เคยคิดไหมคะว่าวันหนึ่งถ้าเรามีรายได้เป็นหลักแสนเราจะรู้สึกอย่างไร บางคนอาจรู้สึกดีใจ บางคนอาจรู้สึกภูมิใจ หรือบางคนอาจไม่รู้สึกอะไรก็ได้ เพราะกว่าจะถึงวันที่มีรายได้เป็นหลักแสนได้ก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะ เรียกได้ว่าค่อย ๆ ไต่เต้ามา ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ จะเปลี่ยนจากมีรายได้แค่ไม่กี่หมื่นมาเป็นหลักแสนได้ภายในพริบตา แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนมักจะเข้าใจผิดว่า ยิ่งมีรายได้เยอะคือยิ่งรวย แต่จริง ๆ แล้วคนที่เหลือเก็บเยอะ (เมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้) ในแต่ละเดือนต่างหากที่สามารถเรียกได้เต็มปากว่ารวยจริง เพราะว่ามีเงินเหลือใช้นั่นเอง ดังนั้น ก่อนที่จะมีเงินเดือนหลักแสน สิ่งหนึ่งที่เราควรสร้างไปด้วยคือ การมีวินัยในการจัดการการเงิน เพื่อที่ในวันที่เรามีเงินเดือนหลักแสนขึ้นมาจริง ๆ เราจะได้ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ หรือบางทีการจัดการเงินที่ดี อาจจะทำให้เราเจอหนทางใหม่ นั่นคือ ไม่จำเป็นต้องมีเงินหลักแสน แต่ขอแค่มีเงินเดือนในระดับที่อยู่ได้ เพียงเท่านี้ก็ใช้ชีวิตได้อย่างสบายเช่นเดียวกัน
รายได้หลักแสนไม่ได้มากอย่างที่คิดถ้าใช้ไม่เป็น
ไม่ว่าคุณจะมีรายได้มากหรือน้อยไม่สำคัญหรอกนะแต่มันสำคัญที่ว่าคุณใช้จ่ายเป็นหรือไม่ต่างหากเพราะมันไม่สำคัญเลยว่า คุณจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ ซึ่งหากคุณใช้จ่ายไม่เป็น หาได้เท่าไหร่ก็ต้องกลับไปหมดตูดเหมือนเดิม แถมไม่เหลือสะสมเป็นความมั่งคั่งให้ตัวเองอยู่ดี และแม้จะหาเงินได้น้อย
แต่หากรู้จักใช้จ่ายให้เป็นก็อาจจะทำให้รวยและมั่งคั่งขึ้นมาได้ สำหรับใครก็ตามที่หาเงินได้เยอะ แต่ยังไม่รวยกับเขาสักที เพราะใครๆ ก็อยากรวยกันทั้งนั้น แต่ก็มีหลายสาเหตุที่ทำให้ไม่รวย แถมยังมีหลายเหตุผลที่เป็นข้ออ้างไม่ยอมลงมือทำ เพื่อสร้างความรวยให้กับตัวเอง แม้ว่าจะมีโอกาส และความสามารถมากพอ บางคนอยากรวยจนป่วย แทนที่จะรวยกลับจนลงๆ เพราะไม่เข้าคิดว่าทุกคนจะรวยได้เหมือนกันหมด และความรวยก็ไม่ค่อยจะได้อยู่กับใครนานนัก
หลายคนเชื่อว่าจะรวยได้ต้องมีทุน ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น ทำให้เป็นข้ออ้างของใครหลายคนที่อยากจะรวยแต่ไม่มีทุนที่จะทำนั่น ทำนี่ ไม่มีเงินลงทุนทุกวันนี้ หลายอย่างเปลี่ยนไป บางคนมีทุนแค่หลักพันแต่ไม่น่าเชื่อว่าจะหาเงินหลักล้านได้เมื่อใดที่คิดว่า หากคุณมีเงินแค่นั้นแต่จะหาหลักแสนหรือหลักล้านให้ได้ มันจะมีความคิดหาช่องทางรวย ซึ่งมันจะเกิดขึ้นเอง มีหลายคนที่แชร์ประสบการณ์ มีทุนน้อยแต่รวยหาเงินล้านได้ ซึ่งเห็นข้อความแชร์ประสบการณ์แบบนี้แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นไปไม่ได้แน่นอน นั่นคือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รวย เพราะไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ค่ะ
รายได้มาก็จ่ายมาก
รายได้มากรายจ่ายก็มากเป็นยังไง ก็คือสภาพสังคมปัจจุบัน ชีวิตของคนทำงานมีสิ่งที่ทำให้ต้องเสียเงิน เสียค่าใช้จ่ายค่ามากขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นรายจ่ายที่สำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนแปลง หรือลดรายจ่ายไม่ได้ เช่น ค่าผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำในแต่ละเดือน ค่าผ่อนสินค้า ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเสริมสวย-ซื้อเครื่องสำอาง ค่าใช้บริการฟิตเนส ค่าน้ำมันรถ รายจ่ายเหล่านี้ เป็นการจ่ายเพื่อสิ่งที่ อาจไม่จำเป็นต้องมี ต้องทำ หรือต้องเป็น แต่ก็ยังดีกว่ารายจ่ายในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เช่น ค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าหวย หรือค่าใช้จ่ายสำหรับอบายมุขต่างๆ เงินเดือนเท่าไหร่จึงจะพอกับความต้องการจึงเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคนทำงาน
หลายคนมีรายได้มากกว่าตอนเริ่มต้นทำงาน แต่ก็ยังไม่พอใช้จ่าย ไม่พอใช้หนี้ ลองมองย้อนกลับไปในอดีต หากเราไม่ก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต เพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการอย่างง่ายๆ ป่านนี้คงมีเงินเก็บมากมาย หากคุณมีรายได้หลักพัน หรือหลักหมื่นต้นๆ หรือหลักแสนก็ตาม แต่ซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงใส่ไปทำงาน ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องละหลายหมื่นที่ยังต้องผ่อน ดื่มกาแฟแก้วละเกือบร้อย แม้จะเป็นความสุขของคนทำงานที่ถือเป็นการให้รางวัลตัวเองจากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย แต่ความทุกข์ที่ต้องจ่ายหรือเป็นหนี้จะตามมาในภายหลังต่อให้เงินเดือนรายได้มากแค่ไหนก็ไม่เหลือหรอกแบบนั้น
ลงทุนไปผิดทางเสียเวลา
ปัจจุบันเรื่องการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องสงวนไว้สำหรับคนรวยอีกต่อไปแล้ว ทุกคนสามารถลงทุนได้ตามสัดส่วนรายได้ของตนเอง ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนก็เข้าถึงง่ายดายจากแผงหนังสือและอินเตอร์เน็ต แต่ใช่ว่าทุกคนที่ลงทุนหรือทุกครั้งที่ลงทุน จะได้รับผลตอบแทนที่งดงามเสมอไป เพราะละเอียดปลีกย่อยของการลงทุนมีมากมาย ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง และตามสถิติพบว่าคนส่วนใหญ่ล้มเหลวจากการลงทุน
เราลองมาดูภาพกว้างๆว่า เหตุที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน หรือลงทุนแล้วไม่บรรลุเป้าหมายทางการเงินเป็นเพราะอะไรกันบ้าง อย่างเช่น ลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดหรือไม่มีความรู้ นักลงทุนที่ชอบเล่นตามข่าว ลงทุนตามเพื่อน ตามญาติ หรือมีคนแนะนำ มักประสบปัญหานี้ เพราะคนแต่ละคนมีนิสัยและรูปแบบการดำเนินชีวิตต่างกัน ความชอบและความรู้ในเรื่องต่างๆก็มีไม่เท่ากัน คนที่มาชักชวนก็มาเหมาว่า ถ้าดีสำหรับเขาก็ต้องดีกับคนที่เขาอยากชวนด้วย คนที่รับคำชวนก็คิดว่าเมื่อเขาทำได้ดี เราก็คงทำได้ไม่เลวหรอกมั้ง พอถึงเวลาลงเงินไปแล้วจริงๆ การลงทุนนั้นๆอาจเหมาะกับคนหนึ่งและไม่เหมาะกับคนหนึ่ง ก็ได้และเป็นเรื่องธรรมดา
ดังนั้น ให้ลงทุนในสิ่งที่เรารู้จะดีกว่า ลงทุนเพราะตามเพื่อน ตามญาติ หรือลงทุนไปเพราะเกรงใจคนชวน เงินเป็นของเรา ถ้าขาดทุน ก็ไม่มีใครมารับผิดชอบแทนเรา นอกจากตัวเอง ถือคติถ้าจะผิด ถ้าจะมาพลาด ขอให้เกิดด้วยน้ำมือตัวเองจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็จะได้บทเรียนที่คุ้มค่ากว่า
รายได้มากซื้อของแบบไม่คิดก่อน
คงเพราะความชล่าใจที่คิดว่าตัวเองมีรายได้มากแล้วจะเห็นว่าคนที่ไม่คิดจะออมเงินมักจะมีข้ออ้างต่างๆนานๆ ไม่ว่าตัวเองจะหาเงินได้มากน้อยแค่ไหน ก็จะหาเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินไปจนหมด ขณะที่คนบางคนมีความต้องการและอยากได้เหมือนกัน แต่เขาสามารถยับยั้งชั่งใจได้ เอาชนะความอยากของตัวเองได้ และใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เก็บกันออมเงินอย่างสม่ำเสมอ คนแบบนี้แม้ไม่ได้มีความสุขจากบ้านหลังใหญ่ หรือรถคันใหม่ แต่เขาจะมีความสุขใจอย่างยั่งยืน คนที่ยังไม่มีเงินออม ต้องยอมใจแข็ง เลิกอ้างนั่นนี่ เริ่มออมเงินตั้งแต่วันนี้ คราวละพัน ครั้งละร้อยก็ยังดี
เห็นค่างานประจำที่ทำให้มีวันนี้
ไม่มีงานไหนไม่มีคุณค่าถ้าเราเลิกคิดถึงแต่ตัวเองเชื่อว่างานส่วนใหญ่มีคุณค่าและเป้าหมายในตัวมันเองทั้งนั้น ที่เรามองว่ามันไม่มีคุณค่าก็เพราะเป้าหมายพวกนั้นมันไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิดและต้องการ ลองนึกกันดูหน่อยว่างานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เพื่อใคร? ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราเริ่มรู้สึกว่ากำลังทำงานที่ไม่มีคุณค่า จงคิดถึงคนอื่น อย่าคิดถึงตัวเอง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นมากเลยค่ะ เพราะอะไรก็ไม่แน่นอนถึงแม้ตอนนี้คุณจะมีรายได้มากแล้วแต่การไม่เห็นคุณค่างานที่ทำอาจจะทำให้คุณตกต่ำได้นะคะ
หลีกเลี่ยงการกู้เงิน
การเป็นหนี้นั้น เกิดจากการที่เราทำตัวเราเองทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครบังคับให้เราไปซื้อข้าวของต่างๆนาๆ เพียงแต่นักการตลาดมักจะหาประโยชน์จากจุดอ่อนของมนุษย์ในเรื่องกิเลส ความอยากต่างๆ ด้วยการสร้างสิ้งเร้า สิ่งยั่วยวนต่างๆ จนคนอดใจไม่ไหว สุดท้ายต้องหาทางในการเป็นเจ้าของและครอบครองจนได้ แม้จะได้มาในสภาพที่ตัวเองไม่พร้อมก็ตาม หรือแลกด้วยการเป็นหนี้ก็ตาม คนเรามักจะมองอะไรสั้นๆ ไม่คำนึงผลได้ผลเสียในระยะยาว การอยากได้อยากมีทั้งๆที่ตัวเองไม่พร้อม ในท้ายที่สุด ภาระทางการเงินต่างๆจะกลับมาทำร้ายตัวเราเองทั้งร่ายกายและจิตใจ ดังนั้นต้องรู้จักประมาณตนเอง ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง มีวินัย ไม่ทำอะไรตามใจ อะไรที่รอได้ก็รอไปก่อน คนเราวาสนาไม่เหมือนกัน อย่าเอาชีวิตเราไปเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น ชีวิตที่ไม่เป็นหนี้ เป็นชีวิตที่ประเสริฐ และเปิดโอกาสดีๆในอนาคตให้กับเรามากมาย เพราะการเป็นหนี้นั้นไม่ว่าคุณจะมีเงินหรือรายได้มากแค่ไหนก็หมดได้อย่างรวดเร็วค่ะ ไม่เป็นหนี้ดีที่สุด
สรุป
ทุกวันนี้ เราเห็นผู้คนวิ่งวุ่นอยู่กับการทำงานหาเงินไว้จับจ่ายใช้สอย หรือซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อสร้างความสุข ความสะดวกสบาย และยกระดับฐานะตนเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากคนๆ นั้นรู้จักกินอยู่อย่างพอดี ไม่พยายามก่อหนี้ และมีเงินเก็บออมพอประมาณ แต่สำหรับคนที่ชอบกินอยู่เกินฐานะ ใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ ดิ้นรนกู้หนี้ยืมสิน ผ่อนทุกอย่างในชีวิตเท่าที่จะผ่อนได้ คนเหล่านี้แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์รอบกาย แต่ก็มีหนี้สินรอบตัว อย่างนี้เราถือว่ายังไม่มั่งคั่ง แม้ดูแล้วจะเป็นเรื่องยาก ที่มนุษย์เงินเดือนทั่วไปจะมีอิสรภาพทางการเงินอย่างที่ฝันไว้ เพราะหลายๆ คนยังพึ่งพิงรายได้จากการทำงานหรือเงินเดือนเป็นหลัก การเรียนรู้และให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินในทุกๆ ด้าน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามค่ะ
อมร
เราว่าเรื่องนี้ให้แง่คิดที่ดีเลยนะ รายได้ของคนเราจะมาแค่ไหนถ้าไม่บริหารจัดการให้ดีก็หมดได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีมรดกร้อยล้านถ้าใช้ฟุ่มเฟือยก็หมดได้ แล้วจะว่ายังไงกับรายได้แค่หลักแสน เราเองเป็นคนนึงที่มีรายได้เกือบเหยียบหลักแสนนะ แต่เมื่อจัดการบริหารค่าใช้จ่ายแล้วมันก็เหลือไม่มาก พอดีเปิดร้านอาหารค่ะ ค่าใช้จ่ายเยอะมากถึงแม้จะมีรายได้ดีก็ตามการบริหารเงินจึงสำคัญ
Nopjira
เดี๋ยวนี้ถึงแม้ว่าจะได้รับเงินมากในการทำงาน ก็ต้องคิดถึงเกี่ยวกับรายจ่ายที่จ่ายไปด้วยนะครับ ถ้าใช้จ่ายเงินมากตามจำนวนเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน แน่นอนว่าตอนสิ้นเดือนก็จะมีเงินเหลือเก็บน้อย บทความนี้ดีนะครับช่วยผมด้วยเข้าใจว่าถึงแม้จะมีเงินรายรับมาก ถ้าเราไม่ได้คิดถึงผลกระทบจากการใช้จ่ายก็จะทำให้เราติดลบหรือว่ามีหนี้สินได้
น้ำฝน
ตื่นเต้นเหมือนกันนะคะถ้ามีรายรับหรือเงินเดือนถึง 100000 บาทต่อเดือน หรือเพียงแค่ได้เงิน 1 แสนบาทมาก็รู้สึกแล้วค่ะว่าจำเป็นต้องทำอะไร สักอย่างเพื่อที่จะสามารถให้เงินนั้นงอกเงยหรือคงอยู่กับเราไปนานๆ บทความนี้ได้แนะนำเกี่ยวกับวิธีการเอาเงินนั้นไปใช้ว่าต้องทำอะไร และมีอะไรบ้างที่เราควรหลีกเลี่ยง เพื่อที่จะไม่ทำให้เงินนั้นสูญเปล่า
วัจสา
จะได้เงินเดือนหลักหมื่นหรือหลักแสนก็ต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย จัดวิธีบริหารเงินอยู่ดี ไม่งั้นก็ใช้หมดเหมือนกันค่ะ บทความนี้แนะนำดีนะคะ ที่จริงคนที่มีเงินเดือนเพียงแค่หลักหมื่นก็เอาวิธีเหล่านี้ไปใช้ได้ ถ้าเรามีเงินเดือนหลักแสนจริงๆก็ดีน่ะสิ อยากได้อะไรจะซื้อให้หมดเล้ย..พูดเล่นค่ะ ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเพราะยังไงก็ไม่ได้เงินเดือนเป็นแสนอะ
จอมทอง
อย่าว่าให้ได้เงินเดือนหลักแสนเลยคะ ตอนนี้ ถ้าได้แค่หมื่นเดียวก็โอเคแล้วคะ แต่อย่างที่ว่าละคะ ถ้าบริหารไม่เป็นมันก็จบเลยคะ ยิ่งตอนนี้ยิ่งต้องคิดให้ดีๆเลยคะ เพราะตอนนี้หลายบ้านเงินที่เคยได้มาตอนนี้ก็กลับลดน้อยลงไป หากเรายังใช้ชีวิตเหมมือนตอนที่เรามีเงินมากๆ รับรองได้เลยคะ ว่าจะได้รับผลกระทบระยะยาวแน่นอนเลยทีเดียวคะ ตอนนี้สติอย่างเดียวเลยคะ
กะท้อน
จะมีสักวันมั้ยนะที่เราจะได้รายได้เดือนละแสนบ้าง? แต่เราเห็นด้วยกับบทความนี้ว่าเงินหลักแสนไม่ได้มากอย่างที่คิด ถ้าคนคนนั้นใช้เงินฟุ่มเฟือยมากจริงๆ เงินหลักแสนไม่ถึงเดือนก็หมดได้ อย่างพวกไฮโซอะพวกนี้ยังใช้เงินเป็นแสนๆต่อเดือน แค่ไปเที่ยวก็หมดไปแล้วทริปละหลายแสน ดังนั้นต้องบริหารดีๆจริงๆแหละเงินหลักแสนถึงจะเหลือเก็บ
แก้วใส
ชีวิตนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้…. “รายได้หลักแสน” แค่ 50,000 ก็หรูแล้วสำหรับเรา เราก็เคยคิดนะคะว่าคนที่มีรายได้เยอะขนาดนั้น เขาจะมีเวลาได้พักผ่อนกันบ้างไหม ขนาดเราเงินเดือนไม่กี่หมื่นยังทำงานหัวถลอกปอกเปิก แล้วรายได้เป็นแสนเนี่ยเขาคงไม่ได้นั่งสบายสบายแน่ เคยได้ยินว่าบางคนทำงานทุกวันเลยไม่มีวันหยุด เราว่าแทนที่จะได้ใช้เงินจะป่วยตายซะก่อนนะ
บิว
ถ้ามีเงินแสนอยากจะเอาไปลงทุนกับกองทุนสักที่หรือหุ้นสักตัวเพื่อเก็งกำไร ไม่ก็เอาไว้ใช้หลังเกษียณ ลงทุนกับประกันภัยหรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ก็ได้มั้ง แต่ปัญหาอย่างแรกที่ต้องจัดการคือในชีวิตนี้จะหาเงินหลักแสนให้ได้ยังไงอันนั้นต่างหากสำคัญ พ่อเงินสมัยนี้หายากแถมมีเงินก็เหมือนกระดาษเพราะค่าครองชีพมันสูงกว่า แถมยังสูงขึ้นเรื่อยๆด้วย
เวธณี
เงินแสนหนึ่ง เวลาหากว่าจะได้มันใช้เวลาอยู่นะคะ แต่ถ้าใช้ไม่เป็นแสนเดียว ก็หมดไวได้จริงๆคะ เรื่องของการรู้จักใช้ง่ายเงินเป็นเรื่องที่เราต้องทำกันอย่างจริงจังคะ อย่ามาคิดว่าไม่เป็นไรเงินหมดก็หาใหม่ คิดแบบนี้ไม่ได้แล้วละคะ ยิ่งปีนี้ด้วย ยิ่งต้องคิดให้ดีๆเลยคะว่าจะใช้จ่ายยังไงให้ประหยัดที่สุดคะ แต่จะว่าไปเราสงสารคนที่ไม่มีเงินจริงๆเลยคะช่วงนี้
วายุ
ถ้ามีรายได้เยอะขนาดนั้นก็อย่าไปสร้างหนี้สินเลยครับ คิดดูเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องจ่ายไปแล้วก็ลองหักลบดูนะครับว่าเงินที่เหลือแต่ละเดือนเหลือถึงขนาดนั้นไหม เพราะผมเห็นบางคนนะครับทำงานได้เดือนละเป็นแสนจริงแต่พอตอนสิ้นเดือน หมดไปกับคนหมดไปกับอย่างอื่นเหลือไม่กี่หมื่นเอง ก็เลยถึงบอกไงครับว่าให้คำนวณดูจริงๆว่าตอนสิ้นเดือนเหลือเท่าไหร่กันแน่
วากิว
@อมร จริงค่ะถ้าไม่บริหารเงินที่มีก็หมดได้ยิ่งใครที่เป็นเจ้าของกิจการร้านค้าใหญ่ๆยิ่งต้องบริหารหรือว่าทำบัญชีให้ดีถ้าใหญ่จริงก็คงต้องจ้างพนักงานจัดสรรบัญชีจริงๆแล้วล่ะค่ะเพราะว่าในเรื่องของภาษีไงจะรายรับรายจ่าย ก็เลยต้องวางแผนหรือบริหารพวกมึงอย่างดี เราเคยเห็นหลายคนนะคะทั้งๆที่ขายดิบขายดีหรือว่าบริษัทกำลังไปได้ด้วยดีแต่ว่าบกพร่องด้านการบริหารทำให้ล้มไม่เป็นท่าเลยก็เหมือนกัน
นัชชา
รายได้เดือนละแสนบาทเลยเหรอคะ มันจะมากไปนะคะ อย่างเราทำงานได้เงินเดือนที่ 2หมื่น ต้นเองคะ นี้ถ้าได้เป็นแสน ไม่ทราบว่าต้องทำงานในระดับไหนกันละคะ ถ้าได้เงินเดินแบบที่ว่าจริงๆ อย่างแรกที่เราจะทำ น่าจะคิดเรื่องการซื้อบ้านเลยคะ เพราะว่าเราอยู่บ้านเช่ามาน่าจะประมาณ 10กว่าปีได้แล้วคะ ถ้ามีบ้านเป็นของตัวเองน่าจะดี
Jeen
ชอบที่บทความนี้บอกว่าเงินหลักแสนไม่ได้มากอย่างที่คิด มันก็จริงนั่นแหละต่อให้คุณมีรายได้หลักล้านแต่ถ้าไม่รู้จักใช้จ่าย มีเท่าไหร่ก็หมด ดังนั้นต่อให้มีรายได้มากแค่ไหนการใช้จ่ายก็ต้องวางแผนทางนั้น ทำเป็นพูดดีเป็นอย่างนั้นล่ะค่ะตัวดิฉันเองเดือนนึงก็ได้รายได้แค่หลักหมื่นเท่านั้นเอง แต่ก็เคยวางแผนเอาไว้นะคะ ต่อให้ได้เงินมากกว่านี้ก็ต้องวางแผนเรื่อยๆ