บริหารเงินในการเข้าสังคมอย่างไรดีครับ!?

แต่ละครอบครัวมีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน ดังนั้น บอกยากครับว่าสามีต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะสามารถดูแลทุกคนในครอบครัวได้ เอาเป็นว่าคุณลองคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดของที่บ้านคุณว่าในแต่ละเดือนต้องจ่ายเงินทั้งหมดเท่าไหร่ แล้วก็ควรมีเงินเก็บไว้ในแต่ละเดือนอย่างน้อยสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ถ้ามันครอบคลุมทั้งหมดนี้ก็พอไหวอยู่ครับ

ต้องถามก่อนนะคะว่าลูกติดโทรศัพท์ขนาดไหน ถ้าติดมากถึงขั้นงอแงเมื่อไม่ได้เล่นโทรศัพท์ บอกเลยนะคะว่าพ่อแม่ต้องใจแข็งในเรื่องนี้ ให้คำว่าใช่หมายความว่าใช่ ถ้าบอกลูกว่าจะให้ลูกเล่นได้ถึงกี่โมงถึงกี่โมงก็ต้องทำตามนั้น และถ้าพ่อแม่ปล่อยปละละเลย รับรองว่าจะเลยเถิดกันไปใหญ่ ขอให้คิดมาตรการเด็ดขาดเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์เลยค่ะ

ผทคิกว่าที่เจ้าของคำถาม เขาถามเรื่อวนี้น่าจะเป็นเพราะว่าเรียนหนังสือแล้วก็ต้องทำงานเกี่ยวกับสองตัวนี้หรือเปล่าครับ ที่ต้องอธิบายความแตกต่างของสองตัวนี้ จำได้ว่าตอนที่เรียนบัญชี ก็จะมีการให้เราไปหาข้อมูลแบบนี้แหละครับ ตอนนั้นกว่าจะหาความหมายได้ต้องค้นเยอะเลย แต่เดี่ยวนี้แค่หาในอินเตอร์เน็ตแบบนี้ก็สามารถหาคำตอบได้แล้ว

เอาแบบแฟนของผมไหมละครับ เธอเองก็อยู่บ้านครับทำงานเล็กๆน้อย แต่ก็ดูแลบ้านแล้วก็จัดการเรื่องเงินได้ดีเลยละ เวลาที่เงินเดือนผมออกก็จะเอาส่วนหนึ่งให้เธอไว้บริหารครับ มีค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟฟ้า แล้วก็ให้เธอจัดการจ่ายพวกหนี้สินครับ เหลือแล้วเธอก็จะเอามาฝากเข้าอีกบัญชี ไม่ได้เอาออกมาใช้นะถ้าไม่มีความจะเป็นจริงๆ

เรื่องแบ่งทรัพย์สินมรดกน่าจะไม่ยากเท่ากับฝากใครดูแลธุรกิจที่กำลังยุ่งๆของคุณลุงนะครับผมว่าเรื่องของธุรกิจนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องหาคนที่ไว้ใจได้และมีความสามารถเพื่อที่จะสานต่อธุรกิจของคุณลุงครับ ส่วนเรื่องการทำพินัยกรรม ก็อยากจะให้คุณหนูทำให้ชัดเจนไปเลยว่าอันนี้ให้ใครโอนให้ใครเพื่อที่ลูกหลานจะได้ไม่เดือดร้อนมาทะเลาะกันภายหลังครับ

ก็มีค่าใช้จ่ายต่างกันหลายเรื่องนะคะ เกือบจะทุกเรื่องในชีวิตเลยล่ะ ทั้งค่ากินค่าใช้ค่าที่อยู่ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทาง อยู่ตัวคนเดียวมันประหยัดกว่า คนโสดก็จะประหยัดกว่า คนมีครอบครัวก็เหมือนมีคนมาอยู่เพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะเยอะขึ้น แม้แต่ค่าอาหาร แทนที่จะมามื้อนึงจ่ายแค่ 40-50 บาท พอมีครอบครัวก็กลายเป็นมื้อละ 100-200 บาท อะไรประมาณนี้ค่ะ...