คุณเป็นคนหนึ่งที่ถือกองทุน LTF อยู่ไหม? คนที่ซื้อ LTF เอาไว้เพื่อลดหย่อนภาษี แล้วครบระยะเวลาตามกำหนด คือ 5 ปี ก็มักจะต้องตัดสินใจว่าควรขาย LTF ออกไปหรือไม่ แต่ตามสถิติแล้วคนส่วนใหญ่มักขาย LTF เมื่อครบกำหนดเวลา โดยไม่ได้สนใจว่าผลตอบแทนที่ได้จาก LTF ณ ขณะนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่ได้คิดว่าควรถือต่อหรือไม่
นั่นก็เป็นเพราะเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ซื้อ LTF ก็เพื่อลดหย่อนภาษีมากกว่าคิดจะลงทุน อันนี้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเงินลงทุนของเราเอง ผมเห็นหลายกรณี นักลงทุนที่ลงทุนใน LTF แล้วครบกำหนด เขาไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรต่อ และพึงพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา ก็ถือต่อไป และให้ผู้จัดการกองทุนบริหารต่อ หากยังทำได้ดี เราก็ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่ม ดีกว่าไถ่ถอนออกมาแล้วเอาไปฝากประจำ หรือ ออมทรัพย์เอาผลตอบแทนต่ำติดดิน
แต่ถ้าจะโยกเงินออกมา สิ่งที่ต้องคิดคือ เรามีสินทรัพย์เป้าหมายที่จะลงทุนแล้วหรือยัง เปรียบเทียบแล้ว จะให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยงหรือเปล่า และอย่าลืมว่า การเข้าออกกองทุนมันมีค่าธรรมเนียม ซึ่งคุณคงต้องเอาส่วนนี้มาพิจารณาประกอบด้วย
กองทุน LTF คือ?
ที่จริงแล้วกองทุน LTF ก็คือกองทุนหุ้นดี ๆ นี่เอง แต่มีความพิเศษตรงที่นักลงทุนสามารถนำเงินที่ซื้อในแต่ละปีไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข ซึ่งข้อดีตรงนี้ทำให้มองว่าเราซื้อกองทุน LTF ได้ในต้นทุนที่ถูกกว่าการซื้อกองทุนหุ้นอื่นที่ไม่ใช่ LTF มูลค่าของกองทุน LTF ก็จะขึ้นลงไปตามภาวะตลาดหุ้นรวมไปถึงมูลค่าหุ้นแต่ละตัวที่กองทุนนั้นถืออยู่ ไม่ต่างอะไรจากกองทุนหุ้นอื่น ๆ เลย ดังนั้นการตัดสินใจซื้อกองทุน LTF แม้ลึก ๆ แล้วจะคือเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีก็ตาม เราก็ไม่ควรลืมว่านั่นคือการลงทุนอย่างหนึ่ง ที่เราต้องคิดถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงเป็นหลักด้วยนะคะ
กองทุน LTF เมื่อถึงกำหนดจะทำอย่างไรต่อไป?
หลายคนเชื่อว่า พอไม่ต่ออายุ LTF ก็แปลว่า เม็ดเงินในกองทุน LTF จะค่อยๆ ลดลง เพราะนักลงทุนทยอยไถ่ถอนออกไปเรื่อยๆ คำถามคือ มันจะถึงขั้นถอนกันจนตลาดหุ้นตกตามแรงขายไหม คำตอบคือ เม็ดเงินลงทุนใน LTF ทั้งหมด คิดเป็นเพียงแค่ประมาณ 4 % ของ Market Cap ของตลาดหุ้นไทย และเงื่อนไขการไถ่ถอน นักลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนได้ทั้งหมดในปีเดียวอยู่แล้ว เพราะติดเงื่อนไขถือครองให้ครบ 7 ปีปฏิทิน ซึ่งก็หมายความว่า เม็ดเงินลงทุนใน LTF จะค่อยๆ ถูกทยอยขายออกมาในอีก 6-7 ปีข้างหน้า (หากทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องขายออก) แต่มุมมองส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่จะไม่ขายออกมา และถือเงินลงทุนก้อนนั้นต่อไป ทำให้เชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเลย
ตรงนี้ขอให้สบายใจได้ระดับหนึ่งหากยังทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อ ปกติก็ต้องซื้อ LTF ก้อนใหม่ทุกปีเพื่อให้ได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเงินได้อย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่เรามีเงินก้อนเงินเก็บเพื่อมาซื้อ LTF ก้อนใหม่ ความจำเป็นที่ต้องขาย LTF ที่ถึงกำหนดก็ไม่มี แต่หากเราไม่มีเงินก้อนเงินเก็บหรือปีนั้นมีค่าใช้จ่ายมาก ไม่มีเงินเหลือสำหรับซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษี อันนี้ก็อาจเป็นเหตุผลที่จะนำมาใช้เพื่อขาย LTF ที่ถึงกำหนดไป แล้วนำเงินที่ได้มาซื้อ LTF ก้อนใหม่เพื่อจะได้สิทธ์ลดหย่อนภาษีสำหรับปีนี้ เหตุผลนี้ยอมรับได้
ยิ่งถ้าอัตราภาษีที่ลดหย่อนได้นั้นสูงแค่ไหน การขาย LTF เพื่อนำเงินไปซื้อ LTF ใหม่ก็ดูเหมือนกับยิ่งจะคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เชื่อว่าแรงขาย LTF ทุกต้นปีเกิดจากสาเหตุนี้คือคนต้องการนำเงินที่ขายได้กลับไปซื้อ LTF ใหม่
ถ้าไม่มีเป้าหมายที่จะขาย กองทุน LTF ก็ต้องคิดให้ดีหน่อย
ถ้าคิดแต่ว่า LTF ถึงกำหนดแล้วก็ขายเอาเงินออกมา แล้วถึงเวลาเงินก้อนนั้นก็ถูกใช้หมดไปกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เช่น ดาวน์รถคันใหม่ หรือซื้อของใช้ฟุ่มเฟือย แบบนี้ก็ไม่ไหว เพราะอย่าลืมว่านั่นคือเงินลงทุน ถ้าไม่ลงทุนต่อใช้ไปทุนที่เป็นเงินเก็บก็หมดไปอย่างน่าเสียดาย โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนจากเงินทุนก้อนนั้นก็ต้องสูญสลายไป หรือแม้แต่ว่าไม่ได้นำเงินไปใช้ฟุ่มเฟือย แต่เอาเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ก็ต้องดูว่าคุ้มหรือไม่
ถ้าเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นมีแนวโน้มสดใส ดัชนีหุ้นยังน่าจะไปต่อได้ การเลือกถือ LTF ต่อไปทั้งที่ครบกำหนดแล้วก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเขาบังคับแค่ไม่ถึงเวลาห้ามขาย แต่ถ้าถึงเวลาจะขายหรือไม่ขายก็ได้ ให้ไว้เป็นทางเลือก
แต่ตรงกันข้าม ถ้า LTF เราให้ผลตอบแทนพอสมควรตลอดช่วงเวลาที่ถือมา อยากขายทำกำไรจากกองทุน LTF ก็สามารถทำได้ เพราะการถือ LTF ต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ขายเลย ก็ไม่ได้รับประกันว่ามูลค่าของ LTF จะไม่กลายเป็นติดลบ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการหาข้อมูล คิดวิเคราะห์ และตัดสินใจให้ดีแล้วค่อยขาย ไม่ใช่แค่เหตุผลว่า LTF ถึงกำหนดแล้วเลยขาย
ถ้าผลตอบแทนกองทุน LTF ที่ผ่านมายังไม่น่าพอใจ การเลือกถือ LTF ต่อไปอีก 1-2 ปีเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเช่นกัน โดยปกติแล้ว ทีมบริหารกองทุน หรือ ผู้จัดการกองทุน แต่ละบลจ. จะมีการกำหนดกลยุทธ์และการลงทุนตามแต่ละโมเดลซึ่งเป็นไปได้นโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ซึ่ง LTF ของแต่ละบลจ. ส่วนใหญ่ เป็นหนึ่งในโมเดลการลงทุน ซึ่งมีกองทุนรวมปกติ ที่ไม่ใช่ LTF ที่ต้องบริหารจัดการต่ออยู่แล้ว
ดังนั้น ในแง่การทำงานของผู้จัดการกองทุน จึงไม่ได้เกิดความยากมากขึ้น จากการที่ไม่มีเงินลงทุนเข้ามาใหม่ใน LTF และจากการศึกษาของทีม Finnomena Analytics
เราพบว่า ผลการดำเนินงานกองทุนรวมที่ไม่มี Flow ไหลเข้าออกจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กองทุนรวมที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าออกในระยะสั้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งตีความได้ว่า กองทุนที่นักลงทุนทำการซื้อขายบ่อยๆ อาจทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่อง จนมีผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนบ้าง ซึ่งถ้าเชื่อในประเด็นนี้ ก็แปลว่า การไม่มีเงินใหม่เข้าลงทุนใน LTF อาจเป็นการดีต่อผลการดำเนินงานกองทุนด้วย จะยกเว้นก็แต่ว่า ถ้าขนาดของกองทุน LTF นั้นๆ ที่เราลงทุนอยู่ มีขนาดเล็กมากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจในการบริหารพอร์ตของผู้จัดการกองทุนให้ลดลง นักลงทุนจึงควรคิดทั้งสองมุม และติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องด้วยค่ะ
เหตุผลที่สนับสนุนการขายกองทุน LTF
การบริหารพอร์ตลงทุนของแต่ละคนถ้าเรามีเป้าหมายสัดส่วนการลงทุนที่เป็นหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่ไม่เกิน 50% แต่พอซื้อ LTF เพิ่มทุกปี แถมพอร์ตเล่นหุ้นรายตัวอีก ทำให้สัดส่วนหุ้นนั้นเกิน 50% ไป การเลือกขายกองทุน LTF เมื่อครบกำหนดเพื่อลดสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงก็เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำได้ แต่ทั้งนี้เราต้องมีคำตอบว่าเมื่อขายแล้วจะเอาเงินที่ได้ไปลงทุนอะไรต่อเพื่อไม่ให้เงินหมดไป
เช่น ซื้อตราสารหนี้ ซื้อประกันชีวิต หรือฝากธนาคาร แล้วก็นอกจากจะใช้ลดหย่อนภาษีได้แล้ว ถ้าหากกองทุนนั้นมีการจ่ายเงินปันผลด้วย ก็เหมือนกับการได้กำไรสองต่อ หลายคนจึงเลือกซื้อกองทุน LTF ที่มีนโยบายจ่ายปันผล (ซึ่งเราจะต้องเสียภาษี 10% ของเงินปันผลนั้นด้วย สามารถเลือกได้ทั้งแบบหัก ณ ที่จ่าย หรือไม่หัก ณ ที่จ่าย ถ้าเลือกไม่หัก ณ ที่จ่าย ต้องนำเงินปันผลนั้นมารวมกับเงินได้ประจำปี เพื่อเสียภาษีตามฐานภาษีของเรา) ส่วนใครที่เลือกกองทุนแบบไม่จ่ายปันผล ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้ ช่วงเวลาฮอตฮิตที่คนส่วนใหญ่มักจะซื้อ LTF คือช่วงปลายปี แต่จริงๆ แล้ว LTF นั้นซื้อช่วงไหนของปีก็ได้ ยิ่งซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลงน่าจะดีที่สุด เพราะเราจะได้ต้นทุนต่ำ แต่หากเราไม่มีเวลาหรือไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเลย ก็ยังมีอีกวิธีที่ นั่นคือ การทยอยซื้อแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA (Dollar-Cost Averaging) คือ การทยอยซื้อทุกๆ เดือน เดือนละเท่า ๆ กัน โดยไม่สนว่าช่วงนั้นหุ้นจะขึ้นหรือลง ก็จะทำให้ต้นทุนการซื้อเราออกมาเป็นค่าเฉลี่ยของทั้งปี
1. ยิ่งถือยาวก็ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนดี
เนื่องจาก LTF เป็นการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีความผันผวนสูง การลงทุนระยะสั้นจึงมีความไม่แน่นอน การถือครองในระยะยาวจะทำให้โอกาสขาดทุนลดลงอย่างมาก นอกจากผลตอบแทนแล้ว สำหรับใครที่ลงทุนใน LTF ที่มีนโยบายปันผล ก็มีโอกาสได้รับเงินปันผลไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ถือการลงทุนต่อไป
2. สร้างความมั่นคงในระยะยาว
ถึงแม้ว่า LTF จะสามารถใช้เพื่อลดหย่อนภาษีได้ แต่อย่ามองว่ากองทุน LTF มีประโยชน์แค่ได้สิทธิทางภาษีเท่านั้น อันที่จริงมันยังเป็นการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาวอีกด้วย เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นด้วยตามวัย เช่น ค่าดูแลสุขภาพ เลี้ยงดูครอบครัว ค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน เป็นต้น การมีเงินลงทุนสะสมงอกเงยไว้เพื่ออนาคต ย่อมทำให้รู้สึกมั่นคงและปลอดภัยมากกว่า ขนาดตึกยังมีบันไดหนีไฟ แล้วชีวิตจะไม่มีทางสำรองได้อย่างไร จริงไหมคะ?
สรุป
มีเรื่องให้ต้องคิดไม่น้อยเลยว่าเมื่อกองทุน LTF ถึงกำหนดแล้ว เราควรขายหรือถือต่อ ดังนั้นอย่าใช้เหตุผลแค่เพียงว่าเพราะ LTF ถึงกำหนดแล้วขายได้ก็เลยขายมาเป็นคำตอบในการขาย LTF ของคุณเท่านั้นเลยค่ะ ก่อนขายคืน LTF ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือครบกำหนดตามเงื่อนไขภาษีนั้นมีอยู่จำนวนกี่หน่วย และต้องไม่ขายคืนเกินจำนวนหน่วยนี้ ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายผิดเงื่อนไขได้ ถ้าจะขายคืน LTF ที่ครบกำหนด
คุณสามารถทยอยขายได้ ไม่จำเป็นต้องขายคืนหมดทั้งก้อน เมื่อสั่งขายคืนหน่วยลงทุน ไม่ว่าจะเป็นกำหนดเป็นจำนวนเงินว่าจะขายคืนกี่บาท หรือกำหนดเป็นจำนวนหน่วยก็ตาม หน่วยลงทุนที่จะถูกขายคืนก่อนคือหน่วยลงทุนที่ซื้อก่อน ตามหลักการเข้าก่อนออกก่อน (FIFO-First In First Out)
ดังนั้น คุณอาจขายคืนให้ได้เงินเท่าที่จำเป็นต้องใช้ ที่เหลือก็ถือลงทุนต่อไปได้ ซึ่งกำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนที่ครบอายุนี้จะไม่ต้องเสียภาษีด้วย (ต่างจากเงินปันผลที่ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 10% หรือนำไปรวมกับรายได้ทั้งหมดเพื่อคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี)
ถ้าช่วงสิ้นปีเป็นช่วงที่คนนิยมซื้อกองทุน LTF แล้วล่ะก็ ช่วงต้นปีก็คงเป็นช่วงที่มีคนขายคืนกองทุนที่ถือจนครบกำหนดกันไม่ใช่น้อย ก่อนจะตัดสินใจว่าจะขาย LTF ลองพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ - สถานะการเงิน ความจำเป็นในการใช้เงินตอนนี้ vs. การเก็บเงินลงทุนไว้เพื่อใช้ในอนาคต เป้าหมายการเงินต่อไป รวมถึงผลตอบแทนและแนวโน้มของกองทุน แล้วคุณก็จะตอบตัวเองได้ว่า การขายคืน LTF เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริงหรือเปล่า
MILK
บทความนี้ให้คำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการเลือกกองทุน LTF ว่าจะขายหรือยังถือต่อไว้ดี เพราะว่าอย่างน้อยๆสำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้วการเลือกกองทุน LTF เป็นการวางแผนที่ดีเกี่ยวกับการเงินเพราะช่วยลดหย่อนภาษีได้ด้วย แต่ถ้าสำหรับใครกลัวว่าจะได้รับเงินปันผลหรือได้รับกำไรน้อย อาจจะคิดถึงวิธีการขายหุ้นตัวนี้ออกไปก็ได้
ซามูไร
ผมลงทุนกับกองทุน LTF นะครับแต่ไม่คิดจะขายผมว่าจะขาดทุนเปล่าๆนะเก็ไว้เมื่อถึงกำหนดดีกว่าจะได้กำไรมากกว่า แต่ก็นะขึ้นอยู่กับความคิดและการตัดสินใจของบางคน และแผนการลงทุนของบางคน สำหรับผมผมไม่คิดว่าจะขายเพราะไม่ได้ตั้งฝจจะขายตั้งแต่แรกแต่จะเก็บเอาไว้เพราะมีปะโยชน์หลายอย่าง ได้ดอกเบี้ยได้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย
น้ำฝน
บางคนอาจคิดว่ากองทุน LTF ควรขายออกไปดี บทความนี้ทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับกองทุน ltf และยังช่วยให้เราในการสามารถที่จะคิดตัดสินใจว่าจะขายออกดีหรือว่าจะลงทุนต่อไป ซึ่งเราน่าจะคิดถึงผลได้ผลเสียที่เกิดจากการลงทุนในเรื่องนี้ด้วย เพราะว่าผมได้อย่างนึงคือเราจะมีเงินก้อนใหญ่ในอนาคต และสามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วยค่ะ
ราเชน
ก่อนการลงทุนก็คิดกันถี่ถ้วนไปแล้วครั้งนึง พอถึงเวลาจะขายยิ่งต้องคิดให้รอบคอบอีกรอบนึงด้วย ดีครับมีบทความมาแนะนำวิธีคิดไว้ก่อน คนที่ลงทุนกับกองทุน LTF ไปแล้วจะได้ไม่รีบขายเมื่อถึงเวลา ถ้ามันดีกว่าควรเก็บไว้ก่อน หากขายแล้วไม่คุ้มก็ไม่น่าจะขายนะครับ เสียดายแย่เลย แต่ก็ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับตัวผู้ที่ลงทุนหรอก คิดกันให้ดีครับ
นิคม
กองทุน แบบนี้ ไม่เคยเล่นครับ แล้วก็ไม่ทราบการทำงานของกองทุนแบบนี้ด้วย แต่ที่เข้ามาอ่านเพราะอยากรู้เท่านั้นครับ แต่ ก็ยังไม่ได้ทั้งหมดครับ คือ หลายคนบอกว่า กองทุนแบบนี้ดี สามารถลงทุนได้และกองทุนแบบนี้มีกำหนดการขายคืนด้วย แต่ที่เราอยากทราบมากขึ้นคือ กองทุนตัวนี้ ผลกำไรเป็นอย่างไร แล้วลงทุนสักขนาดไหนถึงจะคุ้มทุน
ปลายฟ้า
เห็นด้วยกับคุณราเชนค่ะ ไหนๆก็ลงทุนแล้วถ้าไม่หนักหนาหรือติดขัดอะไรก็ไม่ควรรรีบขายนะคะ เพราะลงทุนต่อเนื่องในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ชั้นเองก็ลงทุนเหมือนกันตอนนี้ก็ลงทุนมาต่อเนื่องไม่คิดจะขายค่ะ จะรอให้ครบกำหนด แล้วรับผลตอบแทนเลยทีเดียวน่าจะคุ้มกว่ามากๆค่ะ แม้แต่ครบกำหนดแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะขายแล้วดีเสมอไปนะต้องดูจังหวะกันด้วย
รดา
ถ้าไม่ค่อยมีเงินหรือต้องรีบใช้เงินในเศรษฐกิจแบบนี้ควรรีบถอนออกมาเถอะค่ะ ดีกว่าจะขาดทุนมากกว่านี้จนเราไม่ได้อะไร ควรรีบๆขายช่วงที่ยังเป็นบวกนะคะ ยิ่งเจอโรคระบาดซ้ำเข้าไปอีกต้องดูกันอีกนานเลย ถ้าเศรษฐกิจฟื้นค่อยซื้อใหม่ก็ยังไม่สาย แต่ถ้าถอนออกนี่เราไม่ค่อยแน่ใจเรื่องภาษีนะคะ ยังไงตรงนี้ต้องลองไปเช็คกันดูค่ะ
ลิเดีย
ถ้าอย่างนั้น จากที่อ่านมาเราคิดว่ากองทุน ltf ถ้ามันเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีในระยะยาวและเราก็มีหุ้นในมืออยู่แล้ว ไม่ได้ลงกองทุนรวมเยอะด้วย ถือต่อไปก็ดีกว่าจริงไหมล่ะ ไม่จำเป็นต้องรีบขายก็ได้ ถ้าถึงกำหนดอาจจะค่อยคิดอีกที แล้วก็ค่อยซื้อใหม่อย่างนี้นะหรอ มันต้องวางแผนดีๆอะเนาะ ถ้าขายก็คงขายตามคนอื่นนั่นแหละมั้งขายช่วงต้นปี แล้วซื้อตอนสิ้นปี
AVA
เรื่องกองทุน เราไม่ค่อยเก่งเท่าไรนะ แต่ถ้าเป็นเรานะ เราจะถือกองทุนไว้ในมือก่อนดีกว่า ถึงแม้ว่าบางช่วงอาจดูว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไร เอาง่ายๆ ถ้าอย่างคนที่เล่นทองตอนนี้หลายคนก็มองว่ารีบขายออกดีที่สุดเพราะได้กำไรงาม แต่บางกลุ่มก็ยังมองว่ากำไรมันน่าจะได้มากกว่าตอนนี้ เลยเก็บทองเอาไว้ กับตัวก่อนดีกว่าทั้งที่กำไรก็มากพอแล้วแต่เขาอยากได้มากกว่าเดิม กองทุนก็น่าจะมีหลักคล้ายกันแบบนี้นะ
วิเชียร
ถ้ารู้สึกปวดหัวแล้วมีความกังวลกับกองทุน ltf ก็ทำการขายทิ้งให้กับคนอื่นไปเลยครับ อะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกกังวล หรือทำให้เราได้รับผลตอบแทนไม่ได้เป็นไปตามที่เราได้คาดไว้ แน่นอนว่าสิ่งนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพของเรา ถ้าเรารู้สึกว่าเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมดีกว่าก็ทำการขายทิ้งไปเลยครับ แต่ถ้าเรารู้สึกว่ายังโอเคอยู่และไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมายก็ปล่อยต่อไป
Gongtup
แม้ว่านักลงทุนในกองทุน LTF จะสามารถนำเงินที่ซื้อในแต่ละปีไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข แต่ถ้าจะซื้อกองทุน LTF เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว..ไม่คุ้มแน่ๆครับ แต่ถ้าซื้อด้วยเหตุผลอื่นๆ อย่างนั้นก็น่าซื้อครับ การลงทุนแบบนี้ต้องให้ได้สิทธิประโยชน์หลายๆอย่าง เพื่อตัวคนที่ลงทุนเองน่ะแหละ อ่านบทความนี้จบก็ลองพิจารณาดูครับ