ถ้าจะให้พูดกันถึงการกู้ยืมเงินหรือการขอสินเชื่อนั้น หลายๆคนคงไม่อยากจะไปยุ่งเกียว หรือไม่มีใครอยากจะเป็นหนี้กันสักเท่าไหร่นักหรอกว่ามั้ย? แต่ก็นะบางทีมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง อาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจโลกของเราทุกวันนี้มันแย่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บางคนต้องตัดสินใจใช้บริการเงินกู้ของสถาบันทางการเงินหรือธนาคารต่างๆ ซึ่งก็อาจจะนำมาซึ่งความยุ่งยากลำบากความวุ่นวายตั้งแต่เริ่มต้น เพราะจะต้องมีการตระเตรียมเอกสารมากมายร้อยแปดเพื่อยืนยันความมั่นคงหรือยืนยันตัวตนของคุณให้ทางเจ้าหน้าที่และธนาคารมั่นใจและให้การอนุมัติสินเชื่อเงินกู้ให้กับคุณ แค่ฟังก็ดูท่าว่าน่าปวดหัวอยู่ไม่ใช่น้อยใช่มั้ยคะ? แต่ก็นั่นแหละในเมื่อสถานการณ์ของบางคนบีบบังคับ หรือมีความจำเป็นจะต้องกู้หรือขอสินเชื่อจริงแล้วละก็ คุณลองมาเปลี่ยนมุมมองแล้วทัศนะกันหน่อย เพราะยังคุณก็จะต้องทำการกู้เงินจนได้ เรามาลองคิดให้เรื่องมันดูง่ายๆกันเถอะค่ะ เพราะในเรื่องของการเงินถ้าเราตระเตรียมตัวมาอย่างดีหาข้อมูอย่างดีมาบ้างสักหน่อยเราก็จะไม่ต้องปวดหัวมากเท่าไหร่นัก วันนี้จึงจะเอาข้อมูลของการเตรียมตัว เตรียมความคิด เตรียมใจ เพื่อจะเริ่มการเป็นหนี้ธนาคาร และการเช็คตรวจสอบและหาข้อมูลเรื่องดอกเบี้ยมาให้ได้อ่านกันค่ะ ก่อนเราจะไปดูเรื่องดอกเบี้ยนั้น มามาดูการเตรียมตัวกันก่อนนะคะ

สำรวจตัวคุณเอง

explore yourself

M_Amorn/shutterstock.com

ดูว่าคุณมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หรือคุณมีฐานะทางการเงินเป็นอย่างไรบ้าง? คุณเองเคยเป็นหนี้มาก่อนหรือเปล่า? และจัดการหนี้นั้นเรียบร้อยแล้วหรือยัง? ซึ่งหนี้ที่คุณต้องสำรวจว่ามีหรือไม่นั้น คือ หนี้การผ่อนรถ หนี้บัตรเครดิต หนี้เหล่านี้มีผลต่อการขอเงินกู้จากธนาคารทั้งสิ้น และถ้าคุณมีหนี้เหล่านี้ที่ยังต้องรับภาระอยู่ก็ต้องเป็นภาระรายจ่ายที่ไม่เกินกว่า 40% ของรายได้ที่คุณได้ทั้งเดือนนะคะ ถึงจะยังมีหวังที่จะขอกู้เงินจากธนาคารได้ และธนาคารก็ยังรับคุณไว้พิจารณาอยู่และมองว่าคุณก็ยังสามารถชำระหนี้ที่กำลังจะขอกู้ได้อยู่ นอกจากตวรจสอบตัวคุณเองในเรื่องนี้แล้ว ควรประเมินสถานการณ์การงานของคุณด้วยนะคะ เพราะบางคนก็มีงานที่มั่นคงแน่นอน แต่สำหรับบางคนก็มีความไม่แน่นอนในหน้าที่การงาน ความไม่แน่นอนนี้ก็มีผลต่อความไม่แน่นอนทางการเงินที่คุณจะได้รับทุกๆเดือนด้วยเช่นกัน

ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ย

check interest rates

Andrii Yalanskyi/shutterstock.com

ในแต่ละสถานที่แต่ละธนาคารก็จะมีอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ในแต่ละวงเงินการกู้ในแต่ละประเภทด้วยค่ะ ดังนั้นนี่ก็เป็นสิ่งสำคัญมากมากที่เราต้องเช็คให้ดี และเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่คุณจะต้องเสียหลังจากที่ได้รับเงินกู้มาแล้วด้วยนะคะ ไม่ใช่ใจจดใจจ่ออยู่แต่ที่เงินก้อนที่กู้มาได้เท่านั้น ต้องดูผลที่จะตามด้วยค่ะ เพราะสุดท้ายยังไงเงินก้อนนั้นก็ไม่ใช่ของของคุณ คุณมีภาระห้าที่ต้องรับผิดชอบจ่ายคืนให้กับธนาคารอยู่ดี การทราบอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งี่ห้ามลืมห้ามละเลยค่ะ

การเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย

compare loan fee thailand

metamorworks/shutterstock.com

เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ในแต่ละธนาคารให้ดี ซึ่งในทุกวันนี้จะเห็นได้ว่าทางธนาคารก็แข่งขันกันมากพอสมควรเพื่อจะให้คุณไปเป็นลูกค้าของเขา หลายธนาคารจึงมีเงื่อนไขที่จะยกเลิกค่าธรรมเนียมในการยื่นกู้ที่ต้องจ่ายนี้ออกไปเพื่อดึงความสนใจลูกค้ามากขึ้นให้เข้ามากู้ยืมเงินจากสถาบันของตน ซึ่งโดยทั่วๆไปปกติแล้วค่าธรรมเนียมนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 0.10% - 0.25% และยังมีค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนด้วยที่เราต้องเช้คตั้งแต่แรกว่าเท่าไหร่ เผื่อว่าคุณอยากจะไถ่ถอนหรือปิดหนี้ก่อนกำหนดจะทำได้หรือไม่อย่างไรค่าธรรมเนียมตรงนีอยู่ที่เท่าไหร่ต้องเช็คให้ดีเพื่อไม่มีปัญหาในภายหลัง ซึ่งบางคนก็จะเรียกค่ะรรมเนียมตัวนี้ว่าค่าปรับ แต่ละธนาคารก็จะมีค่าปรับในจำนวนไม่เท่ากันค่ะ แต่โดยส่วนมากจะมีค่าปรับอยู่ที่ 2-3% ของวงเงินที่กู้ไปค่ะ และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก เช่น ค่าประเมินทรัพย์ของคุณ ค่าปรับเมื่อผู้กู้จ่ายไม่ตรงเวลา ค่าประกันที่อยู่อาศัย (ในกรณีขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) ต้องเสียค่าประกันอัคคีภัยด้วย ส่วนมากแล้วพนักงานก็จะเชิญชวนให้คุณทำประกันตัวนี้เอาไว้ เพื่อว่าถ้าคุณเกิดเสียชีวิตทางธนาคารจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด และไม่เป็นภาระของครอบครัวของคุณต่อไป ส่วนมากใครๆก็ทำประกันตัวนี้กันค่ะ

เงื่อนและกฏเกณฑ์

terms and rules

Song_about_summer/shutterstock.com

ส่วนในเรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่ละธนาคารก็มีเงื่อนไขและกฏเกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป คุณจึงควรศึกษาข้อมูลให้ดีและใช้วลาในการเปรียบเทียบเงื่อนไขแลกฏเกณฑ์ในแต่ละธนาคารสักหน่อยเพื่ออนาคตการเงินของคุณจะไม่สะดุดถ้าคุณได้เลือกเงื่อนไขที่เหมาะสมกันสถานการณ์ของคุณเองจริงๆ คุณต้องเอาอาชีพการงานของคุณ รายรับรายได้แต่ละเดือนของคุณ งบการเงินของคุณ มาเปรียบเทียบกับเงื่อนไขและกฏเกณฑ์ของแต่ละธนาคารอีกทีด้วยนะคะ เพื่อจะได้ลงตัวสอดคล้องกันไม่ติดขัด

นี่ก็เป็นเทคนิคที่ทำให้การกู้เงินของคุณนั้นง่ายมากขึ้นและช่วยคลายความกังวลของคุณไปได้บ้างด้วยการเตรียมตัวศึกษาข้อมูลอย่างดี นอกจากเรื่องเหล่านี้ที่ต้องเตรียมแล้ว การเลือกอัตราดอกเบี้ยที่ดีสำคัญมาก เรามาดูเรื่องการเลือกดอกเบี้ยกันค่ะ จะเอาข้อมูลมาให้ได้อ่านกันถึงดอกเบี้ยใน 5 แบบนี้นะคะ ไปดูกันค่ะ

การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate)

flat rate loan thailand

Pla2na/shutterstock.com

ดอกเบี้ยประเภทนี้โดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการกู้เงินและขอสินเชื่อในรูปแบบของรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งจะมีการคิดดอกเบี้ยที่ผุ้กู้ต้องชำระจากเงินต้นทั้งก้อนที่กู้มา อยู่ในจำนวนคงที่แบบนั้นตลอดอายุสัญญา ถึงแม้ว่าจะมีการผ่อนชำระเงินต้นอยู่เรื่อยไปแล้วก็ตาม ซึ่งจะมีวิธีคิดแบบนี้ค่ะ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x ระนะเวลา (ปี) จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละงวด = เงินต้น + ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด จำนวนงวดที่ต้องผ่อนจ่ายทั้งหมด คงพอจะเข้าใจกันอยู่บ้างนะคะ นี่คือดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ค่ะ

การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก

calculation loan

kitzcorner/shutterstock.com

ดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทนี้สามารถใช้ได้กับการของเนกู้และขอสินเชื่อในทุกประเภทค่ะ เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น ซึ่งจะคิดดอกเบี้นจากเงินต้นที่คงเหลือในแต่ละงวด มีวิธีคำนวณอย่างนี้ค่ะ

ดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายในงวดนั้น = เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวด จำนวนวันใน 1 ปี เงินต้นลดลง = จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในงวดนั้น – ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น เงินต้นคงเหลือ ( เพื่อคำนวณดอกเบี้ยงวดถัดไป ) = เงินต้นคงเหลือจากงวดก่อน – เงินต้นลดลง นี่ก็เป็นวิธีคิดคำนวณของดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอกนะคะ ลองนำไปคิดกันดูค่ะ

ดอกเบี้ยแบบ MLR

ดอกเบี้ยแบบ MLR

ถ้าคุณคิดจะกู้เงินล่ะก็ต้องได้ยินดอกเบี้ยประเภทนี้แน่นอน ก่อนอื่นเรามารู้กันก่อนว่า ดอกบี้ยเงินกู้นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว ซึ่งเจ้าดอกเบี้ยเงินกู้แบบ MLR นั้นอยู่ในประเภทดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวนี่เองค่ะ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยลอยตัวนั้น ดอกเบี้ยเงินกู้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไปตามการลงทุนของธนาคารหรือผู้ที่ให้การกู้เงินแก่เรา ซึ่งทางธนาคารจะประกาศบอกเราให้ทราบเองค่ะ ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้แบบ MLR ตัวนี้ ย่อมาจาก Minimum Loan Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารพานิชย์จะเรียกเก็บจากลูกค้าชั้นดีทั้งหลายลูกค้ารายใหญ่ๆ เช่น บุคคลที่มีประวัติทางการเงินที่ดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มั่นคงและมีมากพอ ส่วนมากแล้วจะเป็นดอกเบี้ยที่จะใช้กับการกู้เงินในระยะยาวที่มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนค่ะ

ดอกเบี้ยแบบ MRR

ดอกเบี้ยแบบ MRR

ดอกเบี้ยแบบนี้ก็จัดอยู่ในประเภทดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวเช่นกันค่ะ MRR นี้ย่อมาจาก Minimum Retail Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารพานิชย์นั้นจะเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อย หรือเรียกว่า สินเชื่อส่วนบุคคล และ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อบัตรเครดิตก็ใช่ อัตราดอกเบี้ยแบบนี้จะสูงที่สุดเสมอ

ดอกเบี้ยแบบ MOR

ดอกเบี้ยแบบ MOR

ดอกเบี้ยแบบ MOR ตัวนี้ย่อมากจาก Minimum Overdraft Rate คืออัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารพานิชย์จะเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่เช่นกันกับอัตราดอกเบี้ยแบบ MLR แต่จะเป็นการกู้เงินแบบเงินเบิกเกินบัญชีแบบนี้ค่ะ ส่วนใหญ่มักจะใช้กับ สินเชื่อแบบเงินทุนหมุนเวียน ที่มีการทำผ่านบัญชีกระแสรายวัน และเป็นการเบิกถอนโดยใช้เช็คเงินสด ซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้บริการสามารถถอนเงินสดได้มากกว่าวงเงินที่มีอยู่ในบัญชีนั่นเอง แต่ก็ต้องไม่เกินวงเงินที่กำหนดตามเงื่อนไขค่ะ และเนื่อง MOR เป็การกู้เงินแบบไม่จำกัดวัตถุประสงค์ การคิดดอกเบี้ยแบบนี้จึงสูงกว่าปกติสูงกว่าการกู้เงินที่มีการคิดดอกเบี้ยในระยะยาว ซึ่งธนาคารต้องมีการเตรียมเงินสำรองไว้ตลอดด้วยความไม่แน่นอนี่แหละที่ทำให้มีอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงแต่ก็น้อยกว่าแบบ MRR ค่ะ

ดังนั้นข้อมูลตรงนี้ก็เป็นตัวช่วยให้คุณหรือใครที่ต้องการการกู้เงินได้คิด วิเคาระห์ แยกแยะ และหาข้อมูลให้มากๆเพือจะไม่ติดกับดักการเป็นหนี้ไม่สิ้นสุดนะคะ และการรู้ข้อมูลเหล่าน้ช่วยคุณให้นำไปเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารต่างๆในหลายๆแห่งได้แล้ว นั่นเพราะ ดอกเบี้ยแบบ MLR MOR MRR ในแต่ละธนาคารก็ไม่เท่ากันซะด้วย และนอกจากทางตัวคุณเองจะเป็นผู้ที่ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยกับทางธนาคารแล้ว ทางธนารเองก็จะตรวจสอบสภาพทางการเงินของคุณด้วยเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าธนาคารก็มองความเสี่ยวของตัวลูกค้าด้วย ส่วนตัวลูกค้าที่เข้าไปขอสินเชื่อก็ต้องมองความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงและไม่เหมาะกับสภาพการเงินของเราเองด้วย อย่างไปดันทุรังเอาเงินกู้ที่สูงไว้ก่อนถึงแม้ว่าในขณะนั้นคุณจะมีทรัพพย์สินเพียงพอที่จะได้รับการอนุมัติจากธนาคารก็ตาม แต่ภาระดอกเบี้ยก็ไม่รอเวลาเช่นกัน เงินกู้ก้อนใหญ่มาอยู่ในมือแล้วสิ่งที่ตามคือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็ตามมาด้วยถ้ารายได้ไม่เพียงพอหรือไม่ได้ให้จ้อมูลเป็นจริงกับธนาคารการชำระดอกเบี้ยของคุณก็ถือเป็นภาระหนักกับตัวคุณเองได้นะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาคุณรรอรับปัญหาใหญ่ทางการเงินและธุรกิจของคุณไว้ได้เลยค่ะ อย่าลืมตรวจสอบสภาพการเงินตามความเป็นจริงนะคะแล้วทุกอย่างจะไปได้สวยมากขึ้นถงแม้คุณจะต้องเป็นหนี้ธนาคารก็ตามแต่ก็จะไม่ถือเป็นภาระมากเกินไปถ้ามันพอดีกับเรา