เนื่องด้วยสถานการณ์ในช่วงนี้ หุ้นผันผวนสูงขึ้น ดอลลาร์อ่อนลง และดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ปรับตัวลง นักวิเคราะห์ตลาดทั้งหลายต่างกลับมาคิดกันมากขึ้นจริงๆว่า  ' ช่วงนี้ทองคำน่าสนใจไหม' , 'มีแนวโน้มจะขึ้นอีกใช่ไหม' ก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะตัวทองคำนี้นับว่าเป็นสินทรัพย์ที่ครองใจคนได้ทั่วทั้งโลก ยิ่งเมื่อดูจากข่าวในตลาดการเงิน จะเห็นว่าราคาตลาดโลกพุ่งขึ้นจากต่ำสุดที่ 1,270 ไปสูงสุดที่ 1,440 ดอลลาร์/ออนซ์ ถือว่าราคาทะลุนิวไฮน์รอบห้าปี สร้างผลตอบแทนกว่า 13% ในเจ็ดเดือนโดดเด่นกว่าแทบทุกสินทรัพย์ ดังนั้น สำหรับเราหลายๆคนแล้วจึงน่าจะกลับมาวิเคราะห์อีกครั้งว่าอะไรว่า ‘ความเชื่อ’ และ ‘ความจริง’ ของตลาดทองคำจะยังคงร้อนแรงต่อไปอีกหรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่เครื่องประดับที่ได้รับความนิยมเท่านั้นแต่ยังสามารถเก็บออมไว้เพื่อความมั่งคั่งในระยะยาวได้อีกด้วย

คืออะไร

คืออะไร

‘ทองคำ ’ ถือว่าอยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งในฐานะเครื่องวัดความมั่งคั่งส่วนบุคคล และดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจโดยรวม เพราะคุณสมบัติพิเศษของทองคำที่ต่างจากโลหะมีค่าชนิดอื่นในแง่ของความงดงาม ความคงทน ความหายาก และการที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้นับครั้งไม่ถ้วน จากโลหะที่มีค่าทั้งหมด ‘ทองคำ’ ถือเป็นที่นิยมมากที่สุดเนื่องจากเป็นการลงทุนที่นักลงทุนมักซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าและตราสารอนุพันธ์ ตลาดทองคำอาจมีการเก็งกำไรและผันผวนเช่นเดียวกับตลาดอื่น ๆ ปัจจุบันการลงทุนในทองคำยังคงได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้คนเริ่มหันมาสนใจซื้อทองคำแท่งเก็บสะสมแทน เนื่องจากซื้อขายคล่องตัวกว่าทองรูปพรรณและไม่มีค่ากำเหน็จด้วยเพราะ

ความเชื่อเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ

ความเชื่อเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ

เหตุผลหลักๆที่นักลงทุนเลือกใช้ในการซื้อหาและถือทองนั้นก็คือ ทิศทางตลาดทุนกำลังชะลอตัว จึงต้องหาสินทรัพย์กระจายความเสี่ยงเข้ามาเสริม แต่ต้องยอมรับความคิดนี้อาจไม่ได้ถูกทั้งหมด เช่น

  • ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่ปลอดภัย , ยังไม่ได้มีความผันผวนสวนทางกับตลาดทุนโลก ความสัมพันธ์ต่อเงินดอลลาร์ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารหนี้ , ทองเป็นบวกทั้งหมดราว 0.1-0.3 หรือข้อมูลแนวว่าทองคำมักปรับตัวขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวมากกว่าหดตัวจากผลของความมั่งคั่ง (Wealth effect) ไม่ต่างจากสินทรัพย์การเงินอื่นๆ
  • การถือทองคำในพอร์ต ไม่ได้ลดความเสี่ยงด้วยการกระจายตัวของสินทรัพย์ (Diversify) เหมือนกรณีถือสินทรัพย์ที่มี Correlation ติดลบ เช่น เงินบอนด์ กล่าวอีกอย่างคือ การซื้อทองควรเป็นการลดความเสี่ยงจากหุ้นที่ผันผวน และบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการรับความเสี่ยงบนสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไปด้วย
  • ราคาทองจะปรับตัวขึ้นลงสวนทางกับดอกเบี้ยแท้จริงในสหรัฐฯ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ผิด แต่ในอดีตและปัจจุบัน ความสัมพันธ์นี้เกิดจากคนละเหตุผลกัน
  • วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 ทองคำจะมีความสัมพันธ์สวนทางกับดอกเบี้ยที่แท้จริง ด้วยการเป็นตัวแทนของ สินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ. ช่วงที่ทองโดดเด่นคือทศวรรต 1970 ที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำแต่เงินเฟ้อสูง ในช่วงนั้นราคาทองคำปรับตัวขึ้นถึง 21% เมื่อหักเงินเฟ้อ จึงชนะทั้งหุ้นและบอนด์ที่ขาดทุนและแพ้เงินเฟ้อทั้งหมด
  • ทองคำแทบไม่มีความสัมพันธ์กับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆที่เป็นตัวแทนเงินเฟ้อเ แต่ที่ความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยแท้จริงกลับยังมีอยู่ เพราะทองสามารถปรับตัวขึ้นได้เมื่อนโยบายการเงินสหรัฐฯผ่อนคลาย จากสภาพคล่องและความกังวลกับเศรษฐกิจที่ปรับตัวสูง สรุปคือ ปัจจุบันทองคำถูกเปลี่ยนฐานะไปเป็น สินทรัพย์ป้องกันดอกเบี้ยต่ำแทน
  • ทองคำเป็นสิ่งทดแทนดอลลาร์เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหา เพราะในอดีตสหรัฐฯและทั่วโลก วางตำแหน่งดอลลาร์ไว้เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ เพื่อทดแทนทองคำตั้งแต่ปี 1944 แม้จะเลิกตรึงดอลลาร์กับทองในปี 1971 ก็ยังสามารถใช้ดอกเบี้ยประคับประคองมูลค่าของดอลลาร์ไว้ได้ แม้ในช่วง Great Depression ทศวรรต 1930 ที่บอนด์ปรับตัวขึ้นถึง 37% แต่ราคาทองคำกลับแพงขึ้นเพียง 8%

ความจริงเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ

ความจริงเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ

  • ทองคำจะมีมูลค่าในตัวเอง. เพราะทองคำจัดเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่มีมูลค่าในตัวเอง เนื่องจากเป็นสิ่งที่หายาก  เป็นของที่มีค่าไม่สามารถแสวงหาได้ง่ายๆ แล้วเมื่อเทียบกับเงินสดที่มีมูลค่าลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อนั้น ทองคำกลับไม่ได้มีมูลค่าลดลงเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเลยด้วยซ้ำ
  • ราคาทองคำขยับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อเพิ่ม.เพราะผลตอบแทนการลงทุนที่คาดหวังของการลงทุนนั้น จะมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ เงินเฟ้อจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มูลค่าของเงินลดลง ดังนั้น การมีทองคำในพอร์ตการลงทุนนับเป็นการลดความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อ เพราะโดยปกติแล้วราคาทองคำจะสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
  • ทองคำให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูง. เนื่องจากทองคำมีความผันผวนของราคาที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ในระดับที่สูงหรือนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่สูงเลยล่ะ
  • โลกมีความต้องการทองคำอยู่ตลอดเวลา. ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้นก็คือ ความต้องการทองคำในตลาดโลกอยู่เสมอ เนื่องจากการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งต้องการที่จะผลิตเพิ่มปริมาณเงินในประเทศนั้น ไม่ใช่ว่าอยากจะเพิ่มปริมาณเงินก็เพิ่มได้เลย แต่จำเป็นต้องมีปริมาณทองคำสำรองของประเทศที่เพียงต่อการเพิ่มปริมาณเงินของประเทศด้วย ดังนั้น จึงเป็นที่ต้องการทองคำในตลาดโลกอยู่เสมอ
  • เ ป็นสินทรัพย์ที่ทั่วโลกยอมรับ. การเป็นที่ยอมรับนี้ ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถนำทองคำไปขายที่ไหนก็ได้ในโลก ต่างจากสินทรัพย์ประเภทอื่นที่อาจจะเป็นที่ยอมรับแค่ในประเทศ แต่ไม่สามารถนำไปขายในที่อื่นได้
  • ทองคำเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุน. เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่เฉพาะตัว  มีความมั่นคงน่าเชื่อถือ ผลตอบแทนสูง แต่ก็ไม่ควรจะมีทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนมากจนเกินไปเพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนด้านราคาค่อนข้างสูง ทำให้พอร์ตการลงทุนอยู่ในระดับเสี่ยงเกินไปได้ด้วย สถานการณ์ทุกอย่างกลับมาซับซ้อน เมื่อสหรัฐฯใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ แต่กลับห้ามไม่ให้หลายประเทศถือดอลลาร์ด้วยเหตุผลทางการค้า ขณะเดียวกัน ความมั่งคั่งก็เพิ่มมากขึ้นในโลกตะวันออก จนเหตุผลทั้งหมดที่เคยทำให้ทองไม่สามารถแทนที่ดอลลาร์ได้นั้นอาจไม่มีอีกต่อไปในอนาคต โอกาสสร้างผลตอบแทนจากการที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น. แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำอาจจะมีความผันผวน แต่การสะสมทองนั้นเป็นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำมักจะไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์เพื่อการลงทุนอื่นๆ ดังนั้นการมีทองคำเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งจึงช่วยให้อุ่นใจได้มากขึ้น

อนาคตของการลงทุนในทองคำ

อนาคตของการลงทุนในทองคำ

จากสถานการณ์โดยรวมในขณะนี้ ความคิดเห็นของกูรูต่างๆ ปี 2019 เช่น

  • Bank of America Merrill Lynch กล่าวคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับเฉลี่ยที่ $ 1,296 ต่อออนซ์ แต่อาจสูงขึ้นถึงระดับสูงถึง $ 1,400 โดยได้แรงหนุนจากการขาดดุลการค้าและการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในขณะนี้เพิ่มขึ้น
  • จาก HSBC กล่าวแนวว่า ราคาทองคำมี upside ในปี 2019 แต่ลดลงโดยเฉลี่ยที่คาดการณ์ไว้ที่ $ 1,292 ต่อออนซ์
  • Lombard Odier กล่าวว่า ‘สงครามการค้าและความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทำให้ราคาทองคำหรือน้ำมันพุ่งขึ้น โดยเฉพาะราคาทองคำ’
  • Morgan Stanley พูดถึง เราคาดการณ์ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่า ซึ่งหมายความว่าเรายังคงมุมมองเชิงบวกได้ต่อทองคำ
  • Societe Generale เป็นที่แน่นอนว่า ราคาทองคำอาจลดลงจากนโยบายการเงินของสหรัฐฯในปี 2019
  • State Street การถือทองคำในพอร์ทการลงทุนอาจช่วยบรรเทาผลกระทบของความผันผวนของตลาดและ ทองคำยังสามารถเพิ่มพอร์ตการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวได้
  • UBS เราขอแนะนำให้พิจารณาซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งคิดว่าการลดลงต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์จะเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจด้วย
  • การลงทุนในทองคำแท่งจะมีเรื่องที่นักลงทุนต้องคำนึงถึงก่อนการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาทองคำที่มีความผันผวน , เรื่องของการเก็บรักษา เพราะเป็นการครอบครองทองคำจริงๆ ที่ไม่ได้มีการระบุกรรมสิทธิ์ จึงมีความเสี่ยงจากการถูกลักขโมยและนำไปขายต่อ ขณะที่การขายก็ต้องคำนึงถึงส่วนต่างระหว่างราคาซื้อขายด้วยเช่นกัน
  • กองทุนรวมทองคำ หรือ Gold Fund เปรียบเสมือนลงทุนในทองคำแท่งทางอ้อมผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจึงไม่ได้ขึ้นลงตามราคาทองคำในประเทศ แต่จะอิงกับราคาทองคำโลก  จึงมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนมาเกี่ยวข้องด้วย

สรุป

สรุป

จึงกล่าวได้ว่า แม้ในอดีตคนนิยมซื้อทองคำเนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Heaven) เป็นอันดับต้นๆอยู่  แต่ในปัจจุบันนี้ทองคำมีความผันผวนของราคาที่สูงมากขึ้น ทำให้ไม่อาจกล่าวได้แน่ชัดว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอีกต่อไป ในระยะสั้น แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ คือเหตุผลหลักที่กำหนดทิศทางของทอง แต่ในระยะยาว การปรับมุมมองความเสี่ยงของนักลงทุนคือสิ่งที่เราต้องจับตาไม่กระพริบ นอกจากนี้การประเมินราคาที่เหมาะสมของทองคำทำได้ยาก เพราะการขึ้นลงของราคานอกจากจะขึ้นอยู่กับ Demand และ Supply แล้วยังมีการเก็งกำไรเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างสูงอีกด้วย ส่วนการจัดพอร์ตการลงทุนนั้น จึงควรใช้ทองคำเป็นการลงทุนเพื่อการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนมากกว่าการทุ่มเงินลงทุนในทองคำทั้งหมด โดยแนะนำว่าการลงทุนควรมีสินทรัพย์ที่หลากหลาย ประกอบกับทองคำ 5-15% ของพอร์ต จึงดูจะเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสมที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกที่กำลังจะมาถึง และอย่าลืมพิจารณาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยเมื่อเราเข้าใจบทบาทของทองคำมากขึ้น