‘ภาษี’ ถือว่าอยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ก็มีการอ้างเสมอถึง จำกอบ หรือจังกอบ ให้เด็กๆใด้เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์กันในชั้นเรียน แต่พอเราเติบโตขึ้นมา ก็ได้ยินเสมอว่า การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทย แล้วในปัจจุบันนี้ล่ะ เมื่อเราได้เข้าสู่วงการธุรกิจ หรือเป็นคนนึงที่ได้เริ่มต้นธุรกิจมาอย่างเต็มตัว ก็คงอยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับภาษีอีกบ้างที่เราควรแยกประเภท และทำความเข้าใจกับมัน เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจได้ในสังคม แต่ถ้าพูดกันตรงๆ เรื่องภาษี มักยังเป็นเรื่องหลักๆ ที่หลายคนมานั่งปวดหัว โดยเฉพาะผู้ประกอบการยุคใหม่แบบเรานี่ล่ะ เพราะการเป็นผู้เริ่มต้นในการทำธุรกิจนั้น ไม่ใช่แค่การมีเงินจะทำให้เราประสบความสำเร็จในระยะยาว แต่มันอยู่ที่ความรู้ที่ตั้งอยู่บนความถูกต้อง และความเข้าใจในเรื่องของบัญชีและภาษีอย่างดีด้วย มีเรื่องไหนมั๊ยที่ต้องรู้ลึกมากกว่าเดิม มาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันเลย ถึง ภาษี 6 ประเภท ที่ผู้เริ่มต้นธุรกิจอย่างเราต้องตั้งตัวเพื่อรับมือกับมันดีๆ เพื่อดำเนินต่อไปได้อย่างถูกต้องทางกฎหมายด้วย ไปดูกันเลย!
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เป็นภาษีในลักษณะที่จัดเก็บกับบุคคลทั่วไป ตามรายได้ที่เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยมักจะมีการจัดเก็บเป็นรายปี และผู้จ่ายมีหน้าที่นำหลักฐานไปแสดงรายการของตนเองทุกกำหนดภายในเดือนมกราคม ถึงมีนาคม ของปีถัดไป แต่บางกรณีก็ต้องเป็นการเสียภาษีตอนครึ่งปี สำหรับรายได้ที่เกิดในช่วยครึ่งปีแรก หรืออาจมีการจ่ายแบบหักภาษี ณ ที่จ่ายร่วมด้วย เพื่อให้มีการทยอยชำระได้แต่สามารถขอคืนตามปกติเช่นกันในกรณี เลี้ยงดูบิดามารดา , บริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา , อุปการะคนพิการและทุพลภาพ ไปจนถึงเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญด้วย ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
ภาษีประเภทนี้ เป็นส่วนที่กฎหมายกำหนดให้เรียกเก็บจากนิติบุคคลในการจ่ายภาษี ปกติแล้ว จะเป็นกลุ่มคนที่มีการจดทะเบียนธุรกิจในรูปแบบบริษัท ห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแบบนิติบุคคลและไม่ได้จด วิสหกิจชุมชน และรวมถึงผู้เริ่มต้นธุรกิจอย่างเราด้วยในอนาคต ถ้าอยากขยับขยายกิจการให้ใหญ่โต โดยแบบแสดงภาษีเงินได้นั้น จะเป็นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 50 เพื่อตัดรอบบัญชีที่จะต้องยื่นใน 150 วัน เมื่อมีการปิดระบบบัญชีในบริษัท และอีกแบบคือ ภ.ง.ด. 51 ที่จะต้องยื่นมาในระยะเวลา 2 เดือน หลังรอบบัญชีภาษีครึ่งปีด้วย. โดยภาษีแบบนี้ จะมีการเก็บเมื่อกิจการของเรามีอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 5-35 % ตามรอบปฎิทิน และผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบนี้ต้องมีรายได้ถึงเกณฑ์ ไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี โดยยื่นในวันที่ 31 มีนาคมปีถัดไปเสมอ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตามกฎหมายภาษีอากร ประมวลรัษฎากร เมื่อเราทำธุรกิจธรรมดา ทั้งแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน ก็จะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้ รวมถึงนิติบุคคลอื่นๆ แม้ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายเพิ่งและพาณิชย์ก็ตาม หรือบริษัทจำกัด และบริษัทจำกัด มหาชน. ภาษีแบบนี้จะมีการจัดเก็บในอัตราคงที่เสมอ ปัจจุบันมีกำหนดอยู่ที่ 20 % และสามารถให้มีการขอทำการลดหย่อนสำหรับผู้ทำธุรกิจ SMEs และรอบบัญชีธุรกิจคือ 1 ปี โดยผู้ที่ต้องทำการยื่นภาษีประเภทนี้มักเป็นนิติบุคคลที่ทำธุรกิจประเภทบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน และมีระยะเวลาในการยื่น 150 วันตั้งแต่สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี เพื่อคำนวนกำไรสุทธิจากกิจการของตนเอง แล้วหักตามรายจ่ายที่ระบุในเงื่อนไข มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี โดยมีการคำนวนภาษีตาม ยอดรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย , เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศ และการจำหน่ายกำไรไปนอกประเทศ เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีประเภทนี้ แค่เขียนก็ดูจะอ่านยาก หรือเหมือนภาษากฎหมายแล้ว แต่จริงๆแล้ว เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะมันคือภาษีที่จะ ‘ถูกหักไว้ล่วงหน้า’ และนับเป็นเครดิตด้านภาษีสำหรับผู้ถูกหักด้วย และมีหลักฐานการเงินที่รับรองด้วย หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้คืนมา ส่วนบุคคลที่ทำหน้าที่ในการหักภาษี ก็คือ ผู้ที่ทำการจ่ายเงิน และผู้ถูกหักภาษี ก็คือ ผู้รับเงิน โดยอาจนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. 3 เมื่อจ่ายกับบุคคลธรรมดา และแบบ ๓.ง.ด. 53 เมื่อหักกับนิติบุคคล ส่วนผู้เริ่มต้นธุรกิจอย่างเรายังสามารถทำการยื่นขอคืนภาษีในประเภทนี้ได้อีกด้วย โดยที่กฎหมายจะกำหนดว่า ถ้ากิจการของเราหรือคู่ค้า ได้ซื้อของ เราจะหักภาษีไว้เมื่อมีการจ่ายเงินได้ตามแต่ละประเภท และอ้างอิงจากอัตราภาษีที่มีการกำหนดไว้ด้วย
ภาษีแบบนี้ เราน่าจะทำความคุ้นเคยเพิ่มเติม เพราะมีหน้าที่ของผู้ประกอบการสำหรับจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากเรา , ออกใบกำกับภาษี อาจในรูปแบบกระดาษ หรืออิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ , จัดทำรายงาน ภาษีซื้อและภาษีขาย แล้วต้องทำการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรอีกด้วย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ภาษีประเภทนี้เราน่าจะเคยได้ยินกันบ่อยๆ หรือเรียกได้ว่าใกล้ตัวมาก เพราะทุกครั้งที่เราซื้อสินค้า ไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ ก็จะต้องจ่ายภาษีประเภทนี้ออกไปแบบอัตโนมัติเลยด้วย โดยมีอัตราที่ใช้ 7 % ทั้งภาษีซื้อและภาษีขาย แต่สำหรับผู้ประกอบการลักษณะเรานั้น ภาษีนี้ จะเก็บจากมูลค่าในส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากคนทำธุรกิจ หรือเมื่อให้บริการต่างๆ โดยผู้มีหน้าที่หลักในการเสียภาษีส่วนนี้ ยังรวมถึง ผู้ประกอบการทุกคน ผู้นำเข้าสินค้าเพื่อการค้า การขายปลีก ผู้ส่งออก ผู้ผลิต และผู้ให้บริการด้วยเช่นกัน และรายได้ที่กำหนดต่อปีคือ ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทหรือมากกว่านั้น จะต้องยื่นแบบ ภ.พ. 30 หากเป็นผู้ประกอบการในไทย และ ภ.พ. 36 กรณีเป็นเซิร์ฟเวอร์หรือซอฟท์แวร์ในต่างประเทศ ส่งในทุกๆ วันที่ 15 ของเดือนถัดไปเสมอ และอยู่ในข้อกำหนดไม่ว่าจะมีการจดทะเบียนแบบนิติบุคคล หรือแบบบุคคลธรรมดาด้วย
อากรแสตมป์
ตามประมวลรัษฎกรจะอ้างถึง ‘ตราสาร’ ก็คือ เอกสารที่เราจะต้องเสียอากรแสตมป์ ตามบัญชีอัตราอากรในส่วนภาษีประเภทนี้ แม้หลายคนมองว่าดูน้อย เหมือนเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่มาก แต่จริงๆ แล้ว ตามประมวลรัษฎากร ก็ถือเป็นภาษีประเภทนึงที่ยกเว้นไม่ได้ และต้องทำการเรียกเก็บ ระหว่างกันใน 28 ลักษณะ เช่น การเช่าที่ การเช่าซื้อ หรือกู้ยืมเงินตามบัญชีอากรแสตมป์ โดยใช้การขีดฆ่าเพื่อแสดงไว้ หรือลงลายมือชื่อ จะเป็นภาษีแบบที่มีการจัดเก็บโดยดวงแสตมป์ที่ใช้ในเอกสารราชการ ปิดบนหนังสือสัญญา หรือเอกสารต่างๆ แล้วหน่อยงานของกรมสรรพกากรก็จะเข้ามารับผิดชอบ และเอกสารที่จำเป็นเกี่ยวข้องอาจรวมถึงเรื่อง การเช่าที่ดิน การว่าจ้างทำสิ่งของ ใบมอบอำนาจ หรือหนังสือเช่าทรัพย์สิน เป็นต้น และมักจะมีการกำหนดแนบท้ายสัญญาด้วยแบบฟอร์มตามกฎหมาย เพื่อให้สัญญานั้นๆสมบูรณ์
ภาษีธุรกิจเฉพาะและอื่นๆ
เพราะการทำธุรกิจแต่ละอย่างก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แม้จะมีภาษีแบบที่เก็บจากธุรกิจที่ขายสินค้า หรือกับธุรกิจด้านการบริการ มองผ่านๆ อาจดูเหมือนเสียภาษีลักษณะเดียวกัน แต่จริงๆ กลับมีรายละเอียดที่แตกต่างกันมากอยู่ด้วย มีภาษีที่ต้องจ่ายด้วยกันอาจถึง 4 ประเภท และมีภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน สำหรับภาษีแบบนี้
หลักในการเสียภาษีแบบธุรกิจเฉพาะ จะอยู่ในส่วนของกิจการ หรือบริการเกี่ยวกับ การธนาคาร ทั้งแบบธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายเฉพาะ ธุรกิจประภทเงินทุน หลักทรัพย์ ฟองซิเอร์ การประกันชีวิต ตลอดจน โรงรับจำนำ หรือการดำเนินธุรกิจแบบธนาคารพาณิชย์อย่าง การกู้ยืมค้ำประกัน การแลกเปลี่ยนเงินตรา ตั๋วเงิน หรือธุรกิจสตาร์ทอัพแบบฟินเทค เป็นต้น แบบในการยื่นภาษีก็คือ ภ.ธ.40 ต้องเสียภาษีรวม 3.3% จากอัตราภาษีท้องถิ่นและยื่นภายใน 15 วันของเดือนถัดไปด้วย
ยังมีภาษีประเภทอื่นๆ ที่ควรทำความเข้าใจ อาจเป็นลักษณะของธุรกิจ เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ในอัตรา 12.5 % ต่อปี , ภาษีจากการเก็บค่าเช่า หรือค่าบริการจากทรัพย์สิน , ภาษีป้ายขนาดใหญ่ตามตัวอักษรไซส์ต่างๆ และภาษาบนป้าย เริ่มต้นที่ 200 บาท แต่ก็มีป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีที่ยื่นต่อสำนักงานเขตแล้ว ไปจนถึงภาษีสรรพสามิต กับธุรกิจฟุ่มเฟือยที่อาจให้โทษกับประชาชน เช่นยาสูบ สุรา เป็นต้น
ประเภทของภาษีที่คนทำธุรกิจชำระได้อย่างถูกต้อง ไม่ยากเกินเข้าใจ!
เมื่อได้รู้มากขึ้น เกี่ยวกับรายละเอียดของภาษีแบบที่ไม่ยากเกินเราจะเข้าใจแล้ว ก็สรุปคำว่า “ภาษี” ที่เราคุ้นหูกันได้ไม่ยาก เพราะมันเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องเสียภาษี และสำหรับคนทำธุรกิจอย่างเรา ยิ่งต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เราจะต้องจ่ายมากขึ้น เพื่อทำอย่างถูกต้องและสบายใจนั่นเอง. เพราะภาษีไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นงานบริการ การค้าขายสินค้า หรืออุสหกรรมใด ๆ ก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปพัฒนาประเทศของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่มาก็ถูกกำหนดไว้แล้วเพื่อความยุติธรรม และตรงกับโครงสร้างทางธุรกิจของเราด้วย
ดังภาษี 6 ประเภท ที่บทความของเราจำแนกออกมาให้ลองศึกษาดูกันนั้น จะเห็นว่า สำหรับภาษีที่กรมสรรพากรได้จัดเก็บจากเราที่เป็นเหมือนนิติบุคคลนั้น มีทั้งภาษีอื่นๆและแบบบุคคลธรรมดาที่ทำธุรกิจ ,ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องเสียกำไรสุทธิ ในอัตรา 20% , ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ต้องเสีย VAT 7% จากภาษีซื้อและภาษีขาย , ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่หักภาษีเมื่อมีการนำส่งเงินจ่าย , ภาษีธุรกิจเฉพาะ แบบเสียในอัตรา 33% ของรายได้ก่อนหักรายจ่าย และอากรแสตมป์ที่ต้องเสียเมื่อทำตราสารต่างๆ ทำให้เราแบ่งออกได้ง่ายมากขึ้น
ดังนั้น ภาษีที่เราจ่ายออกไป ก็มั่นใจได้ว่า จะมีผลเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศของเราแน่นอน ถือว่าเป็นส่วนที่ช่วยกันสร้าง และเป็นกองทุนเพื่อหมุนเวียนภายในประเทศ สู่การพัฒนาที่ดีกว่า และเจริญขึ้นตามยุคสมัยนี้ แต่ยังไงก็ตาม ภาษีทุกอย่างที่เราจ่ายไป ก็ใช่ว่าจะเสียไปเฉยๆ เพราะเราสามารถนำมาเพื่อขอสิทธิ์ลดหย่อนได้ หรือได้ในรูปแบบที่อำนวยความสะดวกประชาชนที่ทำธุรกิจด้วย เช่น บริการขนส่งมวลชน รถเมล์หรือรถไฟฟรี ย่อมลดรายจ่ายได้อีกถ้าเราศึกษาและอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจ แต่ถ้าใครยังไม่ค่อยแน่ใจในประเภทธุรกิจที่ตนทำอยู่ ก็สามารถติดต่อโดยตรงกับกรมสรรพากรได้ด้วยเพื่อความสบายใจ และทำให้ธุรกิจของเราเติบโตไปอีกไกลในอนาคตด้วยนั่นเอง
ตนุพล
ภาษีเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องจ่ายให้กับประเทศชาติ บทความนี้ดีมากเลยครับช่วยอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นว่า มีภาษีอะไรบ้างที่เราจำเป็นต้องไปยื่นเรื่อง ภาษีอะไรบ้างที่จำเป็นต่อคนที่ทำธุรกิจ และภาษีอะไรบ้างที่เราจำเป็นต้องถูกหักจ่ายโดยไม่รู้ตัว อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เราควรจะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง
เจนนี่
ขนาดคนธรรมดาๆที่ทำงานรับจ้างยังต้องสนใจเรื่องการเสียภาษีเลยผมว่าแล้วว่าจะทำธุรกิจทั้งทีเรื่องของภาษีก็ต้องสนใจมากๆ คือตอนนี้ผมก็กำลังอยากจะทำธุรกิจบ้างเพราะไม่อยากทำงานรับจ้างไปตลอดแล้วมันเหนื่อยเกินไปครับ ผมทำงานขับรถส่งอาหาร แต่ผมกำลังคิดว่าผมขายอาหารบ้างแล้วไปส่งเองน่าจะได้กำไรดีเหมือนกันครับ แต่ก็ต้องจัดการเรื่องภาษีให้ดีเลยเข้ามาเรื่องนี้ครับ
วายุ
ใครที่คิดวางแผนจะทำธุรกิจเป็นของกิจการของเราเอง ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของภาษีไว้ด้วยนะครับ บทความนี้อธิบายได้ดีเกี่ยวกับ รูปแบบภาษีที่เราจำเป็นต้องคิดถึงหรือจะต้องจ่ายสำหรับในกรณีที่เราคิดจะทำธุรกิจเป็นของเราเอง ช่วยให้เราสามารถที่จะจ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อที่จะเตรียมตัวก่อนการเปิดธุรกิจได้ด้วย
Sorrawat
เรื่องการเสียภาษีสำคัญมาก หากตกหล่นไปในอนาคตมีปัญหาแน่ครับ คนทำงานธรรมดาอย่างผมมีเรื่องภาษีที่ข้องเกี่ยวไม่กี่อย่างหรอก แต่สำหรับคนที่ทำธุรกิจ มีภาษีหลายอย่างที่ต้องดู ต้องเก็บ ต้องจ่าย เรื่องพวกนี้ละเอียดมากจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีแผนกบัญชีที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้วหรือไปจ้างบริษัททำบัญชีให้ แต่เจ้าของธุรกิจก็ควรจะรู้เรื่องพวกนี้อย่างดีนะครับ
veera
เรื่องภาษี นี่ ให้มานั้งเล่าหรือมานั้งเขียนเราว่า เป็นอาทิตย์ยังไม่น่าจะจบจริงๆ จาก ภาษีตัวหลักๆแล้ว เชือไหมว่าในตัวหลักๆที่บอกมาก็ยังมีแยกออกเป็นข้อๆอีก มิน่าละคนบ้านเราเลยไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไร เพราะมันเข้าใจยากแบบนี้นี่เอง หลายคนเลยไม่เสียภาษี หรือคนที่รู้เรื่องแบบนี้มากๆ ก็พยายามหาช่องไม่จ่าย
กัปตัน
ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะครับเรื่องของภาษี เดี๋ยวนี้มีตัวช่วยมากมายที่ทำให้เราสามารถจัดการกับเรื่องภาษีได้ง่ายๆครับ ลองใช้งานดูนะครับอย่างเช่น Application Itax อะไรพวกนี้ หรือ App อื่นๆก็มีอีกเยอะครับที่สามารถช่วยเราคิดคำนวณเรื่องของภาษีได้อย่างถูกต้อง แถมเดี๋ยวนี้กรมสรรพากรก็พร้อมตอบคำถามและให้ข้อมูลผ่านเว็บไซด์ด้วยครับ
ลิว
เรารู้สึกว่าการจ่ายภาษีเป็นหน้าที่สำคัญของพลเมืองนะ เราว่าภาษีแต่ละประเภทที่เราจ่ายไปก็เอามาพัฒนาสถาพในประเทศของเราแทบทั้งนั้น ถ้าเอาตรงๆก็คงไม่มีใครอยากเสียภาษี อย่างอาชีพที่เราทำก็ทำให้เราต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่ทุกเดือน เ ราก็โอเคนะ เพราะเราไม่ใช่พนักงานกินเงินเดือนประจำภาษีที่เสียก็เลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ดีไป มั้งนะ
ลิงลม
จริงๆผมว่าการรู้จักกับภาษีนี่น่าจะมีอยู่ในหลักสูตรในโรงเรียนด้วยก็ดีนะ เพราะเด็กในวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ในอนาคตเขาก็จะได้รู้ด้วยว่าการจ่ายภาษีเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเขาเข้าใจว่าเงินที่เราเสียภาษีมีประโยชน์ยังไงเอาไปใช้พัฒนาประเทศยังไงเขาจะได้ไม่ต้องหลบเลี่ยงภาษี อีกอย่างจะได้รู้ด้วยว่าถ้าทำงานแล้วจะต้องคิดภาษีแบบไหนคิดภาษียังไง? เพราะหลายคนตอนนี้ก็ยังคิดภาษีกันไม่เป็นเลย ดีกว่านะครับถ้าจะมีหลักสูตรในโรงเรียน
Rosemary
ใช่ๆ เรื่องการเสียภาษีน่าจะมีสอนในโรงเรียน ดีที่สุดไม่ใช่แค่สอนว่าเรามีหน้าทีเสีย แต่ต้องสอนให้รู้ว่าภาษีมีอะไรบ้างแล้วเราต้องจ่ายยังไง ต้องคำนวนยังไง สอนไปเลยคะ อย่าไปสอนแค่คนที่เรียนสายบัญชีอย่างเดียว เด็กช่าง ก็สอนไปด้วยเลยคะเพราะจบมาทำงานก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้อยู่ดีคะ จะได้เข้าใจกันถูกต้องคะ
ธนา
ผมรู้จักเกี่ยวกับภาษีรายได้บุคคลธรรมดา พอได้อ่านบทความนี้แล้วได้รู้ว่ามีวิธีที่จะช่วยให้เราได้ภาษีเงินคืนในกรณีที่เรา ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบิดามารดา หรือสมทบทุนในการบริจาคเงินเพื่อการกุศล จำเป็นต้องมีหลักฐานดังกล่าวด้วยเพื่อเอามาใช้ในการขอภาษีเงินคืน แล้วถ้าเราอยากจะได้รับ การลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจำเป็นต้องมีการทำประกันภัย หรือกองทุนรวมแยกต่างหากครับ
Sweet - cinnamon
อยากรู้จังเลยว่าคนที่เค้าขายของออนไลน์เดี๋ยวนี้ก็ต้องเสียภาษีแล้วใช่ไหมคะ แล้วถ้าขายตามfacebook / ig อะไรพวกนี้ไม่ได้ไปขายตามshopee เราต้องเสียภาษีด้วยไหม??? แล้วถ้าต้องเสียเนี่ยต้องเสียแบบไหน แล้วจ่ายยังไง รบกวนผู้รู้ช่วยมาอธิบายให้เรากระจ่างทีนะคะ จะได้ทำให้มันถูกต้อง แล้วจะคำนวณอะไรยังไงก็บอกด้วยนะคะขอคุณล่วงหน้า
พงษ์วริษฐ์
อยากจะขอ ตอบข้อสงสัยของ @Sweet สักหน่อยนะครับ เรื่องภาษีขายของออนไลน์ตอนนี้เริ่มมีผลแล้วนะครับ หลายคนที่ขายของออนไลน์มาหลายปีก็โดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้วครับ หลักง่ายๆที่ออกมามาคือ มีรายได้ (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT โดยเสียภาษีอยู่ที่ 7% ถ้าขายไม่ถึงก็ไม่ต้องกลัวนะครับ