โดยปกติทั่วไปมนุษย์เงินเดือนจะเกษียณกัน เมื่ออายุครบ 60 ปี ถึงอย่างนั้น ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนบางที่ ได้วางกฏระเบียบให้พนักงานเกษียณทันทีที่ 50-55 ปี หรือคนสมัยใหม่บางคนก็วางเป้าหมายการเกษียณให้กับตัวเองไว้เร็วกว่านั้น จึงเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ คนไทยมีแนวโน้มที่จะเลื่อนเวลาการเกษียณอายุเร็วขึ้น เพราะอยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองคิดและวางแผนไว้ ตั้งแต่อายุยังน้อย และมีหลายคนเริ่มไม่สนุกกับการหาเช้ากินค่ำแล้ว อยากพักผ่อนกับครอบครัวมากขึ้น แต่ก่อนที่หลายคนอยากปลดระวางตัวเองให้เร็วที่สุด กลับเป็นตัวบริษัทหรือองค์กรเองที่ต้องมารับมือกับปัญหานี้แทน คือการตรวจสอบความพร้อมของบริษัทในการที่อาจจะมีลูกจ้างหรือพนักงานจำนวนมากที่จะต้องปลดเกษียณตามกาลเวลา.
เพราะการเตรียมความพร้อมเพื่อเกษียณอายุถือเป็นการวางแผนชีวิตและบริษัทอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง หากมีการวางแผนที่ดีก็ทำให้ผู้เกษียณอายุสามารถปรับตัวต่อบทบาทที่เปลี่ยนแปลงได้และมีความพึงพอใจในชีวิตหลังเกษียณ อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีศักดิ์ศรี และมีคุณค่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งลดภาระของครอบครัวและของรัฐที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการป้องกันปัญหาอันเกิดจากวัยสูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ภาพรวมขององค์กรหรือบริษัทของเรามีภาพที่ดีใสังคมด้วย ดังนั้น ควรวางแผนอะไรบ้าง มาดูกัน
การเตรียมเงินก้อนหลังเกษียณ
สิ้นเดือนกันยายนถือเป็นวันสุดท้ายในการทำงานของข้าราชการที่อายุครบ 60 ปี หรือที่เรียกว่าเกษียณอายุราชการ แต่สำหรับพนักงานบริษัทเอกชนมักจะกำหนดการเกษียณอายุเมื่อครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือสิ้นปีปฏิทิน แล้วแต่ข้อกำหนดของแต่ละบริษัท ซึ่งเมื่อบริษัทมีพนักงานจะเกษียณอายุ เราจะต้องเตรียมการอย่างไรบ้างเมื่อพนักงานเกษียณอายุ
-
ตัวบริษัทเองจะต้องระบุวันเกษียณอายุของพนักงานให้ชัดเจนว่า พนักงานจะเกษียณอายุเมื่อใด และมีผลในวันใด เช่น “พนักงานที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ในปีใด ให้เกษียณอายุในวันที่ 31 ธันวาคมของปีนั้น เป็นต้น
-
จะต้องมีการวางแผนหาพนักงานมาทดแทน อีกทั้งดูแลการถ่ายทอดความรู้ในงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานเกษียณล่วงหน้า เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่สะดุด
-
มีการดูแลเรื่องสิทธิประโยชน์ที่พนักงานจะได้รับตามพรบ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 118 ซึ่งจะได้ตามอายุการทำงานของพนักงาน เช่น ทำงานมาครบ 10 ปีขึ้นไป จะได้ค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน หรือ 10 เดือน เป็นต้น
-
มีการเช็คเรื่องการพ้นสภาพการเป็นพนักงานของบริษัท หรือการสิ้นสุดสัญญาจ้างพนักงานในกรณีนี้ ไม่ใช่การเลิกจ้าง บริษัทจึงไม่จำเป็นต้องมีค่าบอกกล่าวล่วงหน้า เนื่องจากการเกษียณอายุ มีข้อบังคับฯ กำหนดวันสิ้นสุดสัญญาจ้างที่ชัดเจน
-
มีค่าชดเชยพิเศษ หรือเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ขึ้นอยู่กับนายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน ไม่มีกฎหมายระบุ หรือบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินช่วยเหลือ โดยบางบริษัทอาจมีสวัสดิการอื่น ๆ สำหรับพนักงานเกษียณอายุ แล้วแต่นโยบายของแต่ละบริษัท เช่น มีโครงการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ , Stock Exchange หรือ Profit Sharing
-
มีการวางแผนการดำเนินชีวิตหลังเกษียณได้อย่างราบรื่นด้วย เช่น เงินบำเหน็จบำนาญจากกองทุนประกันสังคม (เงินออมชราภาพ) การออม การลงทุน/ประกันชีวิต เช่น กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)/กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)/การลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ/แผนประกันชีวิตหลังเกษียณอายุจากบริษัทประกันทั่วไป ก็จะดีมาก
แม้ว่านายจ้างในภาคเอกชนในประเทศไทยก็ไม่มีการกำหนดอายุเกษียณแน่นอนสำหรับลูกจ้าง ยกเว้นบางบริษัท ยิ่งผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ส่วนใหญ่ไม่มีการทำสัญญาจ้างและไม่มีกำหนดเวลาเกษียณเพื่อให้ลูกจ้างทำงานต่อไปเรื่อยๆ ถ้าใครทำไม่ไหวก็ลาออกไปเอง เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชยนั้น แต่ความจริงแล้วมีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับที่ 6 พ.ศ. 2560 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2560 โดยมาตรา 6 ให้เพิ่มประเด็นต่อไปนี้เป็นมาตรา 118/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 คือ
-
การเกษียณอายุตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันหรือตามที่นายจ้างกำหนดไว้ให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง
-
ในกรณีที่มิได้มีการตกลงหรือกำหนดการเกษียณอายุไว้ หรือมีการตกลงหรือกำหนดการเกษียณอายุไว้เกินกว่า 60 ปี ให้ลูกจ้างที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไปมีสิทธิแสดงเจตนาเกษียณอายุได้ โดยให้แสดงเจตนาต่อนายจ้างและให้มีผลเมื่อครบสามสิบวันนับแต่วันแสดงเจตนา และให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ เกษียณอายุนั้น
ยกเว้น การ “สมัครใจลาออก” เอง เพื่อเจรจาไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้ หากนายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้างเนื่องจากการเกษียณอายุ เท่ากับเป็นการไม่ปฏิบัติกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ตามมาตรา 118 และ 118/1 มีโทษทางอาญาและทางแพ่ง โดยโทษอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และโทษทางแพ่ง ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยผิดนัดชำระในการจ่ายค่าชดเชยในอัตรา 15% ต่อปี และถ้าจงใจผิดนัดโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตรา 15% ทุกๆ ระยะ 7 วัน เลยด้วย
ส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร
อย่างที่ทราบกันว่า ไม่นานมานี้มีข่าวเรื่องบริษัท CPF กำไรทรุดลงถึง 30% หลังต้องตั้งสำรองเลิกจ้างกว่า 1.8 พันล้านบาท หากเป็นเช่นนี้ในอีก อีก 10-15 ปี จะมีจำนวนคนที่เกษียณจากระบบการทำงานเยอะขึ้น ยิ่งจำนวนคนที่เกษียณมากเท่าไร ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมเงินเกษียณมากขึ้นเท่านั้นและหาก ไม่ได้เตรียมให้ดีก็จะโดนฟ้องร้องได้ถึงขั้นล้มละลายได้ด้วย. ด้วยเหตุผลจาก พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เป็นการยกระดับการคุ้มครองลูกจ้างให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทำให้นายจ้างจะต้องควักเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายให้กับลูกจ้างเพิ่มขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดย พ.ร.บ ได้มีการเพิ่มเพิ่มอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างให้กับลูกจ้างเป็น 6 อัตราจาก 5 อัตรา ดังนี้
- ลูกจ้างที่ทำงานมาครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชย 30 วัน
- ลูกจ้างหากทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้ค่าชดเชย 90 วัน
- ลูกจ้างทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี จะได้รับเงินชดเชย 180 วัน
- ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับเงินชดเชย 240 วัน
- ลูกจ้างทำงานครบ 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปีได้เงินชดเชย 300 วัน
- ลูกจ้างทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับเงินชดเชย 400 วัน
ซึ่งคลอบคลุมถึงการที่ ถ้าลูกจ้างเกษียณอายุ 60 ปี หรือ ขึ้นอยู่กับนายจ้างกำหนด นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยด้วย เพราะการเกษียณของลูกจ้างแบบนี้เป็นการเลิกจ้างด้วย เช่น นาย A มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน ทำงานกับนายจ้าง ตั้งแต่อายุ 30 ปี และเกษียณ 55 ปี แสดงว่า ทำงานไป 25 ปี ดังนั้นจะต้องได้รับค่าชดเชย 400 วัน หรือ ประมาณ 13 เดือน เงินเดือน 20,000 x 13 เดือน = 260,000 บาท บางคนอาจจะคิดว่าถูกต้อง แต่ไม่ใช่ !! เป็นเพราะ เงินเดือนจะเป็นเงินเดือนในอนาคต ถ้าอัตราขึ้นเงินเดือน 2% เงินเดือนตอนอายุ 55 จะเป็น 32,812 บาท ดังนั้น เงินชดเชยจะเป็น 32,812 x 13 = 426,556 หากมีคนเกษียณ 10 คน / ธุรกิจจะต้องจ่ายเงิน 4.2 ล้าน , หากมีคนเกษียณ 20 คน / ธุรกิจจะต้องจ่ายเงิน 8.4 ล้าน หรือ มีคนเกษียณ 50 คน / ธุรกิจอาจต้องจ่ายถึง 20 ล้าน!!! เลยทีเดียว
ดังนั้น นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่บริษัทจะต้องหาแผนการและทางออกเตรียมไว้บ้าง หากในอนาคตจะมีลูกจ้างเกษียณออกมาจำนวนมาก บริษัทอาจจะต้องมีการตั้งเงินสำรองเป็นเงินกองทุนของบริษัทเพื่อเอาไว้จ่ายลูกจ้างในอนาคต โดยปัจจุบันนี้ บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทมหาชน จะใช้มาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 19 (TAS 19) เรื่องผลประโยชน์พนักงาน ที่ใช้หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยในการคำนวณดังกล่าวเพื่อตั้งสำรองให้เหมาะสม ส่วน SME หรือเจ้าของธุรกิจรายย่อยอย่างเราก็คงจะต้องเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้อย่างไรด้วย เมื่อมีการส่งต่อธุรกิจให้ทายาท ก็ควรจะมีแผนจัดการความเสี่ยงก่อนด้วยเช่นกัน
วิธีรับมือ
เราจะต้องมีแนวทางเชิงนโยบายเพื่อการเตรียมความพร้อมของผู้เกษียณอายุไว้เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งธุรกิจที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์หรือ SME ต่างๆ หรือรัฐวิสาหกิจ และสำรวจประเด็นดังต่อไปนี้
-
ด้านเศรษฐกิจ เราควรมีการสนับสนุนให้พนักงานมี การออมเงินและมีการปล่อยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อให้พนักงานจะมีครอบครัวหรือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และไม่เป็นภาระต่อบุตรหลานในอนาคตในช่วงที่เกษียณอายุไปแล้ว และเป็นการช่วยให้พนักงานมีสภาพจิตใจที่ดีด้วย
-
ด้านสังคม อาจจะมีการส่งเสริมให้พนักงานที่อยู่ในช่วงใกล้เกษียณอายุ มีการเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ เช่น ประเพณีสงกรานต์ เพื่อให้พนักงานมีความรู้สึกภาคภูมิใจ ในการที่ได้อยู่ในสังคมมีการยอมรับนับถือในสังคม หรือมีการจัดโครงการอบรมถ่ายทอดความรู้จากบุคลากรที่ใกล้เกษียณให้แก่พนักงานที่มีอายุน้อยกว่า เพื่อให้เกิดความรู้สึกดี เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคมต่อไป
-
ด้านจิตใจ และสุขภาพ ก็มีบริษัทจำนวนมากที่มีการตรวจสุขภาพประจำทุกปี และนอกจากนี้ยังมีนโยบายซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต เพื่อดูแลในเรื่องของสุขภาพไว้ได้ด้วย
-
เนื่องจากคนที่ทำงานมาทั้งชีวิตเมื่อวันหนึ่งที่ไม่ได้ทำงานอีกต่อไปพวกเขาย่อมรู้สึกใจหาย ต้องปรับตัวจากการที่ต้องทำงานทุกวันกลายเป็นนั่งเฉย ๆ อยู่กับบ้าน สิ่งที่พนักงานวัยเกษียณต้องการอาจเป็นเพียงการได้ช่วยเหลือองค์กรด้วยทุกอย่างที่พวกเขามี ไม่ว่าจะเป็น องค์ความรู้ ทักษะและประสบการณ์ ในการทำงานที่ตนเองได้เคยเผชิญมา และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่หาไม่ได้ง่าย ๆ จากพนักงานรุ่นใหม่
-
เมื่อพนักงานเก่าถึงวัยเกษียณ ทางบริษัทก็ต้องหาพนักงานใหม่มาทดแทน อาจจะเป็นการเลื่อนตำแหน่งพนักงานที่มีอยู่เดิมเพื่อมารับช่วงต่อ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าพนักงานหนึ่งคน โดยเฉพาะพนักงานที่มีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิจะก้าวมารับตำแหน่งนี้ได้ พวกเขาจะต้องผ่านการทำงานมามากจนสั่งสมเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร แต่ถ้าพนักงานวัยเกษียณสามารถทำงานต่อไปได้ บริษัทจะยิ่งได้ประโยชน์ เพราะพวกเขาก็แค่ทำงานต่อได้เลย ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเหมือนพนักงานใหม่ สามารถขับเคลื่อนองค์กรต่อไป โดยไม่ต้องแสวงหาที่ไหนไกล นี่ก็แล้วแต่การตกลงและสมัครใจของทั้งสองฝ่าย เช่น กรมกิจการผู้สูงอายุผู้ทำหน้าที่ดูแลคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดแรงงานของไทย ก็มีแรงงานที่มีอายุเกิน 60 ที่กำลังทำงานอยู่ โดยคิดคร่าว ๆ เป็นจำนวนเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์จากแรงงานไทยวัยเกษียณจำนวนทั้งหมด 10 ล้านคน
-
ส่งเสริมภาคธุรกิจได้ เช่น เริ่มเปิดโอกาสให้พนักงานเดิมสามารถทำงานได้นานขึ้นแม้จะอายุเลย 60 ปีไปแล้ว หรือเปิดรับพนักงานใหม่ในวัยเกษียณในอัตราที่มากขึ้น เช่น บริษัท กรุงเทพขนส่ง จำกัด มี 13 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานมีอายุมากกว่า 60 ปี หรือแม้แต่เขตนอกกรุงเทพมหานครก็เริ่มมีเทรนด์นี้เกิดขึ้นแล้ว โดยสาเหตุที่บริษัทชอบพนักงานอาวุโสมากกว่าเพราะพวกเขามีประสบการณ์ มีความสุขุม ใส่ใจในการทำงานมากกว่าเด็กรุ่นใหม่ พวกเขามีกรอบความคิดของคนรุ่นเก่าที่ให้ความสำคัญกับการทำงานในขณะที่คนรุ่นใหม่จะค่อนข้างให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าด้วย
-
ภาครัฐเองก็ตื่นตัวกับเรื่องนี้ โดยรัฐบาลกำลังพิจารณาขยายเกณฑ์อายุการเกษียณของข้าราชการในบางตำแหน่งด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการตอบสนองต่อปัจจัยทางประชากรและเป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ในการทำงานเพื่อการพัฒนาของประเทศ
-
กลุ่มธุรกิจ Startup ก็เช่นกัน ต่างหันมาสนใจในการจ้างพนักงานวัยเกษียณ เพราะพวกเขามีความยืดหยุ่นในเรื่องเวลามากกว่าพนักงานปกติ สามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณในแต่ละก้าวของธุรกิจ การแต่งตั้งตำแหน่งพิเศษ เช่น ที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะด้าน จะทำให้บริษัทของเราได้เปรียบคู่แข่งที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยให้คำปรึกษา และอาจเติบโตได้อย่างมั่นคงมากกว่ากลุ่มธุรกิจที่มีแต่คนรุ่นใหม่ด้วยกันเองได้
สรุป
เราจะเห็นว่า“เงินเกษียณของลูกจ้าง” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ผลประโยชน์ของพนักงานหลังออกจากงาน” นั่นถือเป็นต้นทุนที่แฝงไว้อยู่ในแต่ละบริษัท เราจึงต้องประเมินมูลค่าต้นทุนนี้ให้ดี เพราะถ้าประเมินสถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าได้ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเกิดปัญหาที่เห็นได้ เช่น ฟิตเนส California Wow หรือ เว็บดีลชื่อดังอย่าง Ensogo ที่ต่างมองข้ามต้นทุนแฝงบางอย่างไป ทำให้กว่าจะรู้ตัวบริษัทก็เจ๊งและปิดตัวไปเสียแล้ว ดังนั้น เมื่อมองถึงผลประโยชน์ของพนักงานแบบนี้ ผู้บริหารจึงควรต้องมาคิดด้วยว่าบริษัทของตัวเองกำลังทำกำไรอยู่จริงๆไหม โดยไม่ลืมว่ามีค่าใช้จ่ายยามเกษียณให้พนักงานของต้น ในวันข้างหน้าด้วย ซึงหากบริษัทไม่ยอมทยอยตั้งสำรองเอาไว้ในแต่ละปีให้ถูกต้อง ก็จะทำให้บริษัทขาดทุน หรือล้มละลายในอนาคตได้ จึงควรมีการประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสำหรับมนุษย์เงินเดือนยามเกษียณ แล้วตั้งเป็นเงินสำรองมาใส่ลงไปในงบการเงิน เพื่อสะท้อนต้นทุนของการจ้างพนักงานให้ถูกต้อง ซึ่งงานที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบต่อบริษัทในระยะยาวแบบนี้ จะใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ประกันภัย เช่น การคำนวณเชิงสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นจำนวนมาก มาประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดกับบริษัทในอนาคต มาช่วยได้ นี่จึงเป็นข้อมูลคร่าวๆ สำหรับสิทธิผู้เกษียณอายุ ที่บริษัทอย่างเราไม่ควรชะล่าใจ จึงต้องรู้จักวางแผนการเงินเตรียมพร้อมก่อนการเกษียณของลูกจ้าง เพื่อทำให้มีความสุขทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
สุริยะ
ถ้ามีลูกจ้างอายุ 50 ปีขึ้นไปเยอะๆเนี่ย อาจจะทำให้ธุรกิจเจ๊งเลยนะ5555 เพราะว่าถ้าลูกจ้างเกษียณอายุ 60 ปีนายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชย อ๋อเข้าใจแล้วว่าทำไมบริษัทส่วนใหญ่ถึงชอบรับแต่คนที่อายุไม่มากเข้าทำงาน เหตุผลนี้ก็อาจจะเป็นส่วนนึงก็ได้ ทางที่ดีถ้าเป็นเจ้าของบริษัทควรตั้งเงินสำรองเป็นเงินกองทุนของบริษัทเพื่อเอาไว้จ่ายลูกจ้างในอนาคตครับ
Korapoo
เป็นอีกปัญหาหนึ่งนะคะที่ทางบริษัทจะต้องเจอ สำหรับการเกษียณอายุของพนักงานที่ทำงานด้วย ยิ่งถ้ามีพนักงานที่ใกล้จะถึงเวลาเกษียณอายุ ก็ส่งผลกระทบต่อค่าดูแลที่บริษัทจำเป็นต้องจ่ายให้กับพนักงาน แต่ตามคำแนะนำที่ให้ไว้ในบทความนี้ช่วยได้มากเลยค่ะ ทำให้เห็นช่องทางที่จะสามารถช่วยให้ทางบริษัท มีทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ขอบคุณมากเลยค่ะ
สังคม
ดีนะครับที่ทางบริษัทได้มีวิธีการรับมือกับคนที่วางแผนสำหรับวัยเกษียณตั้งแต่อายุ 50 ถึง 55 ปี เพราะในวัยเกษียณคนมีอายุ 60 ปีก่อนหน้านั้นเขาก็วางแผนที่จะเกษียณก่อนเวลา เพื่อที่จะสามารถใช้เงินในวัยเกษียณของเขาในสิ่งที่เขาต้องการในตอนที่มีสุขภาพดีอยู่ได้ ผลที่ตามมาก็คือทางบริษัทก็ต้องทำให้ผู้ที่ทำงานมั่นใจ ในการจ้างงานเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในวัยเกษียณด้วยครับ
Rattanatad
การเกษียณอายุอาจไม่ได้เกิดปัญหาของผู้สูงอายุอย่างเดียวแต่ส่งผลกระทบกับบริษัทหรือองค์กรด้วยเหรอครับ แต่ะคนก็ต้องหาวิธีจัดการและรับมือกันต่อไป ผมเองก็ยังคิดอยู่ว่าถ้าเข้าสู่วัยเกษียณแล้วผมจะทำอะไรดี ตอนนี้ก็พยายามวางแผนออมเงิน แต่ไม่รู้จะออมได้สักเท่าไหร่ ว่าจะเตรียมฝึกงานที่สามารถทำได้หลังเกษียณไว้ด้วยครับ
วงค์ภา
มิน่าละ เรามักจะเห็นจะเห็นหลายบริษัท มักเลิกจ้างคน ก่อนที่จะอายุ55 ปี มีเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้นี่เอง แต่จะว่าไปแล้วคนที่ทำงาน ออฟฟิต ก็คงไม่มีใครทำงานจนถึงอายุ55 หลอกจริงไหม พวกนี้มักลาออกมาทำงานส่วนตัวกัน ซะมากกว่า ที่จะเห็นๆคนอายุเท่านี้ทำงานก็จะเป็นแค่หน่วยงานราชการมากกว่า ที่ยังทำกันอยู่ แถมบางคนยังทำเลยอายุ60ก็มี
Yellow
ผมคิดว่าบริษัทที่มีเงินเกษียณให้พนักงานส่วนใหญ่แล้วเป็นบริษัทใหญ่ๆนะ แล้วเขาก็มีแหล่งเงินทุนเยอะแลหะคงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินชดเชยแก่พนักงาน อันนี้ผมคิดเอาเองนะไม่ได้อิงอะไรทั้งนั้น คิดในมุมมองของพนักงานตัวน้อยๆคนนึง ก็ไม่รู้ว่าในมุมมองของผู้บริหารจะคิดแบบไหนกันบ้าง ผมก็ไม่เคยเป็นเจ้าคนนายคนกับเขาก็คิดง่ายๆแบบนี้แหละครับ
แจคพอต
ในมุมมองของลูกจ้างคนนึงที่อายุมากอย่างผม ก็คงต้องเตรียมตัวเก็บเงินกันก่อนเกษียณ เพราะว่าไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าบริษัทให้ออกแล้วเขาให้เงินชดเชยก็ดีไป แต่ถ้าให้ออกโดยที่ไม่ได้รับเงินอันนี้คงต้องรีบไปเช็คสิทธิ์ประกันสังคม ถ้าจะให้ไปสมัครงานที่ใหม่คงไปไม่ได้แล้วเพราะอายุมากแล้ว...ไม่มีใครรับ มีใครในห้องนี้ใกล้จะเกษียณแล้วบ้างไหมครับ คุณเลือกทำงานอะไรกันครับ?
แดน
เราก็เข้าใจนะ ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัทแล้วต้องจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานทุกคน ก็อยากจ่ายให้กับคนที่สามารถทำงานกับบริษัทให้เต็มที่มีแรงมีกำลังเหลือ แต่ว่าคนที่ใกล้เกษียณอายุเนี่ยงานบางอย่างอาจจะทำไม่ได้แล้ว อาจจะมีความรู้มีประสบการณ์เป็นคนสอนให้ได้ แต่ว่าแรงกำลังอาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อน ถ้าต้องจ่ายเงินเท่าเดิมแต่ได้งานน้อยลงเจ้านายหลายคนก็คงไม่ยอมอ่ะ
ปาริชาต
เงินที่ต้องจ่ายให้คนที่ขอ เกษียณ ค่อนข้างใช้เยอะจริงๆเลยนะ ยิ่งถ้าในที่ทำงานมีคนขอเกษียณ พร้อมกันเป็นสิบๆคน แบบนี้ก็เพิ่มต้นทุนของธุรกิจมากขึ้นจริงๆด้วย มิน่าละคะ เราเห็นบางคน ถูกเลิกจ้างก่อนที่จะขอเกษียณ มันแบบนี้นี้เองเพื่อเลี่ยงการจ่ายเงิน ทางบริษัทเลยมีการเลิกจ้างพนักงาน บางคนออกไปก่อนเพื่อเป็นการลดต้นทุนนี่เอง
สมหวัง
ต้องเข้าใจนะครับว่าเงินเป็นเกษียณเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะได้รับจากบริษัทเมื่อเราทำงานประจำด้วย เห็นออกมาสวยงามและให้ความฝันกับเราไว้เลยตอนวัยเกษียณ แต่ความหวังดังกล่าวก็อาจจะพังทลายลงเมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับทางบริษัทท่านเอง ไม่มีอะไรมารับประกันกับตัวเราได้นะครับว่าบริษัทจะอยู่กับเราไปจนเราถึงวัยเกษียณ
Wanna_be
@Yellow ก็ไม่เสมอไปนะคะ อย่างที่บทความนี้ยกเรื่องขึ้นมาให้อ่านไงคะ แม้จะเป็นบริษัทใหญ่ก็เจ๊งได้นะ ถ้าเกิดลูกจ้างเกษียณพร้อมๆกันหลายๆคน แต่มันก็เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยค่ะ ก็เป็นกรณีศึกษาเหมือนกันสำหรับบริษัทต่างๆไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ก็ร้องเตรียมเงินสำหรับหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการดูแลพนักงาน เช่นพวกสวัสดิการต่างๆ
Rinranee
ถ้าต้องออกจากงานแล้วได้เงินเกษียณก็ยังดีนะคะ เหมือนเป็นทุนให้กับคนที่ทำงานหนักมาหลายปีด้วย เมื่อได้เงินไปแล้วก็ต้องบริหารจัดการดีๆ เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีด้วย จะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ระมัดระวังกันน่าดู จากที่มีเงินอยู่ในมือ เผลอแป๊บเดียวเงินของเราอาจจะหายไปได้ จะหาใหม่ก็ยากนะคะ เราเองก็ระวังเหมือนกัน
ิBusy-1122
เข้าใจนะครับว่าธุรกิจก็คือธุรกิจ จริงๆการที่บริษัทคิดแบบนั้นน่ะมันก็ไม่ผิดหรอกที่ไม่อยากจะต้องจ่ายเงินเยอะๆให้เงินเกษียณกับลูกจ้าง แต่ถ้าเรามองกลับกันนะครับ ลูกจ้างที่เค้าทำงานกับคุณมานาน เค้าทำผลประโยชน์อะไรบ้างคุณจนถึงมีทุกวันนี้ได้ ก็ต้องคิดถึงจุดนี้ด้วยนะครับไม่ใช่คิดแต่ว่าไม่อยากจะจ่ายเงินให้เขา