านการอนุมัติของธนาคาร สำหรับผมการขอสินเชื่อบ้านก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้ยากอะไรคงจะเป็นเพราะผมเองก็มีประวัติที่ดีทางการเงินอยู่พอสมควร ก็เลยผ่านฉลุยครับ