ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงจริงๆ กับสภาพการในปัจจุบันของเราที่ทำให้การจ้างงานลดลงไม่ว่าจะด้วยเรื่องของเศรษฐกิจหรือเพราะความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันกันที่สูงทำให้ทั้งการจ้างงานลดลงและการหางานก็ยากไม่แพ้กัน และคนที่เป็นลูกจ้างต้องเตรียมตัวรับมือกับสิ่งเหล่านี้ให้ดีๆซึ่งที่ผมบอกว่ามีการว่าจ้างงานลดลงนั้นเป็นเรื่องจริง

โดยผมจะต้องเล่าย้อนไปถึงความก้าวหน้าและเติบโตของวงการอุตสาหกรรมในสมัยก่อนที่เติบโตอย่างมากและมีการวางจ้างงานที่เพิ่มมากจริงๆ โดยถ้าเพื่อนๆย้อนไปในปี 1973 บริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกากว่า 25 บริษัท มีการจ้างแรงงานรวมกันสูงถึง 10% ของแรงงานทั้งหมดภายในประเทศ ผมจะยกตัวอย่างให้เพื่อนๆเห็นกันชัดจากบริษัทอย่าง General Motors ที่มีพนักงานมากอยู่แล้วถึง 5 แสนคน และในปี 1950 กลับมีพนักงานที่เพิ่มมากขึ้นไปอีกเป็น 8 แสนคน ในปี 1973 เห็นกันไหมครับว่ามีการจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้นจริงๆในช่วงปีดังกล่าว เห็นๆกันเลยว่าเพิ่มเกือบจะ 30 %

ซึ่งผมจะต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าในสมัยก่อนที่จ้างพนักงานเพิ่มแล้วพนักงานหล่าวนั้นจะเป็นพนักงานที่เหมือนกับพนักงานPart Timeนะครับ แต่ต้องบอกว่าพนักงานเหล่านั้นที่ถูกว่าจ้างทั้งหลาย เป็นรูปแบบการว่าจ้างเป็นพนักงานประจำที่มีความมั่นคง และมีโอกาศในการเลื่อนต่ำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนด้วย และสวัสดิการต่างๆดีๆมากมายไม่ว่าจะเป็น ค่ารักษาพยาบาล เงินเกษียณ เป็นต้น ซึ่งในยุคนั้นทุกคนล้วนมีความฝันที่จะเรียนจบและเข้าทำงานเพื่อที่จะมีการงานและการเงินที่มั่นคง พร้อมกับสวัสดิการดีๆทั้งหลาย แต่ต้องบอกว่าในปัจจุบันมันไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนฝันไว้ เพราะด้วยสภาพในปัจจุบันที่มีหลายๆอย่างเปลี่ยนไป ให้เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจของบริษัทรายใหญ่ในปัจจุบัน

ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจของบริษัทรายใหญ่ในปัจจุบัน

ที่ผมบอกว่าในปัจจุบันมีหลายอย่างเปลี่ยนไป ใช่ครับมีหลายอย่างเปลี่ยน ซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยเหมือนกันจากในข่าว ที่มีการล้มละลายของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆแห่ง ที่ในช่วงปี 1973 ผมยังบอกว่าบริษัทเหล่านี้มีการเติมโตและบอกว่าพวกเขามีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเกือบ 30% อยู่เลย แต่ในข่าวปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ได้หายไปล้มละลายและเลิกกิจการกันไป ไม่ว่าจะเป็น Mitsubishi Motors , General Motors , Eastman Kodak , American Airlines , Chrysler และอีกหลายๆบริษัทที่เกิดกันในช่วงปีที่ผ่านๆมา และถึงแม้บ้างบริษัทถึงไม่ได้ล้มละลาย หรือ ปิดกิจการไปอย่างที่ผมได้บอกไปตอนต้นก็ต้องมีการปรับตัวขนาดใหญ่ ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในสมัยก่อนมันไม่ได้เป็นตัวบอกว่าในปัจจุบันมันจะยังยิ่งใหญ่เหมือนเดิม และสิ่งที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุดว่าทำไมปัจจุบันนั้นถึงต่างจากอดีตนั้นก็ คือ เรื่องเทคโนโลยี ที่ทำให้ภาพรวมของการทำธุรกิจหลายๆอย่างเปลี่ยนไป และถ้าธุรกิจไหนไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีในปัจจุบันธุรกิจเหล่านั้นก็จะเป็นดังที่ผมได้บอกไปในตอนต้น

และบริษัทที่มีการปรับตัวเป็นบริษัทแรก ก็อย่าง ไนกี้ ที่มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคปัจจุบันโดยการที่ได้นำขั้นตอนการผลิตที่สมัยก่อนผลิตด้วยตัวเองแต่ไปจ้างชัพพลายเยอร์เป็นผู้ผลิตแทนทั้งหมดทำให้ลดต้นทุนในการจ้างพนักงานในสายงานการผลิต และเหลือไว้แค่พนักงานที่ทำหน้าที่ที่ต้องมีความชำนาญและเชี่ยวชาญไว้อย่างเดียว เช่น การตลาด การออกแบบและการบริหารเอาไว้ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการปรับตัวที่ดีมากเข้ากับยุคสมัยในปัจจุบันที่มีการโอนงานที่สามารถทำได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันไปให้ผู้อื่นทำและเหลือไว้แต่งานที่ยากๆเอาไว้ที่แม้จะยุคสมัยไหนงานเหล่านี้ก็ยังต้องใช้ความชำนาญและเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการทำ ซึ่งหลังจากที่บริษัท ไนกี้ มีการปรับตัวก็มีหลายบริษัทที่มีการปรับและทำตามมากมาย ทั้งอุตสาหกรรมยาก็มีการปรับเปลี่ยน

โดยยากว่า 40% ของยาสามัญที่ขายในอเมริกาเป็นยาที่กระบวนการผลิตมาจากประเทศอินเดีย รวมไปถึงระบบปฏิบัติการทางด้านไอทีก็เช่นกันมีการปรับเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน โดยที่ปัจจุบันหลายธุรกิจสามารถดำเนินการผ่าน cloud service ได้โดนที่ไม่จำเป็นจะต้องไปลงทุนด้านไอที ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้บริษัทใหญ่ที่เมื่อก่อนได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตที่ยิ่งผลิตเยอะต้นทุนการผลิตยิ่งน้อยก็จะไม่ได้เปรียบอีกต่อไป

เพราะถ้าธุรกิจใหม่ที่เปปิดตัวมาและจัดการต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงได้และสามารถขายได้มากกว่าก็จะมาแทนที่บริษัทเก่าไม่ว่าบริษัทเก่านั้นจะเคยยิ่งใหญ่ขนาดไหนมาก่อน ซึ่งกระแสในเรื่องนี้มีผลอย่างมากกับการจ้างงาน โดยที่ต่อไปการที่เราจะเห็นตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครที่มีรายได้มั่นคง มีสวัสดิการดีๆคงจะหายากขึ้นเรื่อยๆจะมีก็เพียงแต่ตำแหน่ง Part-time รายได้เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น เรื่องความมั่นคงและสวัสดิการไม่ต้องพูดถึง

นักธุรกิจนักลงทุนลดการจ้างงานลง

นักธุรกิจนักลงทุนลดการจ้างงานลง

อย่างที่ได้บอกไปว่าปัจจุบันการทำธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้นักลงทุนหรือนักธุรกิจที่อยากจะอยู่รอด จะต้องทำการลดการจ้างงานลงเพื่อลดต้นทุน ซึ่งธุรกิจที่จะอยู่รอดได้ในปัจจุบันก็จะเป็นธุรกิจที่สามารถทำตัวให้เล็ก ไม่มีการจ้างงานขนาดใหญ่ซึ่งมีการกระจายการจ้างงานออกไป เรียกว่า platform หรือ sharing economy ยกตัวอย่างที่เป็นธุรกิจในต่างประเทศในฝั่งยุโรปก็จะเป็นธุรกิจอย่าง Uber ที่มีพนกงานภายในบริษัทจริงๆแค่ไม่กี่พันคน แต่มีเครือข่ายที่ขับ Uber อยู่ทั่วไปหมด ซึ่งถ้าจะนึกภาพให้ออกไปในปัจจุบันภายในบ้านเราประเทศไทยที่กำลังได้รับความนิยมก็อย่างเช่น บริษัท Grab หรือจะเป็น บริการส่งอาหารอย่าง Food Panda ที่มีพนักงานภายในบริษัทจริงๆน้อยมากแต่ใช้เครือข่ายและ platform แทน

พัฒนาให้ถูกทางเพื่อความต้องการ

พัฒนาให้ถูกทางเพื่อความต้องการ

ก็อย่างที่บอกว่าตอนนี้ พนักงานที่แต่ละบริษัทพยายามให้เหลืออยู่ไม่ใช่พนักงานที่ใช้แรงงาน แต่เป็นพนักงานที่มีความชำนาญและเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แล้วเราจะต้องพัฒนาความสามารถไปในทางด้านไหนบ้างที่จะตรงกับความต้องการล่ะ และแน่นอนว่าพูดถึงการพัฒนาก็ต้องหมายถึงการเรียนรู้ และสิ่งแรกที่จะต้องเรียนรู้คือเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในปัจจุบันและเป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆอย่างเปลี่ยนไป ส่วนสาขาที่น่าจะเรียนแล้วเข้ากับปัจจุบันมากที่สุดน่าจะเป็น ด้านศิลปศาสตร์ ที่เป็นการสอนให้รู้จักกับการปรับตัวให้ทันกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทุกวัน