การมีรถยนต์ส่วนตัวเป็นของตนเองนับเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคน ซึ่งกว่าจะไปถึงฝันนั้นได้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้เงินสักก้อน หลายคนอยากได้รถเพื่อใช้ในการเดินทางไปทำงาน หรือการออกท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆตามความต้องการ แต่น่าเสียใจที่หลายคนอาจติดปัญหาไม่สามารถไปถึงความฝันของตัวเองได้เพราะรายได้ที่มีอยู่นั้นก็จำกัด เงินเดือนที่ได้แค่หมื่นปลายๆ ซึ่งเงินนั้นเอามาใช้ในแต่ละเดือนยังแทบไม่พอ หรือบางคนก็คิดกังวลว่าอาจส่งไม่ไหวสุดท้ายกลัวว่าจะสูญเปล่า  แล้วเราจะทำให้ฝันของเราเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร ตอนนี้อยากจะเสนอเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆที่จะช่วยทำให้ฝันของทุกคนเป็นจริงได้

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับที่ไม่ลับ 4 ข้อ สำหรับคนอยากทำให้ฝันเป็นจริง:

1.คิดให้ดีก่อนซื้อ 2.ตรวจสอบสถานะทางการเงินของตัวเอง 3.ภาระที่ตามมาหลังการซื้อขาย 4.รู้วิธีเลือกซื้อรถยนต์

คิดให้ดีก่อนซื้อ

คิดให้ดีก่อนซื้อ

ขออย่าลืมเรื่องสำคัญที่ว่า รถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เวลาผ่านไปมีจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถทุกคันเมื่อเวลาผ่านไปต้องมีค่าเสื่อมราคา ลองคิดดูนะครับว่าเราเพิ่งขับออกจากศูนย์วันแรกป้ายแดงด้วย ถ้าเราเอาไปขายอีกที่หนึ่ง ราคาที่ขายได้ต้องต่ำกว่าตอนที่เราเอามาแน่นอน อีกเรื่องหนึ่ง คือ ราคาของรถมีแต่จะลดลงทุกปี ตามรุ่น ตามยี่ห้อ ตามความนิยม อย่าคิดว่าซื้อรถรุ่นใหม่ตอนนี้แล้ววันข้างหน้าราคาจะดีขึ้น ที่สำคัญ รถยนต์ที่เราซื้อมาต้องสนองความต้องการของคนในครอบครัวทำให้เราสะดวกสบายไม่ใช่เอามาให้เกิดความลำบาก

หลายคนออกรถมาเพราะเห็นเพื่อนมีเลยออกตามกลัวเพื่อนจะว่าเอาว่าไม่ทันสมัย เมื่อเงินเดือนน้อยแล้วคิดจะซื้อรถ ก็ต้องไปกู้ไฟแนนซ์ เป็นหนี้ เป็นสินตลอดระยะเวลาในช่วงที่จ่ายค่างวด แล้วเงินเดินไม่ได้ขึ้นกันบ่อย ทุกครั้งที่จ่ายค่างวดจะยิ้มยังไงก็ไม่สุขที่สุด แม้ว่าค่างวดเดือนล่าสุดจะจ่ายไปแล้ว แต่เงินที่เหลือก็ไม่สามารถนำไปสร้างความสุขด้านอื่นๆ ได้อย่างเพียงพอ ไหนจะต้องแบ่งเก็บเพื่อเตรียมจ่ายค่าประกันรถในปีหน้า ค่าบำรุงรักษาที่กำลังจะมาถึงตามระยะ ค่าน้ำมันที่ขึ้นๆลงๆแบบไม่คงที่ ล้วนแต่สร้างความกังวลใจให้ตลอดระยะเวลาการเป็นหนี้รถยนต์ คือความจริงที่สุดที่เลือกเองได้ว่าจะยอมรับทุกข์จากภาระหนี้รถยนต์ที่ตามมาได้หรือไม่ ถ้ายอมทุกข์กับการเป็นหนี้ เพื่อไปสร้างความสุขจากประโยชน์ของรถยนต์ที่ซื้อมา หัก ลบกันและยอมรับได้ก็ไม่ผิดที่จะซื้อรถยนต์มาใช้สักคัน

ตรวจสอบสถานะทางการเงินของตัวเอง

ตรวจสอบสถานะทางการเงินของตัวเอง

เหมือนที่กล่าวไปข้างต้นเมื่อเงินเดือนน้อยแล้วคิดจะซื้อรถ ก็ต้องไปกู้ไฟแนนซ์ เป็นหนี้ เป็นสินตลอดระยะเวลาที่ต้ิองจ่ายค่างวด บางคนกว่าาจะจ่ายหมดต้องใช้เวลา 4-5 ปี ดังนั้นการตรวจสอบสถานะทางการเงินของเราเองจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆในการตัดสินใจซื้อรถ แต่เราจะรู้สถานะทางการเงินของเราได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องทำ คือ

  • ตอนนี้เรามีเงินฝากหรือเงินเก็บสะสมเท่าไหร่?  เรามีทรัพย์สินอะไรบ้างที่สามารถเอามาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในกรณีฉุกเฉิน? หลังจากนั้นขอเราทำรายการว่าเรามีหนี้สินอะไรอยู่บ้างไหม เช่น เราเป็นหนี้บัตรเครดิตไหม หนี้การศึกษาที่เราเคยกู้จ่ายหมดหรือยัง  เมื่อได้แล้วเอาทรัพย์ที่เรามีกับหนี้ที่เราเป็นมาคำนวณดูว่าผลเป็นอย่างไรมูลค่าทรัพย์สินที่มีกับหนี้ที่เป็นอะไรมันมากว่ากัน

  • ทุกๆวันเรามีค่าใช้จ่ายที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น ค่าอาหาร ค่าขนม ค่าเดินทางไปทำงานหรือแม้แต่ค่าเช่าบ้าน เราต้องตรวจสอบดูว่าเรามีเงินเดือนเท่าไหร่?  เมื่อหักค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในแต่ละวันเดือนหนึ่งเราเหลือประมาณเท่าไหร่? การทำแบบนี้จะช่วยเราตรวจสอบสภาพเงินสดของเราได้

  • ตอนนี้สถานะของเราเองเป็นอย่างไร?
 เราจะรู้สถานะของตัวเองได้โดยการสำรวจต่อไปนี้:

  • มีเงินที่แน่นอนและมีทรัพย์สิน.  พูดง่ายๆคือมีเงินเดือนและมีทรัพย์สินที่มากกว่ารายจ่าย เราจึงสามารถวางแผนเรื่องการเงินได้สบายๆคนกลุ่มนี้จะประสบความสำเร็จในการมีรถในฝันได้แบบสบายๆ

  • มีเงินใช้แต่ไม่มีเงินเก็บ คนกลุ่มนี้รายจ่ายจะมีมากกว่ารายรับ จึงต้องระมัดระวังอย่างมากเพราะอาจจะจ่ายเงินไปกับเรื่องต่างๆที่ไม่สำคัญได้ง่ายๆ  ถ้าหากเราเป็นคนกลุ่มนี้ การมีวินัยในตัวเองสำคัญมากจริงๆ เราต้องตั้งงบประมาณในแต่ละเดือนว่าจะใช้เงินไปกับอะไรบ้าง

  • รายได้น้อยและไม่มีเงินเก็บ คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง ต้องคิดให้ดี การที่จะเอาเงินที่มีอยู่ไปทำอะไรต้องวางแผนให้ดีในเรื่องหนี้สินที่จะเกิดขึ้น ถ้าใครอยู่ในสถานะแบบนี้ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ฝันเรื่องการมีรถเป็นจริง
 ตอนนี้ขอเรามาลองทำแบบทดทอบ เพื่อตรวจสอบว่าเราพร้อมหรือไม่ที่จะซื้อรถยนต์สักคัน ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่ป้ายแดงหรือรถมือสอง. ตอนนี้ ขอสมมติว่าเรามีเงินเดือน18,000บาทและต้องการอยากได้รถมือสองสักคัน ราคาประมาณ 250,000บาท ขอเรามาลองคำนวณด้วยกัน

เราต้องการซื้อรถราคา 250,000บาท มีเงินดาวน์ 50,000 บาท ระยะเวลาในการผ่อน 60 เดือน ดอกเบี้ยอยู่ที่ 5% ต่อปี เราคำนวณได้ดังนี้.   เงินที่ต้องจ่าย (250,000 - 50,000)  = 200,000 ดอกเบี้ยทุกปี (200,000 x 5) /100  = 10,000 ดอกเบี้ย 60 (5 ปี) (10,000 x 5)  =50,000 จำนวนเงินที่ต้องจ่าย (200,000 + 50,000) = 250,000บาท จำนวนเงินที่ต้องจ่ายทุกเดือนตลอดเวลา  5 ปี (250,000/60) = 4,166.66 บาท

สรุปยอดที่คุณต้องชำระทุกเดือนเป็นจำนวนเงิน 4,166.66 บาท หากรวมภาษีอีก 7% จะเป็นเงินทั้งสิ้น 4,459 บาท ตอนสิ้นเดือนเราจะมีเงินเดือนที่เหลือคือ 13,000กว่าบาท เราสามารถนำเงินส่วนที่เหลือไปคำนวนต่อได้สำหรับรายจ่ายอื่นๆ

ภาระที่ตามมาหลังการซื้อรถ

ภาระที่ตามมาหลังการซื้อรถ

อย่าลืมว่า รถยนต์ต้องมี พ.ร.บ. ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุกปี เป็นการทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ต้องจ่ายปีละประมาณ 600 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นค่าต่อทะเบียน ค่าภาษีรถยนต์ เป็นรายจ่ายที่คุณต้องจ่ายทุกปี โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500 – 6,000 บาทต่อปี และยังมีประกันภัยรถยนต์ โดยประกันมีให้เลือก คือ ประกันชั้น 1 – 3 ซึ่งรายละเอียดนั้น ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละบริษัท ยิ่งรถมีราคาแพง ค่าเบี้ยประกันก็จะแพงตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีรายจ่ายอื่นๆที่ตามมาด้วย คือ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ตกแต่งและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ตัวอย่างเช่น ค่าเปลี่ยนยาง (ทุก 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร) เข้าศูนย์ตรวจสภาพรถยนต์ ค่าที่จอดรถ (ในห้างสรรพสินค้า หรือออฟฟิศใจกลางเมือง) ค่าทางด่วน ค่าล้างรถ ค่าตกแต่งรถ ค่าปรับที่ทำผิดกฎจราจร ฯลฯ เมื่อเห็นรายจ่ายแบบนี้แล้วหลายคนอาจจะรู้สึกกังวลว่าจะรับมือกับเงินที่จะต้องหามาจ่ายในแต่ละเดือนไหวไหม ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังกังวลเรื่องปัญหาดังกล่าว ลองออมเงินของคุณดูก่อนว่าสามารถปรับรายการไหนในรายจ่ายของคุณได้บ้าง

รู้วิธีเลือกซื้อรถ

รู้วิธีเลือกซื้อรถ

ตอนนี้ รถมือสองในตลาดมีค่อนข้างมากสำหรับงบประมาณที่เราได้คำนวณแล้วในข้างต้น สำหรับใครๆที่มีงบประมาณ 250,000-300,000 บาท ตามตารางที่คำนวณ เราจะมาดูว่ารถอะไรที่เหมาะกับเรา

จะขอเริ่มที่รถยนต์ที่ใช้ได้ในทุกสภาพการณ์หรือเรียกสั้นๆว่า รถกระบะ มีตัวไหนบ้างที่น่าสนใจสำหรับคนที่มีเงินเดือนหลักหมื่น

Isuzu D-Max

โฉม Minorchange Space Cab เป็นคันหนึ่ง ที่รูปทรงสวย หน้าตาล้ำยุค เป็นรถกระบะที่มียอดจำหน่ายอันดับ 1 ในเมืองไทย ติดต่อกันมาหลายสิบปีในยุคนั้น  ซึ่งรถกระบะคันที่กำลังกล่าวถึง คือ Isuzu D-Max 3.0 SLX โฉม Ddi ซึ่งในรุ่น 3.0 SLX จัดเป็นตัว TOP ครบเครื่องของรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ สำหรับ Isuzu D-Max 3.0 SLX โฉมนี้ ผลิตจำหน่ายในช่วงปี 2004 (2547) จนถึงปี 2006 (2549) นับเป็นโฉม Minor Change ครั้งแรกของ D-Max ด้วยการเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปใช้แบบ Commonrail ปัจจุบันสามารถจับ D-Max 3.0 SLX เครื่อง Ddi มือสองได้ในราคาค่าตัวที่ไม่แพงมากนัก แต่ต้องเลือกสภาพเครื่องให้ดี

Toyota Hilux Vigo Smartcab

โฉมนี้ เป็นที่รู้จักในประเทศไทยอย่างล้นหลามในชื่อ โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ (Toyota Hilux Vigo) การออกแบบเบื้องต้นของวีโก้ถูกคัดลอกนำไปใช้ในการออกแบบรถ โตโยต้า อินโนวา (Toyota Innova) และ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ (Toyota Fortuner)
 นี่คือสองค่ายรถกระบะที่เราสามารถซื้อได้ในราคาสามแสน แต่สำหรับบางคนที่บอกไม่ชอบรถกระบะ จะเลือกรถยนต์ตัวไหนดี ขอเสนอสักสองตัวเลือก:

Honda CIVIC E sedan ปี 2006:

  • เปิดตัวในเมืองไทย ประมาณปลายปี 2005 และเริ่มทะยอยส่งมอบให้กับลูกค้าที่สั่งจอง ในต้นปี 2006 ยังไม่มีชื่อเรียก รุ่นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นหลายคนยังเรียกมันว่า CIVIC 2006
  • เครื่องยนต์ K20Z2 DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ความจุกระบอกสูบ 1998 CC กำลังลังเครื่องยนต์สูงสุด155 Hps(114 KW) ที่ 6000 RPM ระบบส่งกำลังเกียร์ เกียร์อัตโนมัติ เดินหน้า 5 Speed พร้อม ระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ Manual ที่พวงมาลัย (Paddle Shift)
  • Civic 2006 ถือว่าเป็นรถขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ขับสนุก โดยเฉพาะถ้าใช้ โหมด S เปลี่ยนเกียร์เองด้วย Paddle Shift ยิ่งเพลิน
  • เบรคเยี่ยมมาก สั่งได้ดังใจ ตอบสนองได้ตามสั่ง (ยังขาดแต่ไม่ได้ทดลองเวลาใช้เบรคหนักๆ เวลาลงเขา แล้ว ทำความเร็วสูง เล่นกับโค้งที่บางครั้งต้องใช้เบรคช่วย แทน Engine Brake จากเครื่องยนต์อย่างเดียว) ว่าจะทำงานได้ดีอยู่หรือไม่
  • อัตราเร่ง และความเร็ว อยู่ในขั้นดี แม้จะไม่เท่ากับพวกรถสปอร์ต แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานเดินทางไกลได้สบาย
  • การทรงตัวและการเกาะถนน อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ได้ ยิ่งถ้าสามารถปรับพวงมาลัย EPS ที่ติดรถมาให้ หนักกว่านี้ได้อีกนิด ล่ะก้อ จะถือว่า สมบูรณ์แบบทีเดียว

Mazda 2 ปี 2011:

  • สมรรถนะและความปลอดภัย เทคโนโลยีไลท์เวท (Lightweight Technology) คือ เทคโนโลยีการออกแบบรถสปอร์ต ที่ช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นลงได้ถึงกว่า 100 กิโลกรัม จึงลดภาวะแบกน้ำหนักของรถ ส่งผลให้อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักดีขึ้น ตอบสนองแม่นยำรวดเร็วและว่องไวทันใจแบบ Linear Response เช่นเดียวกับรถสปอร์ตหรูรุ่นใหญ่ ตอบสนองทันทีเมื่อสั่งเร่งความเร็ว การกระจายน้ำหนักทั้งหน้าและหลังมีอัตราส่วนที่เหมาะสม เพิ่มความสมดุลของรถให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญช่วยลดแรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้งหรือเมื่อกลับรถ และสั่งหยุดรถได้ทันทีและนุ่มนวล
  • รูปลักษณ์ภายในมาสด้า 2 สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเน้นให้เป็นรถที่ขับสนุกเร้าใจ เพลิดเพลินทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การออกแบบภายในจึงผสานความสปอร์ต เท่ห์ ให้มีสไตล์กับประโยชน์การใช้งานเข้าด้วยกัน เพื่อความเพลิดเพลินในการขับขี่ที่สนุกในทุกเส้นทางที่ท้าทาย ตำแหน่งของเบาะนั่งคนขับและพวงมาลัย รวมไปถึงตำแหน่งคันเกียร์และปุ่มควบคุมต่างๆ บนแผงคอนโซลหน้าถูกจัดวางอย่างเหมาะสม สามารถรองรับสรีระของผู้ขับขี่ที่มีความสูงได้ถึง 185 ซม.

มีรถได้ดังใจฝัน

มีรถได้ดังใจฝัน

จะเห็นได้ว่าเพียงเราทำตาม 4 ขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้น เราทุกคนสามารถที่จะทำให้ฝันในการมีรถสักคันเป็นความจริงได้ สังเกตไหมครับว่า ที่จริงแล้วอะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีเงินเดือนน้อยแล้วอยากมีรถเป็นของตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องมีวินัยกับตัวเองในเรื่องของการใช้เงิน ยิ่งเรามีเงินเดือนไม่มากเหมือนคนอื่นๆ เรายิ่งต้องพยายามอย่างหนัก อย่างที่สองคือ ไม่สำคัญว่าจะต้องเป็นรถป้ายแดง ถึงแม้เราซื้อได้แค่รถมือสอง นั่นก็เรียกว่าฝันของเราสำเร็จแล้ว ขอให้ทุกคนมีความสุขกับฝันที่เป็นจริงครับ